วัน 39

วิธีดำเนินชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตร

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 19:1-6
พันธสัญญาใหม่ มัทธิว 26:1-30
พันธสัญญาเดิม อพยพ 1:1-3:22

เกริ่นนำ

มีคริสเตียนหลายแสนคนอยู่ในกลุ่มผู้ลี้ภัยจากอิรักและซีเรียท่ามกลางความขัดแย้งของกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง คริสเตียนเหล่านั้นต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากระบบการทรมานและการสังหารชีวิตจำนวนมาก กลุ่มก่อการร้ายไอซิสประกาศให้ศาสนาคริสต์เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่ง

คริสเตียนหลายล้านคนอาศัยอยู่ในประเทศที่พวกเขาถูกข่มเหงเพราะความเชื่อ รัฐบาลหลายประเทศพยายามควบคุมการเติบโตของคริสตจักร แม้แต่ในประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์ บางครั้งก็มีการต่อต้านศาสนาคริสต์อย่างรุนแรง ความเป็นศัตรูต่อประชากรของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องใหม่ ผู้คนมักถูกล่อลวงด้วยความสำเร็จ การเติบโตและทวีคูณมากขึ้น

บางทีคุณอาจเผชิญกับการต่อต้านในที่ทำงานหรือแม้แต่ในครอบครัวเพราะความเชื่อของคุณ เนื้อหาในวันนี้ไม่เพียงแต่เน้นถึงความเป็นจริงของการใช้ชีวิตในสังคมที่เป็นศัตรูกับเรา แต่ยังชี้ให้เห็นว่าคุณจะอยู่รอดและประสบความสำเร็จได้อย่างไรท่ามกลางการต่อต้านดังกล่าว

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 19:1-6

พระสิริในสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง และในธรรมบัญญัติ

ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด

1ท้องฟ้าประกาศพระสิริของพระเจ้า
 และพื้นฟ้าสำแดงผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์
2วันส่งถ้อยคำให้แก่วัน
 และคืนแจ้งความรู้ให้แก่คืน
3ถ้อยคำไม่มี วาจาก็ไม่มี
 และไม่มีใครได้ยินเสียงฟ้า
4ถึงกระนั้น เสียงของมันก็ออกไปทั่วแผ่นดินโลก
 และถ้อยคำก็ออกไปถึงสุดปลายพิภพ
 พระองค์ทรงตั้งเต็นท์ไว้ให้ดวงตะวัน ณ ที่นั้น
5ซึ่งออกมาอย่างเจ้าบ่าวออกมาจากห้องโถงของเขา
 และวิ่งไปตามวิถีด้วยความปีติยินดีอย่างชายฉกรรจ์
6ดวงตะวันขึ้นมาจากสุดปลายฟ้าข้างหนึ่ง
 และโคจรไปถึงที่สุดปลายอีกข้างหนึ่ง
 ไม่มีสิ่งใดซ่อนให้พ้นจากความร้อนของมันได้

อรรถาธิบาย

ศึกษาการเปิดเผยของพระเจ้า

พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองต่อคนทั้งโลกผ่านการทรงสร้าง ดาวิดกล่าวว่าเมื่อคุณมองไปที่สรรพสิ่งทั้งสิ้นคุณจะเห็นได้ชัดว่ามีพระเจ้า ‘ท้องฟ้าประกาศพระสิริของพระเจ้า และพื้นฟ้าสำแดงผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์ วันส่งถ้อยคำให้แก่วัน และคืนแจ้งความรู้ให้แก่คืน’ (ข้อ 1–2)

ฟรานซิส คอลลินส์ ผู้อำนวยการโครงการถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์ ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์กว่า 2,000 คน ได้ศึกษาค้นคว้ารหัสพันธุกรรมของมนุษย์ที่มีความยาวกว่า 3 พันล้านตัวอักษร ซึ่งหนังสือคำแนะนำเกี่ยวกับดีเอ็นเอของทางโครงการ ได้กล่าวว่า ‘ผมมองไม่เห็นว่าธรรมชาติสร้างขึ้นมาได้อย่างไร มีเพียงพลังเหนือธรรมชาติที่อยู่นอกอวกาศและกาลเวลาเท่านั้นที่สามารถทำได้’

การเปิดเผยของพระเจ้าในการทรงสร้างมีให้สำหรับทุกคน ไม่มีใครได้รับการยกเว้นจากสิ่งนี้ ‘ถ้อยคำไม่มี วาจาก็ไม่มี และไม่มีใครได้ยินเสียงฟ้า ถึงกระนั้น เสียงของมันก็ออกไปทั่วแผ่นดินโลกและถ้อยคำก็ออกไปถึงสุดปลายพิภพ’ (ข้อ 3–4)

เมื่อเรามองไปที่โลกใบนี้เราจะเห็นรอยเท้าขององค์พระผู้เป็นเจ้า ‘ฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์’ (โรม 1:20) ถึงกระนั้นแม้ว่าพระเจ้าจะทรงเปิดเผยพระองค์เองต่อคนทั้งโลก แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นศัตรูกับพระองค์

