เป็นผู้นำแบบพระเยซูได้อย่างไร
เกริ่นนำ
น้อยคนนักที่จะบริหารจัดการกับผู้คนและบริษัทในแต่ละวันได้ดีเท่ากับ เคน แบลนชาร์ด ผู้เขียนหนังสือ ผู้จัดการ 1 นาที (The One Minute Manager) ซึ่งขายได้มากกว่า 13 ล้านเล่ม หนังสือเล่มนี้ประสบความสำเร็จมากเสียจนเขาเริ่มรู้สึกกดดันที่จะยกเครดิตให้กับตัวเอง เขาจึงเริ่มระลึกถึงพระเจ้า และเริ่มต้นอ่านพระคัมภีร์ โดยมุ่งความสนใจไปที่หนังสือพระกิตติคุณ เขาอยากรู้ว่าพระเยซูทำอะไร
เขาเริ่มรู้สึกทึ่งกับวิธีที่พระเยซูเปลี่ยนคนธรรมดาสิบสองคนอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ให้กลายเป็นผู้นำรุ่นแรกของการเคลื่อนไหว ที่ยังคงส่งผลต่อประวัติศาสตร์โลกในอีก 2,000 ปีต่อมา เขาตระหนักดีว่าทุกสิ่งที่เขาเคยสอน หรือเขียนเกี่ยวกับเรื่องการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิผล ล้วนเป็นสิ่งที่พระเยซูทรง ได้ทำมาแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ เกินกว่าความสามารถที่เขาเคยได้ยกตัวอย่างหรืออธิบายไว้เสียอีก
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นยิ่งกว่าผู้นำฝ่ายวิญญาณ พระองค์ทรงให้แบบอย่างของการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ และวิธีการที่ใช้ได้จริงแก่ทุก ๆ องค์กร ทุก ๆ คน และทุก ๆ สถานการณ์ ถึงคุณอาจจะยังไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นผู้นำ แต่ความเป็นผู้นำเป็นเรื่องเกี่ยวกับการมีอิทธิพลต่อคนรอบข้าง และคุณเองก็มีอิทธิพล ดังนั้น โดยความเข้าใจนี้คือเราทุกคนก็คือผู้นำ
พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ในเนื้อหาสำหรับวันนี้ เราจะได้เห็นลักษณะความเป็นผู้นำของพระเยซูไปพร้อม ๆ กับบุคคลสองท่านที่เป็นสุดยอดผู้มีอิทธิพลในพระคัมภีร์ นั่นก็คือ ดาวิด และโยบ
สดุดี 18:1-6
บทเพลงขอบพระคุณพระเจ้า เนื่องด้วยชัยชนะ
ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด ผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ ซึ่งถวายถ้อยคำของเพลงบทนี้แก่พระยาห์เวห์
ในวันที่พระยาห์เวห์ทรงช่วยกู้ท่านให้พ้นจากเงื้อมมือศัตรูทั้งหลายของท่าน และจากเงื้อมพระหัตถ์ของซาอูล
1ดาวิดทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ผู้ทรงเป็นกำลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์รักพระองค์”
2พระยาห์เวห์ทรงเป็นศิลา ป้อมปราการ และผู้ช่วยกู้ของข้าพเจ้า
ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า เป็นศิลาซึ่งข้าพเจ้าเข้าลี้ภัย
ทรงเป็นโล่แห่งความรอด เป็นที่กำบังอันแข็งแกร่งของข้าพเจ้า
3ข้าพเจ้าร้องทูลพระยาห์เวห์ผู้ทรงสมควรแก่การสรรเสริญ
และพระองค์ทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากศัตรู
4บ่วงมรณาล้อมข้าพเจ้าไว้
กระแสแห่งความหายนะท่วมทับข้าพเจ้า
5สายใยของแดนคนตายพันตัวข้าพเจ้า
บ่วงมัจจุราชอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า
6เมื่อมีความทุกข์ลำบาก ข้าพเจ้าร้องทูลพระยาห์เวห์
ข้าพเจ้าทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าของข้าพเจ้า
จากพระวิหารของพระองค์ พระองค์ทรงสดับเสียงของข้าพเจ้า
และเสียงร้องของข้าพเจ้าได้ยินไปถึงพระกรรณของพระองค์
อรรถาธิบาย
การนมัสการของผู้นำ
ดาวิดเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์อิสราเอล เขาเป็นผู้ประพันธ์บทเพลงนมัสการที่ไพเราะที่สุดที่เคยมีมา หลายพันปีต่อมาเพลงสดุดีของเขายังคงถูกใช้ในการนมัสการโดยคนของพระเจ้า
ในพระธรรมสดุดีนี้เราเห็นว่าการนมัสการและการอธิษฐานของดาวิด เป็นรากฐานของการเป็นผู้นำของเขา ท่ามกลางความยากลำบาก และการต่อสู้เขาร้องทูลว่า ‘ข้าพเจ้าร้องทูลพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าของข้าพเจ้า’ (ข้อ 6) ผลที่ตามมาคือการพลิกฝื้นสถานการณ์ครั้งใหญ่ที่ตามมาด้วยความสำเร็จ ซึ่งทำให้ดาวิดสำแดงการขอบคุณพระเจ้าผ่านทางบทเพลง
ไม่ว่าคุณจะเผชิญกับความความยากลำบาก หรือประสบความสำเร็จก็ตาม ให้เราทำตามแบบอย่างของดาวิด โดยพยายามสร้างชีวิตของคุณบนรากฐานของการอธิษฐานและการนมัสการ
จุดเริ่มต้นของการนมัสการคือความรักที่มีต่อพระเจ้า ‘ข้าพระองค์จะรักพระองค์สุดกำลังสุดความคิด โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ กำลังของข้าพระองค์’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) ดาวิดยังคงสำแดงความรัก การสรรเสริญ และขอบคุณพระเจ้าต่อไป เมื่อเขาเผชิญหน้ากับศัตรู (ข้อ 3ข) ความตาย และการทำลายล้าง (ข้อ 4–5) และความทุกข์ (ข้อ 6ก) และเมื่อได้มองย้อนกลับไป เขาจะเห็นว่าพระเจ้าทรงสดับฟังเสียงร้องทูลของเขา และช่วยเขาให้รอดพ้นจากศัตรูได้อย่างไร (ข้อ 3–6)
ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ผมได้บันทึกรายการ ‘ขอความช่วยเหลือ’ (ข้อ 6ก) ไว้ที่ขอบของพระคัมภีร์ในหนึ่งปีของผม มันวิเศษมากที่ได้เห็นวิธีที่พระเจ้าได้สดับฟังเสียงร้องของผม คำอธิษฐานจำนวนมาก (แม้ว่าจะยังไม่ทั้งหมด) ได้รับคำตอบ การจดบันทึกช่วยให้ผมไม่ลืมที่จะขอบคุณพระเจ้า
คำอธิษฐาน
โอ ข้าแต่พระเจ้า ทรงเป็นกำลังของข้าพระองค์ ขอบคุณพระองค์ที่หลายต่อหลายครั้ง ทรงสดับฟังเสียงร้องทูลขอความช่วยเหลือของข้าพระองค์ ด้วยความท้าทายทั้งหมดที่รออยู่ข้างหน้านี้ ข้าพระองค์จะร้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์อีกครั้ง
มัทธิว 21:1-17
พระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต
1เมื่อพระเยซูเสด็จมาใกล้กรุงเยรูซาเล็มกับบรรดาสาวกถึงหมู่บ้านเบธฟายี เชิงเขามะกอกเทศ พระองค์ทรงใช้สาวกสองคน 2มีรับสั่งว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้า แล้วจะพบแม่ลาตัวหนึ่งผูกอยู่กับลูกของมัน จงแก้และจูงมาให้เรา 3ถ้ามีใครพูดอะไร ท่านทั้งสองจงบอกว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านมีพระประสงค์’ แล้วเขาจะปล่อยให้มาทันที” 4เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้เป็นไปตามพระวจนะที่ตรัสผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า
5 “จงบอกชาวศิโยนว่า
นี่แน่ะ กษัตริย์ของท่านกำลังเสด็จมา
ด้วยความสุภาพอ่อนโยน พระองค์ทรงลา
ทรงลูกลา”
6สาวกทั้งสองคนนั้นก็ไปทำตามที่พระเยซูตรัสสั่ง 7จึงจูงแม่ลากับลูกของมันมา แล้วเอาเสื้อผ้าของตนปูบนหลัง และพระองค์ก็ทรงลานั้น 8ฝูงชนจำนวนมาก เอาเสื้อผ้าของตนปูตามถนนหนทาง บางคนก็ตัดกิ่งไม้มาปูตามถนน 9ฝูงชนที่เดินไปข้างหน้าพระองค์ กับพวกที่ตามมาข้างหลังก็โห่ร้องว่า
“โฮซันนา แก่บุตรของดาวิด
ขอให้ท่านผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ
โฮซันนา ในที่สูงสุด”
10เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ประชาชนทั่วทั้งกรุงก็พากันแตกตื่นถามว่า “นี่ใครกัน?” 11ฝูงชนก็ตอบว่า “นี่คือเยซูผู้เผยพระวจนะที่มาจากนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี”
การทรงชำระพระวิหาร
12พระเยซูเสด็จเข้าไปในบริเวณพระวิหารของพระเจ้า ทรงขับไล่พวกซื้อขายในบริเวณพระวิหารนั้น ทรงคว่ำโต๊ะคนรับแลกเงิน และทรงคว่ำม้านั่งของคนขายนกพิราบ 13พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “มีพระวจนะเขียนไว้ว่า
‘นิเวศของเรา เขาจะเรียกว่าเป็นนิเวศอธิษฐาน
แต่พวกท่านมาทำให้เป็นถ้ำของพวกโจร’ ”
14คนตาบอดและคนง่อยพากันมาเฝ้าพระองค์ในบริเวณพระวิหาร และพระองค์ทรงรักษาพวกเขาให้หาย 15แต่เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์เห็นการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงทำ ทั้งได้ยินหมู่เด็กร้องในบริเวณพระวิหารว่า “โฮซันนาแก่บุตรของดาวิด” พวกเขาก็ไม่พอใจ 16จึงทูลพระองค์ว่า “ท่านไม่ได้ยินคำที่คนพวกนี้ร้องหรือ?” พระเยซูตรัสตอบว่า “ได้ยินแล้วพวกท่านยังไม่เคยอ่านหรือว่า ‘พระองค์ทรงทำให้คำสรรเสริญออกมาจากปากเด็กและทารก ที่ยังไม่หย่านม’ ”
17พระองค์ทรงจากพวกเขาไป และเสด็จออกจากกรุงไปประทับอยู่ที่หมู่บ้านเบธานี
อรรถาธิบาย
คุณลักษณะของผู้นำ
ในทางปฏิบัติแล้วการ ‘นำเหมือนพระเยซู’ หมายความว่าอย่างไร?
1. นำจากตัวตนของคุณมากกว่าตำแหน่งหน้าที่ของคุณ
คุณเป็นใคร มีความสำคัญมากกว่าสิ่งที่คุณทำ หรือสิ่งที่คุณมีในแง่ของทรัพย์สมบัติ หรือตำแหน่งหน้าที่ อำนาจของพระเยซูไม่ได้มาจากการอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่ง แต่มันมาจากสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น ทรงมีอำนาจโดยชอบธรรม พระองค์มีความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าสิ่งที่พระองค์ต้องตรัสคือ ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านมีพระประสงค์’ (ข้อ 3) โดยไม่จำเป็นต้องมีการคุกคามหรือให้คำมั่นสัญญาใด ๆ
2. อ่อนโยนและไม่ทะนงตัว
‘กษัตริย์ของท่านกำลังเสด็จมา ด้วยความสุภาพอ่อนโยน…’ (ข้อ 5) นี่ไม่ใช่ลักษณะของความเป็นผู้นำที่โลกคาดหวัง แต่เป็นหัวใจสำคัญของการทรงนำของพระเยซู คำว่า ‘อ่อนโยน’ (gentle) ในภาษากรีกหมายถึงความเกรงใจ ไม่อวดดี มันตรงกันข้ามกับความก้าวร้าว หรือการแสวงหาแต่ตนเอง
3. หลีกเลี่ยงความเย่อหยิ่งและการโอ้อวด
พระเยซูทรงลาในการเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม ช่างตรงกันข้ามกับผู้นำคนอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์ทั้งทางโลก และทางศาสนาที่เดินทางด้วยความเอิกเกริก มีพิธีรีตอง และมีผู้ติดตามที่ดูอลังการ วิธีการเดินทางของพระเยซู เป็นสัญลักษณ์ของความถ่อมใจอย่างยิ่ง ตรงกันข้ามกับความหยิ่งยโส ซึ่งสามารถเล็ดลอดเข้าสู่ความเป็นผู้นำของมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย
4. มีความกล้าที่จะเผชิญหน้า
บางครั้งผู้คนคิดว่าความอ่อนโยนและความถ่อมใจ หมายถึงการหลีกเลี่ยงในทุกสถานการณ์ แต่พระเยซูไม่กลัวการเผชิญหน้า พระองค์ ‘พระเยซูเสด็จเข้าไปในบริเวณพระวิหารของพระเจ้า ทรงขับไล่พวกซื้อขายในบริเวณพระวิหารนั้น ทรงคว่ำโต๊ะคนรับแลกเงิน’ (ข้อ 12) หนึ่งในแง่มุมที่ยากที่สุดของการเป็นผู้นำ คือการรู้ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเผชิญหน้า
