ห้าข้อแก้ตัว
เกริ่นนำ
My Way เป็นเพลงที่เล่นบ่อยที่สุดในพิธีงานศพของอังกฤษ นับเป็นเพลงที่นำกลับมาทำใหม่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แฟรงค์ ซินาตร้าได้รับความนิยมในอัลบั้มปี 1969 ซึ่งในประเทศฟิลิปปินส์ เพลงนี้เป็นที่นิยมร้องกันอย่างมากในร้านคาราโอเกะจนถูกประกาศให้ยกเลิกการใช้เพลงนี้เนื่องจากเป็นสาเหตุให้มีผู้เสียชีวิตหลายรายอันเกิดมาจากความขัดแย้งระหว่างการร้องเพลงนี้ ที่นำไปสู่ความรุนแรงอย่างร้ายแรงในที่สุด!
‘And did it my way!
Yes, it was my way!’
‘ฉันได้ทำตามหนทางของฉัน’ (‘I did it my way’) มันคือหนทางของโลก ไม่ใช่หนทางของพระเยซู พระเยซูตรัสว่า ‘อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์’ (มัทธิว 26:39) พระเยซูอธิษฐานว่า ‘ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์’ (ข้อ 42) พระองค์ไม่ได้มีข้ออ้างใด ๆ แต่ทรงยอมทำตามวิธีของพระเจ้า ในทางกลับกัน ในวันนี้เราจะเห็น 5 ข้อแก้ตัวของโมเสส ก่อนที่เขาจะยอมทำตามวิถีทางของพระเจ้าในที่สุด
สุภาษิต 4:10-19
คำตักเตือนให้ดำเนินในทางที่ถูก
10ลูกเอ๋ย จงฟังและรับถ้อยคำของข้า
แล้วปีเดือนแห่งชีวิตเจ้าจะมากมาย
11ข้าได้สอนเจ้าเรื่องทางแห่งปัญญาแล้ว
ข้าได้นำเจ้าในหนทางแห่งความเที่ยงธรรม
12เมื่อเจ้าเดิน ย่างเท้าของเจ้าจะไม่ถูกขัดขวาง
และถ้าเจ้าวิ่ง เจ้าจะไม่สะดุด
13จงยึดคำสั่งสอนไว้ และอย่าปล่อยไป
จงเฝ้าเธอไว้ เพราะเธอเป็นชีวิตของเจ้า
14อย่าเข้าไปในวิถีของคนอธรรม
และอย่าเดินในทางของคนชั่ว
15จงหลีกเสีย อย่าเดินบนนั้น
เลี้ยวออกไปเสีย และจงผ่านไป
16เพราะพวกเขานอนไม่หลับ ถ้ามิได้ทำชั่ว
พวกเขาจะหลับไม่ลง ถ้ามิได้ทำให้คนสะดุด
17เพราะพวกเขากินอาหารแห่งความโหดร้าย
และดื่มเหล้าองุ่นแห่งความทารุณ
18แต่วิถีของคนชอบธรรมเหมือนแสงอรุณ
ซึ่งฉายสุกใสยิ่งๆ ขึ้นจนสว่างเต็มที่
19ทางของคนอธรรมก็เหมือนความมืดทึบ
พวกเขาไม่ทราบว่าสะดุดอะไร
อรรถาธิบาย
‘หนทางแห่งสติปัญญา’
การเติบโตฝ่ายวิญญาณก็เหมือนกับการเดินทาง คุณก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ว่าคุณไปได้ไกลแค่ไหน แต่คือการมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ถูกต้องและดำเนินต่อไปต่างหาก
หนังสือพระธรรมสุภาษิตบอกเราว่ามีสองทางคือ ‘..วิถีของคนอธรรม...ทางของคนชั่ว’ (ข้อ 14) และ ‘ทางแห่งปัญญา…’ (ข้อ 11) ‘วิถีของคนชอบธรรม’ (ข้อ 18) เราไม่ได้รับคำสั่งให้หลีกเลี่ยงคนชั่วร้าย (นั่นหมายถึงการถอนตัวจากโลก) แต่เราได้รับคำสั่งให้หลีกเลี่ยงหนทางของพวกเขา คือการหลีกเลี่ยงที่จะกระทำในสิ่งที่พวกเขาทำ หากคุณทำตามคำแนะนำของพระเจ้า พระองค์สัญญาว่าจะนำคุณไปสู่ ‘ทางแห่งปัญญา’ (ข้อ 11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
หนทางของพระเจ้าอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มีความชื่นชมยินดีและน่าตื่นเต้นอย่างมากที่จะดำเนินตามทางของพระองค์ ‘แต่วิถีของคนชอบธรรมเหมือนแสงอรุณ ซึ่งฉายสุกใสยิ่ง ๆ ขึ้นจนสว่างเต็มที่’ (ข้อ 18) ‘ยิ่งนานวัน ก็ยิ่งส่องสว่างขึ้นทุกวัน’ (ข้อ 18, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงสัญญาว่าจะนำข้าพระองค์ไปในทางตรง โปรดช่วยข้าพระองค์ในวันนี้ให้ดำเนินอยู่บนหนทางของพระองค์
มัทธิว 26:31-46
การทรงพยากรณ์ถึงเรื่องที่เปโตรจะปฏิเสธ