ให้เราใช้เวลาเรียนรู้การทรงสร้างของพระเจ้า และขอบคุณพระองค์ในสิ่งที่พระองค์เป็น และเพลิดเพลินไปกับความงดงามแห่งการทรงสร้างของพระองค์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงตรัสอยู่ทุกวัน และทุกคืนผ่านการทรงสร้างนี้ และไม่มีคำพูดหรือภาษาใดที่ไม่ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์

พันธสัญญาใหม่

มัทธิว 26:1-30

แผนการประหารพระเยซู

 1เมื่อพระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านี้เสร็จแล้ว จึงตรัสกับบรรดาสาวกของพระองค์ว่า 2“พวกท่านรู้อยู่ว่าอีกสองวันจะถึงเทศกาลปัสกาเทศกาลของพวกยิว เพื่อระลึกถึงการที่พระเจ้าทรงช่วยกู้ชาติของตน ให้พ้นจากการเป็นทาสในอียิปต์ และบุตรมนุษย์จะถูกมอบตัวให้เอาไปตรึงที่กางเขน”
 3เวลานั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตและบรรดาผู้ใหญ่ของประชาชนมาประชุมกันที่สำนักของมหาปุโรหิตที่ชื่อว่าคายาฟาส 4เขาทั้งหลายปรึกษากันที่จะจับพระเยซูด้วยอุบายและเอาไปฆ่าเสีย 5แต่เขาพูดกันว่า “อย่าเพิ่งทำในช่วงเทศกาลเลย มิฉะนั้นประชาชนจะเกิดความวุ่นวาย”

การชโลมที่เบธานี

 6ในระหว่างที่พระเยซูประทับอยู่ที่หมู่บ้านเบธานีในบ้านของซีโมนคนเคยเป็นโรคเรื้อน 7มีหญิงคนหนึ่งถือขวดน้ำมันหอมราคาแพงมากมาหาพระองค์ แล้วเทน้ำมันนั้นบนพระเศียรของพระองค์ขณะพระองค์ประทับและเสวยอาหาร 8เมื่อสาวกทั้งหลายของพระองค์เห็นก็ไม่พอใจ จึงพูดว่า “ทำไมต้องสิ้นเปลืองอย่างนี้? 9น้ำมันหอมนี้ถ้าขายก็ได้เงินจำนวนมาก แล้วเอาไปแจกคนยากจนได้” 10พระเยซูทรงทราบจึงตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “กวนใจหญิงคนนี้ทำไม? นางได้ทำความดีต่อเรา 11เพราะว่าคนยากจนมีอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอ แต่เราไม่ได้อยู่กับท่านเสมอไป 12การที่หญิงนี้เทน้ำมันหอมบนกายเราก็เพื่อเตรียมการฝังศพของเรา 13เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า สิ่งที่หญิงคนนี้ทำจะถูกกล่าวขวัญถึงทั่วโลกที่มีการประกาศข่าวประเสริฐนี้ เพื่อเป็นการระลึกถึงนาง”

ยูดาสตกลงที่จะทรยศพระเยซู

 14เวลานั้นคนหนึ่งในสาวกสิบสองคนชื่อยูดาสอิสคาริโอทไปหาพวกหัวหน้าปุโรหิต 15บอกว่า “ถ้าข้าพเจ้ามอบตัวเขาให้พวกท่าน ท่านจะให้ข้าพเจ้าเท่าไหร่?” พวกเขาก็ให้เงินยูดาสสามสิบเหรียญ 16ตั้งแต่นั้นมา ยูดาสคอยหาช่องที่จะทรยศพระองค์

การเสวยปัสกากับอัครทูต

 17ในวันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ บรรดาสาวกมาทูลถามพระเยซูว่า “จะให้พวกข้าพระองค์เตรียมปัสกาให้พระองค์เสวยที่ไหน?” 18พระองค์ตรัสตอบว่า “จงเข้าไปในเมืองหาคนผู้หนึ่ง แล้วบอกเขาว่า ‘อาจารย์พูดว่า “กำหนดเวลาของเรามาใกล้แล้ว เราจะถือปัสกาที่บ้านของท่านพร้อมกับสาวกทั้งหลายของเรา” 19พวกสาวกจึงทำตามที่พระเยซูตรัสสั่ง และเตรียมปัสกาไว้พร้อม
 20พอถึงเวลาพลบค่ำ พระองค์ประทับและเสวยอาหารกับสาวกสิบสองคน 21เมื่อรับประทานกันอยู่ พระองค์ตรัสว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า คนหนึ่งในท่านจะทรยศเรา” 22พวกสาวกก็พากันเป็นทุกข์ ต่างคนต่างเริ่มทูลถามพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า คือข้าพระองค์หรือ?” 23พระองค์ตรัสตอบว่า “คนที่เอามือจิ้มลงในชามเดียวกันกับเรานั่นแหละ คือคนที่จะทรยศเรา 24บุตรมนุษย์จะต้องไปตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับท่าน แต่วิบัติมีแก่คนที่ทรยศบุตรมนุษย์ ถ้าคนนั้นไม่ได้เกิดมาก็จะดีกว่า” 25ยูดาสคนที่ทรยศพระองค์ทูลว่า “พระอาจารย์ คือข้าพระองค์หรือ?” พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ท่านว่าถูกแล้ว”