โดยตัวของมันเอง การไม่กล้าเผชิญหน้าก็ถือเป็นการตัดสินใจแบบหนึ่ง ที่มีผลกระทบตามมาภายหลังเช่นกัน ความขัดแย้งและการเผชิญหน้าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ต้องตอบสนองอย่างชาญฉลาด เหล่านี้เป็นส่วนที่จำเป็นของการเป็นผู้นำที่ดีและกล้าหาญ
5. แสวงหาจิตวิญญาณไม่ใช่อำนาจทางโลก
อำนาจของพระเยซูแตกต่างจากผู้นำหลายคนในโลก ‘คนตาบอดและคนง่อย พากันมาเฝ้าพระองค์ในบริเวณพระวิหาร และพระองค์ทรงรักษาพวกเขาให้หาย’ (ข้อ 14) ฤทธิ์อำนาจแห่งวิญญาณสำคัญกว่าพลังอำนาจทางโลก ที่ไม่สามารถผลิตเองได้ หากแต่มาจากความสัมพันธ์แบบที่พระเยซูมีกับพระเจ้าเท่านั้น
6. ให้การอธิษฐานมาเป็นที่หนึ่งสำหรับคุณ
ในการเผชิญหน้าของพระเยซูกับผู้รับแลกเงิน เราจะเห็นว่าพระองค์ยึดมั่นในการอธิษฐานมากเพียงใด (ข้อ 13) และในตลอดพระกิตติคุณ เราได้พบพระเยซูทรงถอนตัว (ข้อ 17) เพื่อใช้เวลากับพระเจ้าโดยลำพัง นี่คือที่มาของความแข็งแกร่งของพระองค์ เช่นเดียวกับดาวิด คำอธิษฐานเป็นหัวใจสำคัญของการเป็นผู้นำของพระเยซู
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้สามารถนำโดยให้สิทธิอำนาจ ความอ่อนโยน ความถ่อมตน ความกล้าหาญและฤทธิ์เดช เช่นเดียวกันกับพระเยซู โปรดประทานความเข้มแข็งของข้าพระองค์มาจากความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระองค์
โยบ 19:1-21:34
โยบตอบว่า พระผู้ไถ่ของข้าทรงพระชนม์อยู่
1แล้วโยบตอบว่า
2“พวกท่านจะทรมานข้า
และบดขยี้ข้าด้วยถ้อยคำนานสักเท่าใด?
3ท่านทั้งหลายพูดสบประมาทข้าสิบหนแล้ว
และที่ทำผิดแก่ข้านั้น ท่านก็ไม่อายเลย
4ถ้าแม้ว่าข้าหลงทำผิดจริง
ความผิดของข้าก็อยู่กับข้า
5ถ้าท่านทั้งหลายยกตัวข่มข้า
และใช้ความต่ำต้อยของข้าปรักปรำข้า
6จงทราบเถิดว่า พระเจ้าทรงผิดต่อข้า
และได้เอาตาข่ายล้อมข้าไว้
7ดูเถิด ข้าร้องออกมาว่า ‘ทารุณจริง’ แต่ไม่มีผู้ใดฟัง
ข้าร้องให้ช่วย แต่ไม่มีความยุติธรรม
8พระองค์ทรงก่อกำแพงกั้นทางข้าไว้ ข้าจึงข้ามไปไม่ได้
และพระองค์ทรงให้ทางของข้ามืดไป
9พระองค์ทรงปลดศักดิ์ศรีไปจากข้า
และถอดมงกุฎจากศีรษะของข้า
10พระองค์ทรงพังข้าลงเสียทุกด้าน และข้าก็สิ้นไป
พระองค์ทรงถอนความหวังของข้าเหมือนถอนต้นไม้
11พระพิโรธของพระองค์พลุ่งขึ้นใส่ข้า
และทรงนับข้าเป็นปรปักษ์ของพระองค์
12กองทหารของพระองค์ประดังเข้ามา
เขาทั้งหลายก่อเชิงเทินต่อสู้ข้า
และตั้งค่ายล้อมเต็นท์ของข้า
13“พระองค์ทรงให้พี่น้องของข้าออกห่างจากข้า
เพื่อนของข้าก็หมางเมินข้าไป
14ญาติของข้าผละหนี
และเพื่อนของข้าก็ทิ้งข้า
15แขกในบ้านและสาวใช้ของข้านับข้าเป็นคนต่างถิ่น
ข้ากลายเป็นคนต่างด้าวในสายตาของเขา
16ข้าเรียกคนใช้ของข้า แต่เขาไม่ตอบข้า
ข้าต้องวิงวอนเขาด้วยปากของข้า
17ลมหายใจของข้าเป็นที่ขยะแขยงแก่ภรรยาของข้า
และข้าเป็นที่รังเกียจแก่พี่น้องของข้าเอง
18แม้เด็กๆ ก็ดูหมิ่นข้า
เมื่อข้าลุกขึ้น พวกเขาก็เย้ยหยันข้า
19สหายสนิททั้งสิ้นของข้ารังเกียจข้า
และคนเหล่านั้นที่ข้ารัก เขาหันหลังให้ข้า
20กระดูกของข้าเกาะติดหนังและติดเนื้อของข้า
และข้ารอดมาได้อย่างหวุดหวิดด้วยหนังแห่งฟันของข้า
21โอ ท่านผู้เป็นสหายของข้า สงสารข้าเถิด สงสารข้าเถิด
เพราะพระหัตถ์ของพระเจ้าได้แตะต้องข้า
22ทำไมท่านทั้งหลายจึงไล่ตามข้าอย่างพระเจ้าทรงไล่ข้า?