31เวลานั้นพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “ในคืนวันนี้พวกท่านทุกคนจะทิ้งเรา เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ‘เราจะประหารผู้เลี้ยงแกะ และแกะฝูงนั้นจะกระจัดกระจายไป’ 32แต่หลังจากพระเจ้าทรงทำให้เราเป็นขึ้นมาแล้ว เราจะไปยังแคว้นกาลิลีก่อนพวกท่าน” 33เปโตรทูลพระองค์ว่า “แม้ทุกคนจะทิ้งพระองค์ไป ข้าพระองค์จะไม่มีวันทิ้งพระองค์เลย” 34พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ในคืนวันนี้ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” 35เปโตรทูลพระองค์ว่า “ถึงแม้ข้าพระองค์จะต้องตายกับพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย” พวกสาวกก็ทูลเช่นนั้นเหมือนกันทุกคน
การทรงอธิษฐานในสวนเกทเสมนี
36แล้วพระเยซูทรงพาสาวกทั้งหลายมายังที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่าเกทเสมนี แล้วตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า “จงนั่งอยู่ที่นี่ขณะเมื่อเราไปอธิษฐานที่โน่น” 37พระองค์ก็ทรงพาเปโตรกับบุตรทั้งสองของเศเบดีไปด้วย พระองค์ทรงเริ่มโศกเศร้าและทรงทุกข์ใจอย่างยิ่ง 38จึงตรัสกับพวกเขาว่า “ใจของเราเป็นทุกข์แทบจะตาย จงอยู่ที่นี่และเฝ้าระวังกับเรา” 39แล้วทรงดำเนินไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็ซบพระพักตร์ลงถึงดินอธิษฐานว่า “โอพระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” 40แล้วพระองค์เสด็จกลับมาหาพวกสาวก ทอดพระเนตรเห็นเขาทั้งหลายนอนหลับอยู่ พระองค์ตรัสกับเปโตรว่า “เป็นอย่างไรนะ พวกท่านจะเฝ้าระวังอยู่กับเราสักชั่วโมงไม่ได้หรือ? 41ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐานเพื่อจะไม่ถูกทดลอง จิตวิญญาณพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลัง” 42พระองค์จึงเสด็จไปทรงอธิษฐานอีกเป็นครั้งที่สอง “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ไม่ได้ และข้าพระองค์จำต้องดื่มแล้ว ก็ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” 43เมื่อเสด็จกลับมาอีกก็ทอดพระเนตรเห็นบรรดาสาวกนอนหลับอยู่ เพราะตาของพวกเขาลืมไม่ขึ้น 44จึงเสด็จไปจากพวกเขา เสด็จไปทรงอธิษฐานเป็นครั้งที่สาม ทูลขอเหมือนคราวก่อนๆ อีก 45แล้วเสด็จมายังพวกสาวกตรัสว่า “พวกท่านยังจะนอนต่อไปให้หายเหนื่อยอีกหรือ? นี่แน่ะ เวลามาใกล้แล้ว บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของพวกคนบาป 46ลุกขึ้นไปกันเถิด คนที่ทรยศเรามาใกล้แล้ว”
อรรถาธิบาย
ทางของคุณ
วิธีการของพระเยซูคือ การทูลกับองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ‘อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์’ พระเยซูไม่เพียงแต่สอนให้เราอธิษฐานว่า ขอให้ ‘เป็นไปตามพระทัยของพระองค์’ เท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงอธิษฐานด้วยพระองค์เองว่า ‘โอ พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นไปได้ ขอให้ถ้วยแห่งความทุกข์ยากนี้ผ่านพ้นไปจากลูกด้วยเถิด อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์’ (ข้อ 39, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระองค์อธิษฐานเป็นครั้งที่สองว่า ‘โอ พระบิดาของข้าพเจ้า ถ้าถ้วยนี้เคลื่อนไปจากข้าพเจ้าไม่ได้ และข้าพเจ้าจำต้องดื่มแล้ว ก็ให้เป็นไปตามนํ้าพระทัยของพระองค์’ (ข้อ 42, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