การทรงตั้งพิธีมหาสนิท

 26ระหว่างรับประทานอยู่นั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังขึ้นมา และเมื่อขอพระพรแล้ว ก็ทรงหักส่งให้บรรดาสาวกตรัสว่า “จงรับไปกินเถิด นี่เป็นกายของเรา” 27แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย เมื่อขอบพระคุณแล้ว ก็ทรงส่งให้พวกเขาตรัสว่า “จงรับไปดื่มทุกคนเถิด 28เพราะว่านี่เป็นโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาที่หลั่งออกเพื่อยกบาปโทษคนจำนวนมาก 29เราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มจากผลของเถาองุ่นนี้อีกต่อไปจนกว่าจะถึงวันนั้น ที่เราจะดื่มกับพวกท่านอีกในแผ่นดินแห่งพระบิดาของเรา” 30เมื่อร้องเพลงสรรเสริญแล้ว เขาทั้งหลายก็พากันไปที่ภูเขามะกอกเทศ

อรรถาธิบาย

เข้าใจวิธีการแก้ปัญหาขององค์พระผู้เป็นพระเจ้า

คุณเคยถูกเพื่อนกล่าวหาหรือทรยศหรือไม่? เคยมีคนวางแผนเล่นงานคุณหรือไม่? หรือคุณเคยประสบกับความเกลียดชังส่วนตัวในรูปแบบอื่น ๆ บ้างไหม? พระเยซูทรงประสบกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด

พระเจ้าได้เปิดเผยพระองค์เองผ่านการทรงสร้าง อย่างไรก็ตามการเปิดเผยสูงสุดของพระองค์อยู่ในรูปแบบของผู้เป็นพระบุตรของพระองค์ นั่นคือ พระเยซูคริสต์

พระเจ้าได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่เป็นศัตรูกับพระองค์นี้ เพื่อทำอะไรบางอย่าง ในพระธรรมตอนนี้เราจะเห็นวิธีแก้ปัญหาของพระเจ้า ซึ่งทรงกระทำผ่านทางพระบุตรของพระองค์นั่นคือพระเยซู กระนั้นโลกก็เป็นศัตรูแม้กระทั่งกับพระเยซูด้วย

1.\tวางแผนด้วยอุบาย

เราไม่ควรแปลกใจกับการที่โลกเป็นศัตรูกับพระเยซูและคริสเตียนในปัจจุบัน พระเยซูทรงทราบดีว่าพระองค์จะถูก ‘มอบตัวให้เอาไปตรึงที่กางเขน’ (ข้อ 2) พวกหัวหน้าปุโรหิตและผู้ใหญ่ของประชาชนวางแผน ‘จับพระเยซูด้วยอุบายและเอาไปฆ่าเสีย’ (ข้อ 4)

พระเยซูตรัสกับสาวกทั้งสิบสองของพระองค์ว่า ‘พวกเจ้าคนหนึ่งจะส่งเราไปหาผู้สมรู้ร่วมคิด’ (ข้อ 21, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

2. การกล่าวหา

เมื่อหญิงคนหนึ่ง ‘ถือขวดน้ำมันหอมราคาแพงมากมาหาพระองค์ แล้วเทน้ำมันนั้นบนพระเศียรของพระองค์’ (ข้อ 7) แต่สาวกกลับมองว่าสิ่งที่นางทำเพื่อพระเยซูนั้น ‘สิ้นเปลือง’ (ข้อ 8)

มีบางอย่างที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ พระเยซูถูกมอบชีวิตไว้ที่กางเขนเพื่อเรา ทรงจ่ายราคามากเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้และความตายของพระองค์ก็ใกล้เข้ามา ดังนั้นขวดน้ำหอมราคาแพงที่สาวกตีโพยตีพายว่าสิ้นเปลืองกลับเหมาะสมกับพระเยซูคริสต์ที่สุด

คนส่วนใหญ่เข้าใจในความทุ่มเทให้กับงานทั่วไปของคุณ (เช่น การทำงานเพื่อปากท้อง) แต่พวกเขากลับไม่เข้าใจการนมัสการพระเยซูและการอุทิศตนเพื่อพระองค์ พวกเขามองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ ‘สิ้นเปลือง’ และคิดว่าการใช้เวลาและเงินเป็นการดีกว่าอย่างแน่นอน (ข้อ 9) แต่พระเยซูทรงเห็นต่างออกไป ‘นางได้ทำความดีต่อเรา’ (ข้อ 10) หญิงคนนั้นสำแดงความรักที่มีค่าและมีราคาแพงต่อพระเยซู

3. การทรยศ

ผู้คนจะมักใช้เงินไปกับอะไร! ยูดาสรอโอกาสที่จะอายัดพระเยซูเพื่อแลกกับเงิน 'สามสิบเหรียญเงิน' (ข้อ 15) พระเยซูต้องเจ็บปวดสักเพียงไร! ยูดาสเป็นหนึ่งในสาวกสิบสองคนที่สนิทที่สุด ที่พระองค์ทรงเลือกไว้ และพระองค์ก็รู้ว่า 'คนหนึ่งในท่านจะทรยศเรา' (ข้อ 21)