ทำไมท่านยังไม่อิ่มเนื้อของข้า?
23“โอ ข้าอยากให้ถ้อยคำของข้าถูกบันทึกไว้
โอ ข้าอยากให้จารึกไว้ในหนังสือ
24มันจะถูกสลักไว้บนศิลาอย่างถาวร
ด้วยปากกาเหล็กและตะกั่ว
25แต่ข้าเองทราบว่า พระผู้ไถ่ของข้าทรงพระชนม์อยู่
และในที่สุดพระองค์จะทรงปรากฏบนแผ่นดินโลก
26และหลังจากผิวหนังของข้าถูกทำลายไปอย่างนี้
แล้วในเนื้อหนังของข้า ข้าจะเห็นพระเจ้า
27ผู้ซึ่งข้าจะได้เห็นเอง
และดวงตาข้าจะได้เห็น ไม่ใช่คนอื่น
จิตใจข้าก็ห่อเหี่ยวอยู่ภายใน
28เมื่อท่านทั้งหลายว่า ‘เราจะข่มเหงเขาได้อย่างไร?’
และ ‘ต้นตอของเรื่องก็พบอยู่ที่เขา’
29จงกลัวดาบเถิด เพราะพระพิโรธนำโทษของดาบมา
เพื่อท่านจะทราบว่ามีการพิพากษา”
โยบ 20
โศฟาร์ว่า คนชั่วต้องได้รับผลตอบแทน
1แล้วโศฟาร์ชาวนาอาเมห์ตอบว่า
2“ฉะนั้นความคิดของข้าเร้าให้ข้าตอบ
เนื่องด้วยอารมณ์ปั่นป่วนภายในข้า
3ข้าได้ยินคำตำหนิที่สบประมาทข้า
แต่ความเข้าใจของข้าดลใจให้ข้าตอบ
4ท่านไม่ทราบเรื่องนี้หรือว่า ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มา
ตั้งแต่มนุษย์ถูกวางไว้บนแผ่นดินโลก
5เสียงไชโยของคนอธรรมนั้นสั้น
และความชื่นบานของคนที่ไม่นับถือพระเจ้านั้นเป็นแต่ครู่เดียว
6แม้ตัวเขาสูงขึ้นถึงฟ้าสวรรค์
และศีรษะของเขาไปถึงหมู่เมฆ
7เขาจะพินาศเป็นนิตย์อย่างอุจจาระของตัวเอง
บรรดาคนที่เคยเห็นเขาจะพูดว่า ‘เขาอยู่ที่ไหนนะ?’
8เขาจะบินไปเสียเหมือนความฝันและจะไม่มีผู้ใดพบอีก
เขาจะถูกไล่ไปเสียอย่างนิมิตยามค่ำคืน
9ดวงตาที่เคยจ้องมองเขาจะไม่เห็นเขาอีก
และสถานที่ของเขาจะไม่เห็นเขาอีกเลย
10ลูกหลานของเขาจะขอความช่วยเหลือจากคนยากจน
และมือของเขาจะคืนทรัพย์สมบัติของเขา
11กระดูกของเขาเคยเต็มด้วยเรี่ยวแรงของคนหนุ่ม
แต่เรี่ยวแรงนั้นจะนอนลงกับเขาในผงคลีดิน
12“แม้ว่าความชั่วร้ายจะหวานอยู่ในปากของเขา
แม้เขาซ่อนมันไว้ใต้ลิ้นของเขา
13แม้เขาไม่อยากจะปล่อยมันไป
และอมไว้ในปากของเขา
14อาหารในกระเพาะของเขากลับกลายเป็น
พิษงูเห่าในตัวเขา
15เขากลืนทรัพย์สมบัติลงไป แต่จะอาเจียนมันออกมาอีก
พระเจ้าทรงขับมันออกมาจากท้องเขา
16เขาจะดูดพิษงูเห่า
ลิ้นของงูกะปะจะฆ่าเขา
17เขาจะไม่ได้ชื่นชมลำน้ำ
คือลำธารที่มีน้ำผึ้งและนมข้นไหลอยู่
18เขาจะคืนผลงานของเขา
และจะไม่กลืนกินมันเสีย
เขาจะไม่ได้ความชื่นบานเลย
จากกำไรแห่งการค้าของเขา
19เพราะเขาได้ขยี้และทอดทิ้งคนจน
เขาได้ยึดบ้านที่เขาไม่ได้สร้าง
20“เพราะความโลภของเขาไม่รู้จักพอ
เขาจะไม่ปล่อยสิ่งที่เขาปรารถนาไปเลย