นี่ไม่ใช่คำอธิษฐานเพื่อการหลีกเลี่ยง แต่เป็นการอธิษฐานด้วยความกล้าหาญ ที่เต็มใจจะกระทำตามวิถีทางของพระเจ้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ในข้อนี้เราจะเห็นความเป็นมนุษย์ของพระเยซู ‘พระองค์เริ่มแสดงความเศร้าโศกและความทุกข์ใจและหดหู่อย่างมาก’ (ข้อ 37, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) พระองค์มีสหายสนิทที่สุดสามคนอยู่ด้วย และเป็นสามคนเดียวกับที่ได้เห็นพระรัศมีของพระองค์เมื่อทรงจำแลงกาย ซึ่งตอนนี้ได้เห็นพระเยซูในส่วนลึกของความเศร้าโศกของมนุษย์ พระเยซูทูลอ้อนวอนให้พระเจ้าพระบิดาให้ทรงสำแดงหากมีทางเลือกอื่น อย่างไรก็ตามพระองค์ทรงเต็มใจที่จะทำตามพระประสงค์ของพระบิดาไม่ว่าจะต้องจ่ายราคาเท่าใดก็ตาม
สำหรับพระเยซู ราคาที่พระองค์ต้องจ่ายไปนั้นช่างต่างกับสิ่งที่เราต้องเผชิญโดยสิ้นเชิง ทรงแบกความบาปของคนทั้งโลก ดังนั้นจิตวิญญาณของพระองค์จึง ‘ทุกข์แทบจะตาย’ (ข้อ 38) พระเยซูทรงอธิษฐานขอให้ ‘ถ้วยนี้’ พรากไปจากพระองค์ถึงสามครั้ง (ข้อ 39,42,44) ถ้วยหมายถึงความทุกข์ทรมานและความตายที่กำลังจะเกิดขึ้นนั่นเอง
ก่อนที่จะดำเนินไปที่สวนเกทเสมนี พระเยซูตรัสถึงถ้วยในมื้อปัสกาซึ่งเป็นตัวแทนของพระโลหิตของพระองค์ที่ ‘หลั่งออกเพื่อยกบาปโทษคนจำนวนมาก’ (ข้อ 28) ยิ่งไปกว่านั้นเช่นเดียวกับในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ถ้วยนี้ยังรวมถึงการอ้างอิงถึงพระพิโรธของพระเจ้า (เช่น อิสยาห์ 51:22, ฮาบากุก 2:16) บนไม้กางเขนพระเยซูทรงรับถ้วย (แห่งพระพิโรธ) แทนตัวคุณ
เมื่อคุณรู้สึกหดหู่ใจ จมอยู่กับความเศร้าโศกเสียใจ หรืออยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก การรู้ว่าพระเยซูได้เผชิญกับทุกสิ่งที่คุณเผชิญนั้นช่างเป็นอะไรที่หนุนใจอย่างมาก พระองค์รู้ว่าคุณกำลังเผชิญกับอะไร และคุณสามารถทำตามแบบอย่างของพระองค์ได้ โดยมอบทางของคุณให้กับพระเจ้า
มีความแตกต่างที่น่าทึ่งระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นในสวนเกทเสมนีและในสวนเอเดน แก่นแท้ของการตอบสนองของอาดัมและเอวาต่อพระเจ้าในสวนแห่งแรกคือ ‘ไม่ใช่ทางของพระองค์ แต่เป็นทางของเราเอง’ อย่างไรก็ตามในสวนแห่งที่สองนั้น คำอธิษฐานของพระเยซูต่อพระบิดา ‘ไม่ใช่ทางของเรา แต่เป็นทางของพระองค์’ การทำตามวิถีของพระเจ้าหมายถึง ความทุกข์ทรมานและความตาย แต่มันนำมาซึ่งการไถ่บาปของคนทั้งโลก
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้ทำตามแบบอย่างของพระองค์และอธิษฐานว่า ‘ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์’
อพยพ 4:1-6:12
อำนาจทำการอัศจรรย์ของโมเสส
1โมเสสจึงทูลตอบว่า “แต่ดูสิ พวกเขาจะไม่เชื่อข้าพระองค์หรือฟังเสียงของข้าพระองค์ เพราะเขาจะกล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงปรากฏแก่ท่านเลย’ ”
2พระยาห์เวห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “อะไรอยู่ในมือของเจ้า?” ท่านทูลว่า “ไม้เท้า พระเจ้าข้า” 3พระองค์ตรัสว่า “โยนลงที่พื้นดินเถิด” ท่านจึงโยนไม้เท้าลงบนพื้นดิน ไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู โมเสสก็หนีไปจากงูนั้น 4พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เอื้อมมือไปจับหางงูสิ” (ท่านจึงเอื้อมมือจับไว้ มันก็กลายเป็นไม้เท้าอยู่ในมือของท่าน) 5“เพื่อเขาทั้งหลายจะเชื่อว่าพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพวกเขา คือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงปรากฏแก่เจ้าแล้ว”
6พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสอีกว่า “เอามือสอดไว้ที่อกของเจ้า” ท่านก็สอดมือไว้ที่อก เมื่อชักมือออก มือของท่านก็เป็นโรคเรื้อนขาวเหมือนหิมะ 7พระองค์จึงตรัสว่า “เอามือสอดไว้ที่อกอีกครั้งหนึ่ง” โมเสสก็สอดมือเข้าที่อกอีก แล้วเมื่อท่านชักออกมา ดูสิ มือนั้นก็กลับเป็นปกติเช่นเดิม 8พระเจ้าตรัสว่า “ถ้าพวกเขาไม่เชื่อเจ้า และไม่ใส่ใจหมายสำคัญครั้งแรกนี้ พวกเขาอาจเชื่อหมายสำคัญครั้งที่สอง 9ถ้าพวกเขาไม่เชื่อหมายสำคัญทั้งสองครั้งนี้ ทั้งไม่ฟังเสียงของเจ้า จงตักน้ำจากแม่น้ำไนล์และเทลงบนดินแห้ง แล้วน้ำที่เจ้าตักมาจากแม่น้ำนั้นจะกลายเป็นเลือดบนดินแห้งนั้น”
10แต่โมเสสทูลพระยาห์เวห์ว่า “องค์เจ้านาย ข้าพระองค์ไม่ใช่นักพูด ทั้งในอดีต และตั้งแต่เมื่อพระองค์ตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่คล่อง”
11พระยาห์เวห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “ใครเล่าสร้างปากมนุษย์หรือทำให้เป็นใบ้ หูหนวก ตาดี หรือตาบอด? เรา ยาห์เวห์ เป็นผู้ทำไม่ใช่หรือ? 12บัดนี้ ไปเถิด เราจะช่วยเจ้าให้พูด และจะสอนคำซึ่งควรจะพูด” 13แต่ท่านทูลว่า “องค์เจ้านาย โปรดใช้คนอื่นไปเถิด” 14พระยาห์เวห์จึงกริ้วโมเสส แล้วตรัสว่า “เจ้ามีพี่ชายคืออาโรนคนเลวีไม่ใช่หรือ? เรารู้แล้วว่าเขาเป็นคนพูดเก่ง และดูสิ บัดนี้เขากำลังเดินทางมาพบเจ้า เมื่อเขาเห็นเจ้า เขาจะดีใจ 15เจ้าจงพูดกับเขา และบอกคำที่จะให้เขาพูด แล้วเราจะช่วยเจ้าและเขาในการพูด และจะสั่งสอนเจ้าทั้งสองให้รู้ว่าควรทำอย่างไร 16เขาจะเป็นผู้พูดกับประชาชนแทนเจ้า เขาจะเป็นปากแทนเจ้า และเจ้าจะเป็นดังพระเจ้าสำหรับเขา 17เจ้าจงถือไม้เท้านี้ไว้เพื่อทำหมายสำคัญต่างๆ”
โมเสสกลับอียิปต์
18โมเสสจึงกลับไปหาเยโธรพ่อตาของตน บอกว่า “ขอลากลับไปหาพี่น้องซึ่งอยู่ในอียิปต์ เพื่อจะได้ดูว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่” เยโธรตอบโมเสสว่า “จงไปโดยสวัสดิภาพเถิด”
19พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสในมีเดียนว่า “จงกลับไปอียิปต์ เพราะคนทั้งหลายที่หาช่องทางประหารชีวิตเจ้านั้นตายหมดแล้ว” 20โมเสสจึงให้ภรรยาและบรรดาบุตรของตนขี่ลากลับไปยังแผ่นดินอียิปต์ ส่วนโมเสสก็ถือไม้เท้าของพระเจ้าไปด้วย
21พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เมื่อเจ้ากลับไปถึงอียิปต์ จงทำการอัศจรรย์ทั้งสิ้นซึ่งเรามอบไว้ในอำนาจของเจ้าแล้วนั้นต่อหน้าฟาโรห์ แต่เราจะทำให้ใจของฟาโรห์กระด้าง ไม่ยอมให้ประชากรไป 22เจ้าจงทูลฟาโรห์ว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า คนอิสราเอลเป็นบุตรชายของเรา บุตรหัวปีของเรา 23เราบอกแก่เจ้าว่า “จงปล่อยบุตรของเราให้ไปนมัสการเรา” ถ้าเจ้าไม่ยอม เราจะประหารบุตรหัวปีของเจ้าเสีย’ ”