ถึงกระนั้นโดยความรักอันอัศจรรย์ของพระเยซูที่สามารถสิ้นพระชนม์แทนพวกเขาได้ ในระหว่างมื้ออาหาร พระองค์เริ่มอธิบายความหมายของการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ผ่านการหักขนมปังและดื่มเหล้าองุ่นว่า พระโลหิตของพระองค์จะต้องถูก ‘หลั่งออกเพื่อยกบาปโทษคนจำนวนมาก’ (ข้อ 28) คำตอบของพระเยซูที่มีต่อโลกที่เป็นปรปักษ์คือการถูกตรึงกางเขนเพื่อให้อภัยและไถ่บาป

ทุกครั้งที่คุณรับศีลมหาสนิทคุณจะได้รับการย้ำถึงความเป็นศัตรูของโลกที่มีต่อพระเยซูและความรักที่พระองค์มีต่อโลกใบเดียวกันนี้

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเยซู ขอบคุณพระองค์ที่สละชีวิตเพื่อข้าพระองค์และสำแดงให้เห็นถึงความรักโลกนี้ที่เป็นศัตรูกับพระองค์

พันธสัญญาเดิม

อพยพ 1:1-3:22

คนอิสราเอลในอียิปต์

 1ต่อไปนี้เป็นรายชื่อบุตรของอิสราเอลที่เข้าไปอาศัยอยู่ในอียิปต์ (ต่างก็ตามยาโคบไปพร้อมกับครอบครัวของตน) 2คือ รูเบน สิเมโอน เลวี และยูดาห์ 3อิสสาคาร์ เศบูลุน และเบนยามิน 4ดานและนัฟทาลี กาดและอาเชอร์ 5คนทั้งสิ้นที่เป็นเชื้อสายของยาโคบรวม 70 คนด้วยกัน ส่วนโยเซฟนั้นอยู่ในอียิปต์แล้ว 6ต่อมาโยเซฟกับพี่ชายและน้องชาย อีกทั้งคนช่วงอายุนั้นได้ถึงแก่ความตายไปหมดแล้ว 7แต่พงศ์พันธุ์อิสราเอลมีลูกดกทวีมากขึ้นและมีกำลังมากยิ่ง พวกเขาแพร่หลายไปจนเต็มแผ่นดินนั้น

คนอิสราเอลถูกข่มเหง

 8มีกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชสมบัติในอียิปต์ พระองค์ไม่ทรงรู้จักโยเซฟ 9พระองค์ตรัสกับชนชาติของพระองค์ว่า “ดูสิ คนอิสราเอลมีมากเกินไปและมีกำลังยิ่งกว่าพวกเราอีก 10มาเถิด ให้พวกเราหาอุบายปราบเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะทวีมากขึ้น แล้วถ้าเกิดสงครามขึ้นเมื่อไร เขาจะสมทบกับพวกข้าศึกสู้รบกับพวกเรา แล้วจะยกออกไปจากแผ่นดินนี้” 11เพราะฉะนั้นคนอียิปต์จึงตั้งนายทาสผู้บีบบังคับคนอิสราเอลให้ทำงานหนัก และให้สร้างเมืองคลังหลวงสำหรับฟาโรห์คือ เมืองปิธมและเมืองราเมเสส 12แต่ยิ่งถูกบีบบังคับ ชนชาติอิสราเอลก็ยิ่งทวีมากขึ้น และยิ่งแผ่ขยายออกไป ชาวอียิปต์ทั้งเกลียดทั้งกลัวชนชาติอิสราเอล 13จึงบังคับชนชาติอิสราเอลให้ทำงานหนัก 14ทำให้ชีวิตของพวกเขาขมขื่นด้วยงานยากลำบากนั้น เช่น ทำปูนสอ ทำอิฐ และทำงานทุกอย่างที่ทุ่งนา พวกเขาถูกบังคับให้ทำงานหนักทุกชนิด
 15กษัตริย์อียิปต์มีรับสั่งแก่นางผดุงครรภ์ชาวฮีบรูคนหนึ่งชื่อชิฟราห์ อีกคนหนึ่งชื่อปูอาห์ 16ว่า “เมื่อเจ้าไปทำคลอดให้หญิงฮีบรูและเห็นเด็กคลอด ถ้าเป็นเด็กชายก็ให้ฆ่าเสีย ถ้าเป็นเด็กหญิงก็ให้ไว้ชีวิต”
 17แต่นางผดุงครรภ์ยำเกรงพระเจ้า จึงไม่ได้ทำตามพระบัญชาของกษัตริย์อียิปต์ ปล่อยให้เด็กชายรอดชีวิต
 18กษัตริย์อียิปต์จึงมีรับสั่งให้นางผดุงครรภ์เข้าเฝ้า ตรัสว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงทำอย่างนี้? ที่ปล่อยให้เด็กชายรอดชีวิต” 19นางผดุงครรภ์จึงทูลฟาโรห์ว่า “เพราะหญิงฮีบรูไม่เหมือนหญิงอียิปต์ พวกนางแข็งแรงจึงคลอดบุตรก่อนที่นางผดุงครรภ์จะไปถึง”
 20พระเจ้าจึงทรงดีต่อนางผดุงครรภ์นั้น คนอิสราเอลยิ่งทวีขึ้น และมีกำลังเข้มแข็งมาก 21เพราะนางผดุงครรภ์นั้นยำเกรงพระเจ้า พระองค์จึงโปรดให้พวกนางมีครอบครัว 22 ฟาโรห์มีรับสั่งแก่ราษฎรทั้งสิ้นของพระองค์ว่า “บุตรชายฮีบรูทุกคนที่เกิดมา พวกเจ้าจงเอาไปทิ้งเสียในแม่น้ำไนล์ แต่บุตรหญิงทุกคนให้มีชีวิตอยู่ได้”