21เมื่อเขากินแล้วก็ไม่มีอะไรเหลือ
เหตุฉะนั้น ความเจริญของเขาจะไม่ถาวร
22ในขณะที่เขาอิ่มหนำสำราญ เขาจะตกในสภาพขัดสน
ฤทธิ์เดชของความทุกข์ยากจะมาถึงเขา
23เพื่อเติมท้องของเขาให้เต็ม
พระองค์จะทรงส่งพระพิโรธอันดุเดือดมายังเขา
และทรงหลั่งลงมาบนเขาให้เป็นอาหารของเขา
24แม้เขาจะหนีจากอาวุธเหล็ก
ธนูทองสัมฤทธิ์ก็จะแทงเขาทะลุ
25เขาถอนมันออกจากร่างกาย
เออ ปลายอันวับแวบออกมาจากถุงน้ำดี
ความน่าหวาดเสียวมาถึงเขา
26ความมืดมิดได้สะสมไว้แก่ทรัพย์สมบัติของเขา
ไฟที่ไม่ต้องกระพือจะกลืนเขาเสีย
สิ่งใดที่เหลืออยู่ในเต็นท์ของเขาจะถูกเผาผลาญ
27ฟ้าสวรรค์จะสำแดงความบาปชั่วของเขา
และแผ่นดินโลกจะลุกขึ้นปรักปรำเขา
28ข้าวของแห่งครัวเรือนของเขาจะถูกนำไปเสีย
ถูกกวาดไปในวันแห่งพระพิโรธของพระองค์
29นี่เป็นส่วนของคนอธรรมจากพระเจ้า
และเป็นมรดกที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เขา”
โยบ 21
โยบตอบว่า บ่อยครั้งที่คนอธรรมไม่ถูกลงโทษ
1แล้วโยบตอบว่า
2“ขอฟังถ้อยคำของข้าให้ดี
และให้คำนี้ปลอบใจพวกท่าน
3ขออดทนหน่อย และข้าจะพูด
และเมื่อข้าพูดแล้ว ก็เยาะเย้ยต่อไปเถอะ
4ส่วนข้านี้ ข้าบ่นต่อว่ามนุษย์หรือ?
ไฉนข้าจึงไม่ควรหุนหัน?
5มองดูข้าซี และจงตกตะลึงเถิด
และจงเอามือปิดปาก
6เมื่อระลึกขึ้นมาได้ ข้าก็หวาดผวา
และเนื้อตัวข้าสั่นระริก
7ไฉนพวกคนอธรรมจึงมีชีวิตอยู่
เออ จนแก่เฒ่า และเจริญมีกำลังมากขึ้น?
8ลูกหลานของเขาก็ตั้งมั่นคงอยู่ต่อหน้าเขา
และเชื้อสายของเขาก็อยู่ต่อหน้าต่อตาเขา
9เรือนของเขาก็ปลอดจากความกลัว
และไม้เรียวของพระเจ้าก็ไม่อยู่บนเขา
10พ่อวัวของเขาผสมพันธุ์ ไม่มีพลาด
แม่วัวของเขาตกลูก ไม่มีแท้ง
11เขาส่งเด็กเล็กออกไปอยู่อย่างฝูงแพะแกะ
และเด็กๆ ของเขาก็เต้นรำ
12เขาร้องเพลงประสานเสียงรำมะนา และพิณเขาคู่
และเปรมปรีดิ์ตามเสียงปี่
13เขามั่งมีศรีสุขตลอดวันเวลาของเขา
และลงไปยังแดนคนตายอย่างสงบ
14เขาทูลพระเจ้าว่า ‘ขอไปเสียจากเรา
เพราะเราไม่ปรารถนาความรู้ในทางของพระองค์
15องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คืออะไร ที่เราจะต้องปรนนิบัติพระองค์พระองค์?
ถ้าเราอธิษฐานต่อพระองค์ เราจะได้ประโยชน์อะไร?’
16ดูเถิด ความเจริญมิได้อยู่ในกำมือพวกเขาหรือ?
คำปรึกษาของคนอธรรมอยู่ห่างไกลจากข้า
17“ตะเกียงของคนอธรรมดับบ่อยเท่าใด?
ความยากลำบากมาเหนือเขาบ่อยเท่าใด?
พระเจ้าทรงแจกจ่ายความเจ็บปวดด้วยพระพิโรธบ่อยเท่าใด?
18เขาเป็นเหมือนฟางที่ลมพัดไป
และเป็นเหมือนแกลบที่พายุพัดไปบ่อยเท่าใด?