24ณ ที่พักระหว่างทาง พระยาห์เวห์เสด็จมาหาโมเสส และทรงประสงค์จะประหารท่านเสีย 25นางศิปโปราห์จึงเอาหินคมตัดหนังที่ปลายองคชาตบุตรชายคนหนึ่งของตน แล้วเอาไปแตะเท้าของโมเสสภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า เท้าของเขา บางคนเข้าใจว่าเป็นคำสุภาพ หมายถึง อวัยวะเพศของเขากล่าวว่า “จริงนะ ท่านเป็นเจ้าบ่าวแห่งโลหิตแก่ฉัน” 26พระเจ้าจึงทรงไว้ชีวิตท่าน (ในเวลานั้น นางกล่าวว่า “ท่านเป็นเจ้าบ่าวแห่งโลหิต”) เนื่องจากพิธีเข้าสุหนัต
27พระยาห์เวห์ตรัสกับอาโรนว่า “จงไปพบกับโมเสสในถิ่นทุรกันดาร” เขาก็ไปพบกับท่านที่ภูเขาของพระเจ้าและจูบท่าน 28โมเสสจึงเล่าให้อาโรนทราบถึงพระดำรัสทั้งสิ้นซึ่งพระยาห์เวห์ทรงใช้ให้ตนพูด และถึงหมายสำคัญทั้งปวงซึ่งพระองค์ทรงกำชับให้ทำ 29โมเสสกับอาโรนเรียกประชุมบรรดาผู้ใหญ่แห่งพงศ์พันธุ์อิสราเอลพร้อมกัน 30แล้วอาโรนจึงกล่าวพระดำรัสทั้งหมดซึ่งพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสส และเขาทำหมายสำคัญต่างๆ นั้นต่อหน้าประชาชน 31ประชาชนก็เชื่อ เมื่อได้ยินว่าพระยาห์เวห์เสด็จมาเยี่ยมเยียนชนชาติอิสราเอล และทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ยากของพวกเขา พวกเขาต่างกราบลงนมัสการ
อพยพ 5
ให้ทำอิฐแต่ไม่ให้ฟาง
1ต่อมาภายหลังโมเสสกับอาโรนพากันเข้าเฝ้าฟาโรห์ ทูลว่า “พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘จงปล่อยประชากรของเราไป เพื่อพวกเขาจะได้ฉลองเทศกาลเลี้ยงให้เกียรติเราในถิ่นทุรกันดาร’ ”
2ฟาโรห์ตรัสว่า “พระยาห์เวห์นั้นเป็นใครเล่า? เราจึงจะต้องฟังเสียงของพระองค์และปล่อยคนอิสราเอลไป เราไม่รู้จักพระยาห์เวห์ และยิ่งกว่านั้น เราจะไม่ปล่อยคนอิสราเอลไปเป็นอันขาด” 3เขาทั้งสองจึงทูลว่า “พระเจ้าของคนฮีบรูทรงปรากฏแก่พวกข้าพระบาท ดังนั้นขอโปรดให้ข้าพระบาททั้งหลายเดินทางไปในถิ่นทุรกันดารเป็นระยะทางสามวัน เพื่อจะได้ถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระบาท ถ้าไม่ทำอย่างนั้น พระเจ้าจะทรงลงโทษพวกข้าพระบาทด้วยโรคระบาดหรือด้วยดาบ”
4กษัตริย์อียิปต์ตรัสกับพวกเขาว่า “เจ้าโมเสสกับอาโรน พวกเจ้าจะให้ประชาชนละทิ้งการงานของเขาทำไม? พวกเจ้าจงกลับไปทำงานของตัวเอง” 5ฟาโรห์ตรัสต่อไปว่า “ดูสิ เดี๋ยวนี้ประชาชนในดินแดนนี้มีมาก และเจ้าทั้งสองทำให้พวกเขาต้องหยุดงานเสีย”
6ในวันนั้นเองฟาโรห์ทรงบัญชานายทาสและนายงานของประชาชนว่า 7“ตั้งแต่วันนี้ไป อย่าให้ฟางแก่พวกทาสสำหรับใช้ทำอิฐเหมือนแต่ก่อน แต่ให้พวกเขาไปเที่ยวหาฟางเอาเอง 8ส่วนจำนวนอิฐซึ่งแต่ก่อนเกณฑ์ให้ทำเท่าไร ก็จงเกณฑ์ให้ทำเท่านั้น อย่าได้ลดหย่อนลง เพราะว่าพวกเขาเกียจคร้าน ฉะนั้นพวกเขาจึงพากันร้องว่า ‘ขอให้พวกข้าพระบาทไปถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้าของพวกข้าพระบาท’ 9จงจัดงานให้พวกเขาทำหนักกว่าแต่ก่อน เพื่อจะได้ไม่มีเวลาไปฟังคำพูดเหลวไหล”
10แล้วนายทาสและนายงานของประชาชนก็ออกไปบอกประชาชนว่า “ฟาโรห์ทรงบัญชาดังนี้ว่า ‘เราจะไม่ยอมให้ฟางแก่พวกเจ้าเลย 11พวกเจ้าจงไปหาฟางมาเอง ตามแต่จะหาได้ แต่งานที่เกณฑ์นั้นก็ไม่ลดหย่อนให้เลย’ ” 12ประชาชนจึงแยกย้ายกันไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ เก็บตอข้าวมาแทนฟาง 13นายทาสก็เร่งรัดว่า “จงทำงานประจำวันของพวกเจ้าให้ครบเหมือนเมื่อยังมีฟางอยู่” 14นายงานของชนชาติอิสราเอล ซึ่งนายทาสของฟาโรห์ตั้งให้เป็นผู้ควบคุมเขานั้น ก็ถูกทุบตีและถูกถามว่า “ทำไมหมู่นี้จึงไม่ได้อิฐที่เกณฑ์ไว้เต็มจำนวนเหมือนแต่ก่อน?”