อพยพ 2

กำเนิดและวัยเยาว์ของโมเสส

 1ชายเผ่าเลวีคนหนึ่งไปรับหญิงสาวเผ่าเดียวกันมาเป็นภรรยา 2หญิงนั้นตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย เมื่อนางเห็นว่าบุตรน่ารัก จึงซ่อนไว้ถึงสามเดือน 3เมื่อซ่อนต่อไปไม่ได้แล้ว นางก็เอาตะกร้าสานจากต้นกก ยาด้วยยางมะตอยและชัน วางทารกนั้นลงในตะกร้า แล้วนำไปไว้ที่กอปรือริมแม่น้ำไนล์ 4ส่วนพี่สาวของทารกนั้นยืนอยู่ห่างๆ คอยดูว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับน้อง
 5เมื่อพระราชธิดาของฟาโรห์เสด็จลงสรงที่แม่น้ำ และพวกสาวใช้เดินเที่ยวตามริมฝั่ง พระนางทรงเห็นตะกร้าอยู่กลางกอปรือ จึงมีรับสั่งให้สาวใช้ไปนำมา 6เมื่อเปิดตะกร้าออกก็เห็นทารก และดูสิ เด็กนั้นกำลังร้องไห้ พระนางทรงสงสาร ตรัสว่า “นี่เป็นลูกคนฮีบรู” 7พี่สาวเด็กนั้นจึงทูลถามพระราชธิดาของฟาโรห์ว่า “จะให้หม่อมฉันไปหาแม่นมชาวฮีบรูมาเลี้ยงทารกนี้ให้พระนางไหม?” 8พระราชธิดาของฟาโรห์จึงมีรับสั่งว่า “ไปหาเถิด” หญิงสาวคนนั้นจึงไปเรียกมารดาของทารกมา 9พระราชธิดาของฟาโรห์ตรัสสั่งนางว่า “รับเด็กนี้ไปเลี้ยงไว้ให้เรา แล้วเราจะให้ค่าจ้าง” นางจึงรับทารกไปเลี้ยง 10เมื่อทารกเติบโตขึ้น นางก็พามาถวายพระราชธิดาของฟาโรห์ พระนางก็ทรงรับไว้เป็นพระราชบุตรของพระนาง และประทานนามให้ว่า โมเสส ตรัสว่า “เพราะเราได้ฉุดขึ้นมาจากน้ำ”

โมเสสหนีไปมีเดียน

 11เมื่อโมเสสโตขึ้น ท่านไปหาพวกพี่น้อง เห็นพวกเขาต้องทำงานหนัก โมเสสเห็นคนอียิปต์คนหนึ่งกำลังตีคนฮีบรู ซึ่งเป็นชนชาติเดียวกับตน 12ท่านมองซ้ายมองขวาเห็นว่าไม่มีใครอยู่ จึงฆ่าคนอียิปต์นั้น แล้วซ่อนศพไว้ในทราย
 13เมื่อโมเสสออกไปอีกในวันรุ่งขึ้น ก็เห็นคนฮีบรูสองคนต่อสู้กันอยู่ จึงตักเตือนคนที่ทำผิดนั้นว่า “ท่านตีพี่น้องของท่านเองทำไม?”
 14เขาตอบว่า “ใครตั้งเจ้าให้เป็นเจ้านายและเป็นตุลาการปกครองเรา? เจ้าตั้งใจจะฆ่าตัวข้าเหมือนที่ได้ฆ่าคนอียิปต์คนนั้นหรือ?” โมเสสก็กลัว คิดว่า “เรื่องนั้นคงรู้กันทั่วแล้วแน่ๆ” 15เมื่อฟาโรห์ทรงทราบเรื่องก็หาช่องทางประหารโมเสส แต่โมเสสหนีฟาโรห์ไปอยู่ในแผ่นดินมีเดียน เขานั่งลงที่ริมบ่อน้ำแห่งหนึ่ง 16ปุโรหิตของคนมีเดียนมีบุตรหญิงเจ็ดคน หญิงเหล่านั้นพากันมาตักน้ำใส่รางให้ฝูงแพะแกะของบิดากิน 17เวลานั้นมีพวกคนเลี้ยงแกะมาไล่หญิงเหล่านั้น โมเสสจึงลุกขึ้นช่วยพวกนาง และให้สัตว์ของพวกนางกินน้ำ
 18เมื่อหญิงเหล่านั้นกลับไปหาเรอูเอลผู้เป็นบิดา ท่านถามว่า “วันนี้ทำไมพวกเจ้าจึงกลับเร็วนัก?”
 19พวกนางตอบว่า “มีชายอียิปต์คนหนึ่งช่วยเราพ้นจากมือของพวกคนเลี้ยงแกะ ทั้งยังตักน้ำให้เรา และให้ฝูงแพะแกะกินด้วย” 20บิดาจึงถามบุตรหญิงของท่านว่า “ชายคนนั้นอยู่ที่ไหน? ทำไมจึงทิ้งเขาไว้ล่ะ? ไปเชิญเขามารับประทานอาหารสิ”
 21โมเสสก็ตกลงใจอาศัยอยู่กับเรอูเอล แล้วเรอูเอลก็ยกศิปโปราห์บุตรสาวให้เป็นภรรยาของโมเสส 22นางก็คลอดบุตรชายคนหนึ่ง โมเสสตั้งชื่อว่า เกอร์โชม เพราะท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนต่างด้าวในต่างแดน”
 23หลายปีผ่านไป กษัตริย์อียิปต์ก็สิ้นพระชนม์ ชนชาติอิสราเอลทุกข์ระทมเพราะการเป็นทาส จึงร้องคร่ำครวญ เสียงร่ำร้องขอความช่วยเหลือเพราะการเป็นทาสนี้ ดังขึ้นไปถึงพระเจ้า 24พระเจ้าทรงได้ยินเสียงคร่ำครวญของพวกเขา จึงทรงระลึกถึงพันธสัญญาที่พระองค์ได้ทรงทำไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ 25พระเจ้าทอดพระเนตรชนชาติอิสราเอล แล้วพระเจ้าทรงทราบถึงสภาพความเป็นไปของพวกเขา