19ท่านว่า ‘พระเจ้าทรงสะสมความบาปชั่วของเขาไว้ให้ลูกหลานของเขา’
ขอพระองค์ทรงตอบแทนแก่เขาทั้งหลายเอง
เพื่อเขาทั้งหลายจะได้ทราบ
20ขอให้นัยน์ตาของเขาเห็นความพินาศของเขา
และให้เขาดื่มพระพิโรธขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์
21เพราะเขาจะสนใจอะไรเกี่ยวกับเชื้อสายที่เกิดมาภายหลัง
เมื่อจำนวนเดือนของเขาถูกตัดขาดเสียแล้ว
22ผู้ใดจะอาจสอนความรู้แด่พระเจ้า
เมื่อพระองค์ทรงพิพากษาผู้อยู่ในที่สูง?
23คนหนึ่งตายเมื่อยังแข็งแรงเต็มที่
สบายและปลอดภัยทั้งสิ้น
24ตัวของเขาเต็มด้วยน้ำนม
และไขกระดูกของเขาก็ชุ่ม
25อีกคนหนึ่งตายด้วยใจขมขื่น
ไม่เคยได้ชิมของดี
26เขาทั้งสองนอนลงในผงคลีดินเหมือนกัน
และตัวหนอนก็คลุมเขาทั้งสองไว้
27“ดูเถิด ข้ารู้ความคิดของพวกท่าน
และอุบายของท่านที่จะทำผิดต่อข้า
28เพราะท่านว่า ‘วังของเจ้านายอยู่ที่ไหน?
เต็นท์ซึ่งคนอธรรมอาศัยนั้นอยู่ที่ไหน?’
29ท่านมิได้ถามนักเดินทาง
และท่านไม่ได้รับสักขีพยานของเขาหรือ?
30ว่าในคราวที่เกิดภัยพิบัตินั้น คนอธรรมมักรอดได้
ในวันแห่งพระพิโรธ เขาก็ได้รับการช่วยให้พ้น
31ผู้ใดแจ้งวิธีการของเขาให้เขาฟัง?
และผู้ใดสนองเขาในสิ่งที่เขาได้ทำ?
32และเมื่อคนหามเขาไปยังหลุมศพ
ก็มียามเฝ้าที่อุโมงค์
33สำหรับเขา ก้อนดินที่หุบเขาก็เบาสบาย
คนทั้งปวงตามเขาไป
และคนที่ไปข้างหน้าก็นับไม่ถ้วน
34แล้วทำไมท่านจะมาปลอบใจข้าด้วยสิ่งว่างเปล่า?
คำตอบของท่านไม่มีอะไรเหลือแล้ว นอกจากการหลอกลวง”
อรรถาธิบาย
มุมมองของผู้นำ
เพื่อนของโยบยังคงพูดคำว่า ‘สิ่งที่ว่างเปล่า’ และ ‘ไม่มีอะไรเหลือแล้วนอกจากการมุสา’ (21:34, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขาพยายามปลอบใจโยบด้วยคำว่า ‘ว่างเปล่าและไร้ประโยชน์’ (ข้อ 34, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
ในทางกลับกันเราเห็นว่าโยบต้องต่อสู้กับความทุกข์ของตัวเองอย่างแท้จริง ซึ่งตรงข้ามกับการวิเคราะห์อย่างผิวเผินของเพื่อน ๆ แต่เขามองว่าโลกนี้ช่างซับซ้อนมาก ในชีวิตนี้มีความอยุติธรรมมากมาย เขาได้ร้องออกมาว่า ‘ไฉนพวกคนอธรรมจึงมีชีวิตอยู่ เออ จนแก่เฒ่า…เขามั่งมีศรีสุขตลอดวันเวลาของเขา และลงไปยังแดนคนตายอย่างสงบ’ (ข้อ 7,13)
อย่าแปลกใจที่หากมีบางคนที่ปฏิเสธพระเจ้าโดยสิ้นเชิง พวกเขาพูดกับพระเจ้าว่า ‘ขอไปเสียจากเรา เพราะเราไม่ปรารถนาความรู้ในทางของพระองค์ องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คืออะไร ที่เราจะต้องปรนนิบัติพระองค์ ถ้าเราอธิษฐานต่อพระองค์ เราจะได้ประโยชน์อะไร’ (ข้อ 14–15) แต่ก็ดูเหมือนพวกเขาจะมีชีวิตที่รุ่งเรืองและสงบสุข
พระคัมภีร์ไม่เคยบอกว่า ‘คนชั่ว’ จะได้รับความยุติธรรมในชีวิตนี้ บางครั้งพวกเขาได้รับ แต่ในบางครั้งพวกเขาก็ดูเหมือนจะขาดจากมัน อย่าแปลกใจถ้าคุณเห็น ‘คนชั่วร้าย’ ที่มีชีวิตที่รุ่งเรือง และอย่าแปลกใจหากคุณเห็นความทุกข์ทรมานของ ‘ผู้บริสุทธิ์’ ดูเหมือนพระเจ้าจะยอมให้ทั้งสองอย่างเกิดขึ้นในชีวิตนี้ด้วยเช่นกัน (นี่ไม่ได้หมายความว่าเราควรจะนิ่งนอนใจกับความอยุติธรรม หรือความทุกข์ทรมานของผู้บริสุทธิ์ แต่ควรทำทุกอย่างด้วยกำลังที่มีเพื่อต่อสู้กับมัน)