15นายงานของชนชาติอิสราเอลจึงมาร้องทูลฟาโรห์ว่า “ทำไมจึงทรงทำอย่างนี้กับพวกทาสของฝ่าพระบาท? 16พวกเขาไม่ได้ให้ฟางแก่พวกทาสของฝ่าพระบาทเลย แต่สั่งว่า ‘ทำอิฐสิ’ ดูซิ พวกทาสของฝ่าพระบาทถูกโบยตี แต่คนของฝ่าพระบาทเองเป็นฝ่ายผิด”
17ฟาโรห์ตรัสว่า “พวกเจ้าขี้เกียจ ขี้เกียจจริงๆ เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจึงมาร้องว่า ‘ขอให้พวกข้าพระบาทไปถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์’ 18พวกเจ้าจงไปทำงานเดี๋ยวนี้ ส่วนฟางนั้นเจ้าจะไม่ได้รับเลย แต่เจ้าต้องทำอิฐให้ครบจำนวน”
19นายงานชนชาติอิสราเอลเมื่อถูกสั่งว่า “ไม่ให้ลดหย่อนจำนวนอิฐที่ถูกเกณฑ์ให้ทำทุกๆ วันลง” ก็เห็นว่าพวกตนตกที่นั่งลำบากแล้ว 20เมื่อออกมาจากเข้าเฝ้าฟาโรห์ พวกเขาพบโมเสสกับอาโรนยืนคอยอยู่ 21จึงกล่าวกับท่านทั้งสองว่า “ขอพระยาห์เวห์ทรงพิจารณา และพิพากษาท่านทั้งสอง เพราะพวกท่านทำให้เราเป็นที่เกลียดชังในสายพระเนตรของฟาโรห์ และในสายตาของข้าราชการของพระองค์ เหมือนหนึ่งเอาดาบใส่มือพวกเขาให้ฆ่าเราเสีย”
22โมเสสจึงกลับไปทูลพระยาห์เวห์ว่า “องค์เจ้านาย ทำไมพระองค์ทรงนำความเลวร้ายมาสู่ชนชาตินี้? ทำไมพระองค์จึงทรงใช้ข้าพระองค์มา? 23ตั้งแต่ข้าพระองค์ไปเข้าเฝ้าฟาโรห์ และทูลในพระนามของพระองค์แล้ว ฟาโรห์ก็ทำการเลวร้ายแก่ชนชาตินี้ ส่วนพระองค์ก็ไม่ได้ทรงช่วยประชากรของพระองค์เลย”
อพยพ 6
พระเจ้าทรงย้ำพระสัญญาว่าจะปลดปล่อยอิสราเอล
1แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “บัดนี้ เจ้าจะได้เห็นสิ่งที่เราจะทำกับฟาโรห์ คือด้วยมืออันเข้มแข็งของเรา ฟาโรห์จำต้องปล่อยประชาชนไป และด้วยมืออันเข้มแข็งนั้น เขาจำต้องไล่ประชาชนออกจากแผ่นดินของเขา”
2พระเจ้าตรัสกับโมเสสอีกว่า “เราคือยาห์เวห์ 3เราปรากฏแก่อับราฮัม แก่อิสอัค และแก่ยาโคบด้วยนามว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่เราไม่ได้สำแดงให้พวกเขารู้จักในนามยาห์เวห์ 4นอกจากนี้ เราทำพันธสัญญาไว้กับเขาทั้งหลายแล้วว่า เราจะยกแผ่นดินคานาอันให้พวกเขา อันเป็นแผ่นดินที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่ในฐานะคนต่างด้าว 5ยิ่งกว่านั้น เราได้ยินเสียงคร่ำครวญของชนชาติอิสราเอลซึ่งคนอียิปต์กักไว้เป็นทาส และเราระลึกถึงพันธสัญญาของเรา 6เพราะฉะนั้น จงกล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลว่า ‘เราคือยาห์เวห์ เราจะนำพวกเจ้าไปให้พ้นจากงานหนักที่คนอียิปต์เกณฑ์ให้ทำ และจะช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากการเป็นทาสพวกเขา เราจะไถ่พวกเจ้าด้วยแขนที่เงื้อง่าและด้วยการพิพากษาอันใหญ่หลวง 7เราจะรับพวกเจ้าเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า พวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า ผู้นำพวกเจ้าให้พ้นจากงานหนักที่คนอียิปต์เกณฑ์ให้ทำ 8เราจะนำพวกเจ้าเข้าไปในแผ่นดินซึ่งเราได้ปฏิญาณไว้ว่าจะให้แก่อับราฮัม แก่อิสอัค และแก่ยาโคบ เราจะยกแผ่นดินนั้นให้แก่พวกเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์ เราคือยาห์เวห์’ ”