อพยพ 3

โมเสส ณ พุ่มไม้ที่มีเปลวไฟ

 1ขณะโมเสสกำลังเลี้ยงฝูงแพะแกะของพ่อตาคือเยโธรผู้เป็นปุโรหิตของคนมีเดียน ท่านได้พาฝูงแพะแกะข้ามถิ่นทุรกันดาร จนมาถึงภูเขาของพระเจ้าคือ โฮเรบอีกชื่อหนึ่งว่า ซีนาย 2ทูตของพระยาห์เวห์ก็ปรากฏแก่โมเสส เป็นเปลวไฟท่ามกลางพุ่มไม้ โมเสสมองดู เห็นพุ่มไม้นั้นมีไฟลุกโชนอยู่ แต่มิได้ไหม้ 3โมเสสจึงว่า “ข้าจะแวะเข้าไปดูสิ่งแปลกประหลาดนี้ ว่าทำไมพุ่มไม้จึงมิได้ไหม้”
 4เมื่อพระยาห์เวห์ทอดพระเนตรเห็นท่านหันมาดู พระองค์จึงตรัสเรียกท่านจากพุ่มไม้นั้นว่า “โมเสส โมเสสเอ๋ย”
 โมเสสทูลตอบว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่”  5พระองค์ตรัสว่า “อย่าเข้ามาใกล้ที่นี่ ถอดรองเท้าของเจ้าออกเสีย เพราะว่าตรงที่เจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์” 6แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า “เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ” โมเสสปิดหน้าเพราะกลัว ไม่กล้ามองดูพระเจ้า 7พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เราเห็นความทุกข์ของประชากรของเราที่อยู่ในอียิปต์แล้ว เราได้ยินเสียงร้องของพวกเขา เพราะการกดขี่ของพวกนายทาส เรารู้ถึงความทุกข์ร้อนต่างๆ ของเขา 8เราลงมาเพื่อจะช่วยเขาให้รอดจากมือชาวอียิปต์ และนำเขาออกจากแผ่นดินนั้น ไปยังแผ่นดินที่อุดม กว้างขวาง เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ คือไปยังที่อยู่ของคนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส 9บัดนี้เสียงร้องของชนชาติอิสราเอลมาถึงเราแล้ว ทั้งเราได้เห็นการบีบคั้นซึ่งคนอียิปต์ทำต่อพวกเขา 10และบัดนี้จงไปเถิด เราจะใช้เจ้าไปเข้าเฝ้าฟาโรห์ เพื่อจะได้พาประชากรของเราคือชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์”
 11โมเสสจึงทูลพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์เป็นใคร? ที่จะไปเข้าเฝ้าฟาโรห์และนำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์” 12พระองค์ตรัสว่า “เราจะอยู่กับเจ้าแน่ นี่เป็นหมายสำคัญให้เจ้ารู้ว่าเราใช้เจ้าไป คือเมื่อเจ้านำประชากรออกจากอียิปต์แล้ว เจ้าทั้งหลายจะมานมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้”