อย่างไรก็ตามชีวิตนี้ไม่ใช่จุดจบ พระเจ้าทรงมีเวลานิรันดร์กาลในการจัดวางทุกอย่างให้เข้าที่ ดั่งที่โยบเฝ้ารอความหวังในอนาคตในแบบที่แทบไม่เหมือนใครในพันธสัญญาเดิมเช่นเดียวกับในความหวังของเราเช่นกัน
‘แต่ข้าเองทราบว่า พระผู้ไถ่ของข้าทรงพระชนม์อยู่ และในที่สุดพระองค์จะทรงปรากฏบนแผ่นดินโลก และหลังจากผิวหนังของข้าถูกทำลายไปอย่างนี้ แล้วในเนื้อหนังของข้า ข้าจะเห็นพระเจ้า’ (19:25–26)
ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ของโยบ บ่งบอกถึงความหวังในพันธสัญญาใหม่เรื่องการฟื้นคืนชีพและชีวิตนิรันดร์ ผู้นำของพระอื่นๆ มีมุมมองเกี่ยวกับนิรันดร์ ซึ่งให้มิติที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการเป็นผู้นำแบบคริสเตียน
ลองนึกภาพว่ามีคนสำคัญมาเยี่ยมบ้านของคุณ คุณอาจจะทำหลายอย่างเพื่อเตรียมตัวให้พร้อม คุณจะเตรียมตัวเองให้พร้อมด้วยเช่นกัน และคุณต้องแน่ใจว่าคนอื่น ๆ ในบ้านพร้อม รวมถึงต้องมั่นใจว่าบ้านนั้นดูสะอาด และเป็นระเบียบเรียบร้อยดี
ผู้นำคริสเตียนมีมุมมองเกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์ และหวังว่า ‘ในที่สุดพระองค์จะทรงปรากฏบนแผ่นดินโลก’ (ข้อ 25) ให้เรามุ่งเน้นไปที่การเตรียมตัวให้พร้อม และเตรียมผู้อื่นให้พร้อม (การประกาศการสร้างสาวกและการอภิบาล) และเตรียมบ้านของเราให้พร้อม (การฟื้นฟูคริสตจักรและการเปลี่ยนแปลงสังคม) ความกังวลเหล่านี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้นำคริสตจักรเท่านั้น ยังรวมถึงผู้นำคริสเตียนในทุกพันธกิจและสังคม ควรมีมุมมองพื้นฐานทั้งสามนี้ฝังอยู่ในความคิดการตัดสินใจ และการกระทำของพวกเขา
นอกจากนี้ มุมมองนี้ควรปรับเปลี่ยนทัศนคติต่อแผนและเป้าหมายของคุณ เมื่อสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่หวังอันเนื่องจากความไม่ยุติธรรมของตัวบุคคล องค์กร หรือระบบ แต่คุณยังคงเชื่อและวางใจได้ว่าสักวันหนึ่งจะมาถึงซึ่งความยุติธรรมอย่างแน่นอน
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่วันหนึ่งข้าพระองค์จะได้เห็นพระเจ้าด้วยตาของข้าพระองค์เอง (ข้อ 27, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) โปรดช่วยให้ข้าพระองค์ดำเนินชีวิตในแต่ละวันด้วยสายตาแห่งชีวิตนิรันดร์ และช่วยข้าพระองค์ให้ชีวิต และเป็นผู้นำเหมือนอย่างพระเยซู
เพิ่มเติมโดยพิพพา
โยบ 19:25 กล่าวว่า ‘พระผู้ไถ่ของข้าทรงพระชนม์อยู่’ ข้อพระคำนี้ปรากฏใน Handel’s Messiah ซึ่งบทเพลงชิ้นนี้ถูกเล่นในงานศพคุณพ่อของฉัน มันช่างไพเราะและปลอบประโลมจิตใจอย่างสุดซึ้ง
แฮนเดลใช้พระคำที่ทรงพลังเหล่านี้ให้กลายเป็นบทเพลงอันน่าทึ่ง ตั้งแต่การแสดงครั้งแรกในปี 1742 ก็นำได้หนุนจิตชูใจ และนำศรัทธามาสู่ผู้คนนับล้านเลยทีเดียว
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)