9โมเสสจึงบอกเรื่องนั้นแก่ชนชาติอิสราเอล แต่พวกเขาไม่ฟังโมเสสเพราะหมดอาลัยตายอยากและทนงานทาสแทบไม่ไหว
10พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 11“จงไปบอกฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ ให้ปล่อยชนชาติอิสราเอลไปจากแผ่นดินของเขา” 12แต่โมเสสทูลพระยาห์เวห์ว่า “แม้แต่ชนชาติอิสราเอลก็ไม่ได้ฟังข้าพระองค์ แล้วฟาโรห์จะฟังข้าพระองค์ได้อย่างไร? ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่เก่ง”
อรรถาธิบาย
ทางของพระเจ้า
ผมพบการปลอบโยนและการหนุนจิตชูใจที่ดีเยี่ยมในพระธรรมตอนนี้ ผมเป็นคนค่อนข้างขี้อายและเก็บตัวพอสมควร และโดยธรรมชาติแล้วผมมักไม่เต็มใจที่จะเป็นผู้นำซักเท่าไหร่ ซึ่งผมพบว่าสิ่งนี้หนุนใจผมอย่างมากที่แม้แต่ผู้นำที่ยิ่งใหญ่อย่างโมเสสก็ยังไม่ค่อยเต็มใจเป็นผู้นำซักเท่าไหร่และเขาได้พยายามแก้ตัวว่าทำไมเขาไม่ควรทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้เขาทำ
เนื้อหาของเมื่อวานและวันนี้ เราจะพบข้อแก้ตัว 5 ข้อของโมเสส (ที่ผมพอจะสรุปออกมาได้)
1. ‘ทรงเลือกผิดคนแล้ว’
โมเสสพูดว่า ‘ข้าพระองค์เป็นใคร?’ (3:11) เขารู้สึกไม่มีค่าพอ โดยได้ทูลกับพระเจ้าว่า ‘ข้าพระองค์ไม่ดีพอ’ ‘ข้าพระองค์ไม่บริสุทธิ์พอ’ ทรงเลือกผิดคนแล้ว ทำไมต้องเป็นข้าพระองค์?
แต่คำตอบของพระเจ้าคือ ‘เราจะอยู่กับเจ้า’ (ข้อ 12ก) และนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
2. ‘ข้าพระองค์ยังไม่พร้อม’
โมเสสทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะตอบพวกเขาอย่างไร?’ (ข้อ 13) เขารู้สึกเป็นคนสื่อสารไม่ดี เขาไม่คิดว่าตนเองจะสามารถตอบคำถามได้ทั้งหมด และคิดว่า ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร
แต่พระเจ้าตรัสว่า ‘ไปบอกชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า’ (ข้อ 14) พระเจ้าจะประทานคำพูดแก่คุณในเวลาที่เหมาะสม
3. ‘ข้าพระองค์อาจทำพลาดไป’
โมเสสทูลต่อว่า ‘จะเกิดอะไรขึ้นถ้าทุกอย่างผิดพลาด?’ ‘มันอาจไม่ได้ผล’ ‘แต่ดูสิ พวกเขาจะไม่เชื่อข้าพระองค์หรือฟังเสียงของข้าพระองค์ เพราะเขาจะกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงปรากฏแก่ท่านเลย”?’ (4:1)
พระเจ้าทรงสำแดงฤทธิ์เดชแก่โมเสสเป็นคำตอบ (ข้อ 2–9)
4. ‘ข้าพระองค์ไม่มีความสามารถ’
โมเสสพูดว่า ‘ข้าพระองค์ไม่มีความสามารถ’ ‘ข้าพระองค์ไม่ใช่นักพูด ... ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่คล่อง’ (ข้อ 10) ดูเหมือนว่าโมเสสอาจพูดติดอ่างหรือมีอุปสรรคในการพูดอยู่บ้าง (‘ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่เก่ง’ 6:12)
พระเจ้าตรัสว่า ‘เราจะช่วยเจ้าให้พูด และจะสอนคำซึ่งควรจะพูด’ (4:12) พระกำลังของพระเจ้านั้นสมบูรณ์ท่ามกลางความอ่อนแอของเรา
5. ‘ให้คนอื่นทำเถิด’
โมเสสกล่าวว่า ‘โปรดใช้คนอื่นไปเถิด’ (ข้อ 13) เป็นเรื่องง่ายที่จะคิดว่า ‘ให้คนอื่นทำจะดีกว่า’
พระเจ้าไม่พอใจโมเสสเป็นที่สุด แต่พระองค์ทรงตรัสว่าจะส่งอาโรนไปอยู่กับเขา ‘เราจะช่วยเจ้าและเขาในการพูด และจะสั่งสอนเจ้าทั้งสองให้รู้ว่าควรทำอย่างไร’ (ข้อ 15ข)