พระเจ้าทรงเปิดเผยพระนามของพระองค์

 13โมเสสทูลพระเจ้าว่า “เมื่อข้าพระองค์ไปหาชนชาติอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า ‘พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย ทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาหาพวกท่าน’ และพวกเขาจะถามข้าพระองค์ว่า ‘พระองค์ทรงพระนามว่าอะไร?’ ข้าพระองค์จะตอบพวกเขาอย่างไร?”
 14พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” แล้วพระองค์ตรัสว่า “ไปบอกชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า ‘พระองค์ผู้ทรงพระนามว่า เราเป็น ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย’ ” 15พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสอีกว่า “เจ้าจงกล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า ‘พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพวกท่าน คือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาหาพวกท่าน’ นี่เป็นนามของเราตลอดไปเป็นนิตย์ เป็นอนุสรณ์ของเราตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์ 16เจ้าจงไปรวบรวมพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลให้มาประชุมพร้อมกัน แล้วกล่าวกับพวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพวกท่าน พระเจ้าของอับราฮัม ของอิสอัค และของยาโคบ ทรงปรากฏแก่ข้าพเจ้า ตรัสว่า “เราเฝ้าดูเจ้าทั้งหลายแล้ว และได้เห็นสิ่งที่พวกเขาได้ทำต่อพวกเจ้าในอียิปต์ 17เราสัญญาไว้แล้วว่า เราจะพาเจ้าทั้งหลายไปให้พ้นจากความทุกข์ในอียิปต์ ไปยังแผ่นดินของคนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ไปยังแผ่นดินซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งบริบูรณ์” ’ 18พวกเขาจะเชื่อฟังคำของเจ้า แล้วเจ้ากับพวกผู้ใหญ่ของคนอิสราเอลจะพากันไปเข้าเฝ้ากษัตริย์อียิปต์ทูลว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของคนฮีบรู ทรงปรากฏแก่พวกข้าพระบาท บัดนี้ ขอได้โปรดให้พวกข้าพระบาทเดินทางไปในถิ่นทุรกันดารเป็นระยะทางสามวัน เพื่อจะถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระบาท’ 19เรารู้แล้วว่ากษัตริย์อียิปต์จะไม่ยอมให้พวกเจ้าไป เว้นแต่จะถูกบังคับด้วยมืออันเข้มแข็งของเรา 20เราจะเหยียดมือออกทำลายอียิปต์ด้วยการอัศจรรย์ทุกอย่าง ที่เราจะทำท่ามกลางประเทศนั้น หลังจากนั้น กษัตริย์ก็จะยอมปล่อยพวกเจ้าไป 21เราจะให้ประชากรเหล่านี้เป็นที่โปรดปรานของคนอียิปต์ เมื่อเจ้าทั้งหลายออกไปก็จะไม่ต้องไปมือเปล่า 22ให้ผู้หญิงทุกคนขอเครื่องเงินเครื่องทองและเสื้อผ้าจากเพื่อนบ้าน และจากหญิงที่อาศัยอยู่ในบ้านของเพื่อนบ้าน แล้วเอาเครื่องแต่งตัวนั้นไปแต่งให้บุตรชายบุตรหญิงของพวกเจ้า ด้วยวิธีนี้แหละ พวกเจ้าจะได้ริบเอาสิ่งของของคนอียิปต์”

อรรถาธิบาย

การรู้จักว่าพระเจ้าเป็นใคร

โมเสสถามพระเจ้าว่า ‘ข้าพระองค์เป็นใคร ที่จะไป?’ พระเจ้าตอบโดยบอกว่าพระองค์เป็นใคร ในท้ายที่สุดคำตอบสำหรับคำถามและปัญหาทั้งหมดไม่ใช่ว่าเราเป็นใคร แต่คำตอบอยู่ที่*พระองค์เป็นใคร *

หากคุณถามชาวยิวในศตวรรษแรกว่าใครคือบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา พวกเขาจะตอบว่า ‘โมเสส’ อย่างไม่ต้องสงสัย โมเสสเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาวยิว โดยการช่วยพวกเขาจากการเป็นทาสไปสู่ชีวิตแห่งอิสรภาพ มอบบทบัญญัติแก่พวกเขา ในหนังสืออพยพได้นำเสนอเราเกี่ยวกับบทบัญญัติของชนชาติใหม่และแนะนำให้เรารู้จักกับชายที่จะรับผิดชอบในส่วนนี้

'มีกษัตริย์องค์ใหม่' ขึ้นครองราชย์สมบัติซึ่ง ‘พระองค์ไม่ทรงรู้จักโยเซฟ’ (1:8) ‘กษัตริย์องค์ใหม่’ ไม่รู้ข้อเท็จจริงที่ว่าโยเซฟช่วยอียิปต์ ชาวอียิปต์ลืมความดีที่คนของพระเจ้าเคยทำในอดีตไปอย่างรวดเร็วและเริ่มบีบบังคับชนชาติอิสราเอลให้เป็นทาสและทำงานอย่าง ‘หนัก’ (ข้อ 11–14) พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือและ ‘พระเจ้าทรงได้ยินเสียงคร่ำครวญของพวกเขา’ (2:24)

บรรดาฝูงชนพยายามกำจัดคนของพระเจ้ามาตลอดประวัติศาสตร์ แต่ก็ไม่เคยได้ผล ‘แต่ยิ่งถูกบีบบังคับ ชนชาติอิสราเอลก็ยิ่งทวีมากขึ้น และยิ่งแผ่ขยายออกไป ชาวอียิปต์ทั้งเกลียดทั้งกลัวชนชาติอิสราเอล’ (1:12) แม้แต่ทุกวันนี้ ยิ่งคริสตจักรที่ถูกข่มเหงและกดขี่มากเท่าไร ก็มักจะทวีคูณและแผ่ขยายออกไปมากขึ้น