ในที่สุดโมเสสก็ตัดสินใจที่จะทำตามทรงนำและการทรงเรียกของพระเจ้า หลังจากนั้นการต่อต้านทั้งหมดก็เริ่มขึ้นและสิ่งต่าง ๆ ก็แย่ลงแทนที่จะดีขึ้น *‘หนทาง’*ของฟาโรห์ (5:15) ไม่ใช่ทางของพระเจ้าอย่างแน่นอน ประชากรของพระเจ้าต้องทำอิฐโดยไม่ใช้ฟาง โมเสสและอาโรนเผชิญการวิพากษ์วิจารณ์และการต่อต้านจากประชาชนของพวกเขาเอง (ข้อ 21) โมเสสร้องทูลต่อพระเจ้าว่าพระองค์ก็ไม่ได้ทรงช่วยประชากรของพระองค์เลย (ข้อ 23)
พระเจ้าตอบสนองต่อคำร้องทูลของโมเสสโดยทำให้เขามีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนขึ้นว่าพระองค์เป็นใคร พระเจ้าตรัสว่า ‘เราคือยาห์เวห์ เราปรากฏแก่อับราฮัม แก่อิสอัค และแก่ยาโคบด้วยนามว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่เราไม่ได้สำแดงให้พวกเขารู้จักในนามยาห์เวห์’ (6:2–3)
ในสองสามประโยค พระเจ้าเปิดเผยพระลักษณะของพระองค์ให้โมเสสมากขึ้น ทรงสัตย์ซื่อและมั่นคงต่อพระสัญญาของพระองค์ (ข้อ 4–5) ทรงเจ็บปวดและทนทุกข์ร่วมกับเรา (ข้อ 5) ทรงสัญญาว่าจะกู้เราให้เป็นอิสรภาพ (ข้อ 6) นำคุณเข้าสู่ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระองค์ (ข้อ 7) พระองค์นำคุณไปแผ่นดินกรรมสิทธิ์และนำคุณกลับบ้าน (ข้อ 8)
โมเสสแจ้งแก่ผู้คนถึงสิ่งทั้งสิ้นนี้ แต่ ‘พวกเขาไม่ฟังโมเสสเพราะหมดอาลัยตายอยากและทนงานทาสแทบไม่ไหวและเพราะพันธนาการอันโหดร้าย’ (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) โมเสสบ่นว่าต่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่เขากลัวได้เกิดขึ้น เขาทูลต่อพระองค์ว่า ‘แม้แต่ชนชาติอิสราเอลก็ไม่ได้ฟังข้าพระองค์ แล้วฟาโรห์จะฟังข้าพระองค์ได้อย่างไร? ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่เก่ง!’ (ข้อ 12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก New Living Translation โดยผู้แปล)
สิ่งนี้มักเป็นแบบแผนในพระคัมภีร์ เริ่มต้นด้วยการทรงเรียกและนิมิตของพระเจ้า จากนั้นตามด้วยความท้าทายและความยากลำบากก่อนที่คุณจะได้เห็นพระสัญญาที่ได้รับการเติมเต็ม ทางของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป กลับเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก แต่ท้ายที่สุดก็จะสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงตรัสว่า ‘เราจะอยู่กับเจ้า’ (3:12) ขอบคุณสำหรับสิทธิพิเศษอันยิ่งใหญ่ในการได้ยินการทรงเรียกและเดินตามทางของพระองค์ และช่วยให้ข้าพระองค์ยังดำเนินตามทางของพระองค์ต่อไป แม้ว่าบางครั้งสิ่งต่าง ๆ จะดูแย่ลงแทนที่จะดีขึ้น
เพิ่มเติมโดยพิพพา
มัทธิว 26:31–46
เปโตรกล่าวว่า ‘ข้าพระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย’ (ข้อ 35ข) เช่นเดียวกับเปโตร เราทุกคนมีเจตนาที่ดี แต่เราทุกคนมีข้อบกพร่อง และไม่สามารถทำตามได้หากปราศจากฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เหล่าสาวกหลับไปแทนที่พวกเขาควรจะอธิษฐาน ฉันเผลอหลับไปหลายครั้งเมื่ออธิษฐาน ถือเป็นการปิดตาที่ฉันพบว่าอันตรายมากทีเดียว
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)