โมเสส คือ เจ้าชายผู้สูงส่ง และเป็นหลานชายบุญธรรมของฟาโรห์ บรรดาทรัพย์สิน เงินทอง เรื่องเพศและอำนาจ ล้วนอยู่ในกำมือของโมเสส แต่เขาเลือกที่จะต่อต้านอำนาจเหล่านี้แทน เขาเลือกที่จะเชื่อฟังการทรงเรียกของพระเจ้าและเลือกที่จะอยู่ข้างประชากรของพระเจ้าซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เติบโตมาแบบโมเสสอันได้รับการขนานนามว่าเป็นชนชาติแห่งทาส

เมื่อเรามองผ่านมุมมองของพันธสัญญาใหม่เราจะเห็นว่าโมเสสเลือกการร่วมทุกข์กับประชากรของพระเจ้าแทนการเริงสำราญชั่วคราวในความบาป เขาถือว่าความอับอายขายหน้าเพื่อพระคริสต์ล้ำค่ากว่าสมบัติทั้งหลายของอียิปต์ เพราะเขากำลังเพ่งดูที่บำเหน็จที่จะได้รับ (ฮีบรู 11:25–26)

ไม่ใช่ทางเลือกที่จะทำง่าย ๆ อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเขาก็เชื่อฟังการทรงเรียกของพระเจ้าและเข้าสู่โลกที่เป็นศัตรูกับพระเจ้านี้

หัวใจสำคัญของการเชื่อฟังคือการยอมรับว่าพระเจ้าคือใคร พระเจ้าเปิดเผยพระองค์เองในรูปแบบต่าง ๆ ต่อโมเสสและทรงสัญญาว่า ‘เราจะอยู่กับเจ้าแน่’ (อพยพ 3:12) การเปิดเผยพระนามของพระองค์มีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากชื่อนั้นถูกเข้าใจว่าเป็นการประกาศลักษณะหรือธรรมชาติส่วนบุคคล พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองว่า ‘เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น’ (ข้อ 14) วิธีเดียวที่พระเจ้าสามารถอธิบายได้อย่างครบถ้วนคือการอ้างอิงถึงตัวพระองค์เอง

พระนามของพระองค์ประกาศถึงความยิ่งใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์และความเป็นนิรันดร์ นามนี้ (ในรูปแบบที่เป็นสัญญา) กลายเป็นนามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้เป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งพันธสัญญาเดิม ในภาษาฮีบรูคือคำว่า ยาห์เวห์ (Yahweh) แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘พระเจ้า’ ('the LORD') ดังนั้นการที่โมเสสเชื่อฟังการทรงนำของพระเจ้านั้นมีรากฐานมาจากความเข้าใจว่าพระเจ้าคือใคร

ที่จริงแล้วพระเจ้าบอกให้โมเสสไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการต่อต้านต่าง ๆ ที่เขาจะต้องเผชิญ สิ่งสำคัญคือพระเจ้าผู้ที่ ‘เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น’ นั่นอยู่กับเขา เพียงพระองค์ผู้เดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับความกลัว ความกังวลและความท้าทายทั้งหมดของคุณ

พระเยซูตรัสว่า ‘ก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็นอยู่แล้ว’ (ยอห์น 8:58) องค์ผู้ใหญ่ยิ่ง ทรงนิรันดร์กาลและเพียงพอสำหรับเรา ได้มาใกล้เราในองค์พระเยซูและพระองค์สัญญาว่าจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป (มัทธิว 28:20) เมื่อคุณรู้ว่าพระเจ้า 'เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น' อยู่กับคุณ คุณจะสงบและมีสันติสุขได้

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเยซู ขอบคุณพระองค์ที่ทรงอยู่กับข้าพระองค์ในโลกที่เป็นศัตรูกับพระองค์นี้ และเพียงพระองค์ผู้เดียวก็เพียงพอสำหรับความกลัว ความกังวลและความท้าทายทั้งหมดของข้าพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

โมเสสเป็นหนี้ชีวิต (ท่ามกลางคนอื่น ๆ) ให้กับหญิงที่กล้าหาญทั้งห้าคน ได้แก่

ชิฟราห์ และ ปูอาห์ ผู้เป็นนางผดุงครรภ์ ที่กล้าขัดคำสั่งฟาโรห์ และได้ช่วยชีวิตทารกเพศชายหลายร้อยคน

พี่สาวของโมเสส (มิเรียม) ที่กระทำการอย่างชาญฉลาดในการเรียกมารดาของโมเสสให้มาเลี้ยงดูเขา ในขณะที่โมเสสถูกพบโดยธิดาของฟาโรห์ในตะกร้ากลางกอปรือ

แม่ของโมเสส ที่ส่งต่อความเชื่ออันยิ่งใหญ่ให้กับลูก ๆ ทั้งสาม (โมเสส อาโรนและมิเรียม)

ที่น่าประหลาดใจที่สุดคือธิดาของฟาโรห์ ที่มีความสงสารต่อโมเสสและได้ช่วยชีวิตเขา และรับเขามาเป็นลูกของเธอเอง

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม