การต่อสู้และการอวยพร
เกริ่นนำ
ผมไม่เคยลืมคำพูดที่เคยได้ยินเมื่อสามสิบปีก่อน วิทยากรเริ่มต้นด้วยการกล่าวว่าชีวิตคริสเตียนคือ ‘การต่อสู้และการอวยพร การต่อสู้และการอวยพร การต่อสู้และการอวยพร การต่อสู้และการอวยพร...การต่อสู้และการอวยพร...’
ตอนนั้นผมคิดว่า ‘ทำไมเขาถึงพูดแบบนี้ล่ะ เมื่อไหร่มันจะจบ?’ แต่เขากำลังสร้างจุดที่น่าจดจำและล้ำลึก เมื่อเราอยู่ในศึกสงคราม มันยากที่จะเชื่อว่ามันจะสิ้นสุดลง เมื่อเราอยู่ในช่วงเวลาแห่งพระพรบางครั้งเราคาดหวังว่ามันเป็นแบบนี้ต่อไปตลอดกาล แต่ชีวิตไม่ได้เป็นเช่นนั้น มีการต่อสู้และมีการอวยพร
ศิษยาภิบาล ริค วอร์เรน กล่าวว่าเขาเคยคิดว่าชีวิตคริสเตียนคือการต่อสู้และตามมาด้วยการอวยพร แต่ตอนนี้เขาได้ตระหนักว่าชีวิตยืนอยู่บนสองเส้นทาง ในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตมักจะได้รับการอวยพร แต่ก็ต้องเผชิญกับการต่อสู้ด้วยเช่นเดียวกัน
เขายกตัวอย่างของการอวยพรอันยิ่งใหญ่ในชีวิตผ่านการตีพิมพ์หนังสือ ชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์ ซึ่งกลายเป็นหนังสือคริสเตียนที่ขายหมดเร็วที่สุดตลอดกาล มันทำให้เขากลายเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันเขาก็พบว่า เคย์ ภรรยาของเขาป่วยเป็นมะเร็ง ในช่วงชีวิตหนึ่งเขาได้รับพระพรมากมาย แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องเผชิญกับการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน
สุภาษิต 1:1-7
1บรรดาสุภาษิตของซาโลมอน ผู้เป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอลและโอรสของดาวิด
บทนำ
2เพื่อให้รู้จักปัญญาและการสั่งสอน
เพื่อให้เข้าใจถ้อยคำแห่งความรอบรู้
3เพื่อรับการสั่งสอนให้ฉลาด
ในเรื่องความชอบธรรม ความยุติธรรมและความเที่ยงธรรม
4เพื่อให้ความสุขุมแก่คนรู้น้อย
ให้ความรู้และความเฉลียวฉลาดแก่คนหนุ่ม
5คนมีปัญญาจะได้ยินและเพิ่มพูนการเรียนรู้
และคนที่มีความเข้าใจจะได้การชี้แนะ
6เพื่อให้เข้าใจสุภาษิตและอุปมา
ทั้งถ้อยคำของคนมีปัญญาและปริศนาของพวกเขา
7ความยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นจุดเริ่มต้นของความรู้
คนโง่ย่อมดูหมิ่นปัญญาและการสั่งสอน
อรรถาธิบาย
เรียนรู้ที่จะควบคุมการต่อสู้และการอวยพรในชีวิต
วัตถุประสงค์ของพระธรรมสุภาษิตกล่าวไว้ตั้งแต่ต้นว่า ‘กษัตริย์ผู้มีสติปัญญากล่าวว่า เพื่อเราได้รู้ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไรให้ดีและถูกต้อง และรับฟังคำสั่งสอนที่ทำให้เกิดไหวพริบปฏิภาณทำสิ่งที่ถูกต้อง ยุติธรรม และเที่ยงธรรม’ (ข้อ1–3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระคำตอนนี้มอบสติปัญญาที่นำไปใช้ได้จริงสำหรับทุกคน ทั้ง ‘คนอ่อนต่อโลก’ และ ‘คนมีปัญญา’ (ข้อ 4–6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
พระธรรมสุภาษิตบอกคุณว่าชีวิตคนเราควรดำเนินอย่างไร และชี้แนะแนวทางที่เป็นประโยชน์และกอปรด้วยสติปัญญาที่มาจากประสบการณ์ตลอดชีวิตพวกเขา ช่วยให้คุณบรรลุถึง ‘ปัญญาและการสั่งสอน’ (ข้อ 2,7) ที่เป็นดั่งสองแง่มุมสำคัญของชีวิต ซึ่งจะไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน
ดังนั้นวัตถุประสงค์ของหนังสือเล่มนี้คือเพื่อให้คุณสามารถ ‘ดำเนินชีวิตอย่างมีสติปัญญา’ (ข้อ 5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) สติปัญญาเป็น ‘ศิลปะแห่งการควบคุม’ การต่อสู้และการอวยพรและใช้ชีวิตอย่างมีทักษะในทุกสภาวะที่คุณพบเจอ ‘สติปัญญา’ ตามที่ผู้สอนพระคัมภีร์ จอยซ์ ไมเยอร์กล่าวว่า ‘มันกำลังเลือกที่จะทำในสิ่งที่ให้ผลดีกับคุณภายหลัง’
สติปัญญาเริ่มต้นด้วย ‘ความยำเกรงพระยาห์เวห์’ ซึ่ง ‘เป็นจุดเริ่มต้นของความรู้’ (ข้อ 7ก) ‘ความยำเกรง’ ของพระเจ้าสามารถแปลได้ว่า ‘การเคารพบูชา’ หมายถึงการเคารพและถวายเกียรติพระเจ้าในฐานะองค์พระเจ้าสูงสุด บทเรียนที่สำคัญที่สุดที่คุณสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตคือการ ‘เริ่มต้นกับพระเจ้า' (ข้อ 7ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้เรียนรู้ศิลปะแห่งการควบคุมการต่อสู้และการอวยพรในชีวิตที่รออยู่ข้างหน้านี้ด้วยเถิด
มัทธิว 4:1-22
มารมาทดลองพระเยซู
1ครั้งนั้น พระวิญญาณทรงนำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อมารจะได้มาทดลอง 2และพระองค์ทรงอดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน ภายหลังพระองค์ก็ทรงหิว 3ส่วนผู้ทดลองมาหาพระองค์ทูลว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง” 4พระองค์ตรัสตอบว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า
‘มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้
แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ
ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’ ”
5แล้วมารก็นำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับที่ยอดหลังคาพระวิหาร 6แล้วทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงกระโดดลงไป เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า
‘พระเจ้าจะรับสั่งเรื่องท่านต่อบรรดาทูต
สวรรค์ของพระองค์
และทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้
ไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน’ ”
7พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน’ ” 8อีกครั้งหนึ่งมารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาที่สูงมาก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร 9แล้วได้ทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านจะก้มลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน” 10พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า
‘จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็น
พระเจ้าของท่าน
และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’”
11แล้วมารจึงไปจากพระองค์ และมีพวกทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์
พระเยซูทรงเริ่มพระราชกิจในกาลิลี
12เมื่อพระเยซูทรงทราบข่าวว่ายอห์นถูกจองจำแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปยังแคว้นกาลิลี 13แล้วทรงย้ายที่ประทับจากเมืองนาซาเร็ธไปที่เมืองคาเปอรนาอุม ซึ่งอยู่ริมทะเลสาบในเขตของเผ่าเศบูลุนและนัฟทาลี 14เพื่อที่จะให้สำเร็จตามพระวจนะ ซึ่งตรัสผ่านทางอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะว่า
15 “แคว้นเศบูลุนและแคว้นนัฟทาลี
ที่อยู่บนทางไปยังทะเล และฝั่งแม่น้ำ
จอร์แดนข้างโน้น
กาลิลีของพวกต่างชาติ
16 ประชาชนผู้นั่งอยู่ในความมืด
ได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่
และผู้ที่นั่งอยู่ในแดนและเงาแห่งความตาย
ก็มีความสว่างส่องถึงพวกเขาแล้ว”
17ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูทรงตั้งต้นประกาศว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มีความหมายอย่างเดียวกันกับแผ่นดินของพระเจ้ามาใกล้แล้ว”
การทรงเรียกชาวประมงสี่คน
18ขณะที่พระองค์ทรงดำเนินอยู่ตามชายทะเลกาลิลี ก็ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องชาวประมงสองคน คือซีโมนที่เรียกว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชายของเขา กำลังทอดแหอยู่ในทะเลสาบ 19พระองค์ตรัสกับเขาทั้งสองว่า “จงตามเรามา และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา” 20เขาจึงละทิ้งแหตามพระองค์ไปทันที 21เมื่อพระองค์เสด็จต่อไป ก็ทรงเห็นพี่น้องอีกสองคน ชื่อยากอบ บุตรเศเบดี กับยอห์นน้องชายของเขากำลังชุนอวนอยู่ในเรือกับเศเบดีผู้เป็นบิดา พระองค์ก็ทรงเรียกพวกเขา 22พวกเขาจึงละทิ้งเรือและลาบิดาของพวกเขาตามพระองค์ไปทันที
อรรถาธิบาย
เรียนรู้ว่าพระเยซูจัดการกับการต่อสู้และการอวยพรอย่างไร
การปฏิบัติศาสนกิจของพระเยซูเริ่มต้นด้วยพระพรแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เมื่อรับบัพติศมา บ่อยครั้งเกิดขึ้นหลังจากที่ได้มีประสบการณ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่กระนั้นการต่อสู้จะตามมาทันที
‘จากนั้นพระวิญญาณทรงนำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อมารจะได้มาทดลอง’ (4:1 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) การทดลองนี้เริ่มต้นด้วยคำว่า ‘ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า...’ (ข้อ 3,6) มารล่อลวงพระองค์ให้สงสัยเกี่ยวกับตัวตน และเพื่อทดสอบพระบิดา บางครั้งมารมาหาเราและพูดว่า ‘ถ้าคุณเป็นคริสเตียนคุณก็จะดีกว่าคนอื่น ๆ หรือ’ ‘ถ้าพระเจ้าอภัยทุกสิ่งให้คุณแล้วมันก็ไม่สำคัญว่าคุณจะดำเนินชีวิตอย่างไร’ ให้เราตอบสนองโดยทำตามอย่างของพระเยซู
พระเยซูเผชิญการทดลองที่ทรงพลังสามประการ
1.\tการตอบสนองความต้องการทันทีทันใด (เศรษฐกิจ)
มีบางสิ่งที่ตอบสนองความต้องการของคุณได้ในทันที แต่ทำให้คุณรู้สึกกลวงในภายหลัง
พระเยซูทรงเตรียมการโดยการอดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน ‘แน่นอนว่านั่นทำให้พระองค์อยู่ในสภาพหิวโซซึ่งมารซาตานใช้ประโยชน์ตรงนี้ทดสอบพระองค์ครั้งแรก’ (ข้อ 2ข-3ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) มันพูดกับพระเยซูว่า ‘ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง’ (ข้อ 3ข)
พระเยซูตรัสตอบว่า ‘มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”’ (ข้อ 4) แม้ว่า ‘อาหาร’ จำเป็นมาก แต่ก็ไม่เพียงพอในตัวมันเอง วัตถุปัจจัยไม่สามารถเติมเต็มเราได้
ความกระหายทางจิตวิญญาณสามารถสนองได้โดย ‘พระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’ (ข้อ 4) เท่านั้น เราต้องการอาหารฝ่ายวิญญาณมากกว่าอาหารทางกายภาพทั่วไป
2. ทดลองพระบิดา (ความเชื่อ)
จากนั้นมารจึงทดลองให้พระเยซูกระโดดลงจากหลังคาของพระวิหาร นี่เป็นการล่อลวงให้พระเยซูยอมรับการปกป้องด้วยความรักจากพระบิดา
มารล่อลวงพระองค์โดยอ้างถึง พระธรรมสดุดี 91 แต่เป็นข้อพระคัมภีร์ที่ไม่อยู่ในบริบท พระเยซูจึงตอบโต้ด้วยข้อพระคัมภีร์ที่อยู่ในบริบทว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน’ (ข้อ 7)
3. วิธีการที่ผิด (การเมือง)
ประการที่สาม มารแสดงให้พระเยซูเห็นอาณาจักรทั้งหมดในโลกและเสนอว่า ‘ถ้าท่านจะก้มลงนมัสการเรา’ (มัทธิว 4:8-9) นี่คือการล่อลวงให้ไม่พึงพอใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าและเริ่มทำตามแผนการที่น่าละอายเพื่อให้บรรลุจุดจบด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง พระเยซูตอบว่า ‘จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน’ พระองค์สนับสนุนคำโต้ตอบของพระองค์โดยอ้างถึงพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ ‘จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่านและปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’ (ข้อ 10)
ในแต่ละบททดสอบ พระเยซูทรงตอบสนองด้วยข้อพระคำจากพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ บทที่ 6-8 บางทีพระองค์อาจกำลังใคร่ครวญอยู่ ณ ขณะนั้นก็เป็นได้ เมื่อคุณได้ลงลึกในพระวจนะ พระคัมภีร์จะเผยให้เห็นพระลักษณะของพระเจ้าและการเลี้ยงดูด้วยความรักจากพระองค์ นั้นทำให้ความสัมพันธ์ของคุณกับพระองค์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น สิ่งนี้ช่วยปกป้องคุณจากการล่อลวงของมารซาตานและช่วยตระเตรียมคุณให้พร้อมสู้กับการทดลองเมื่อมันมาถึง
ในตอนท้ายของการสู้รบเหล่านี้ พระเยซูทรงพึงพอใจกับพระพรผ่านทางเหล่าทูตสวรรค์ที่ ‘มาปรนนิบัติพระองค์’ (ข้อ 11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แต่ช่วงเวลาแห่งการอวยพรเกิดขึ้นได้ไม่นาน พระเยซูทรงทราบว่ายอห์นถูกจำคุก (ข้อ 12) คงเป็นเรื่องที่เลวร้ายสำหรับพระองค์ที่พบว่าลูกพี่ลูกน้องของตนถูกคุมขังเนื่องจากการเทศนาของพระองค์
แต่พระเยซูไม่ได้หวาดกลัว ทรงตั้งต้นประกาศพระวจนะที่ทำให้ยอห์นถูกจับกุมนั่นคือ ‘จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว’ (ข้อ 17) พระองค์ทรงปราศจากความกลัวและมีความกล้าหาญเมื่อต้องเผชิญกับการต่อสู้
ชีวิตไม่ได้เป็นเพียงการตั้งรับการโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว แต่ยังต้องก้าวเดินไปข้างหน้าอีกด้วย ในขณะที่พระองค์ทำพันธกิจอยู่นั้น พระองค์เริ่มสร้างทีมโดยเรียกสาวกกลุ่มแรก ‘พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา” พวกเขาก็ละอวนทันที ติดตามพระองค์ไป’ (ข้อ 19–20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้น การเริ่มต้นพันธกิจของพระเยซูเป็นช่วงเวลาแห่งพระพรอันยิ่งใหญ่
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้ทำตามอย่างพระเยซูในการต่อสู้และการอวยพร ให้ข้าพระองค์ได้เรียนรู้พระวจนะ เพื่อจะสามารถตอบสนองต่อการล่อลวงและมีความกล้าหาญในการประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู
ปฐมกาล 7:1-9:17
ปฐมกาล 7
น้ำท่วมโลก
1แล้วพระยาห์เวห์ตรัสแก่โนอาห์ว่า “เจ้าและครัวเรือนทั้งหมดของเจ้าจงเข้าไปในเรือ เพราะในชั่วอายุคนรุ่นนี้เราเห็นเจ้าเป็นผู้ชอบธรรมต่อหน้าเรา 2จงเอาสัตว์ใช้งานที่ไม่เป็นมลทินทุกชนิดไปกับเจ้าด้วยอย่างละเจ็ดคู่ทั้งตัวผู้และตัวเมีย และสัตว์ใช้งานที่เป็นมลทินอย่างละคู่ทั้งตัวผู้และตัวเมีย 3นกในอากาศอย่างละเจ็ดคู่ทั้งตัวผู้และตัวเมีย เพื่อรักษาพันธุ์สัตว์ให้มีชีวิตทั่วพื้นแผ่นดิน 4เพราะว่าอีกเจ็ดวันเราจะทำให้ฝนตกบนแผ่นดินสี่สิบวันสี่สิบคืน เราจะทำลายล้างมนุษย์และสัตว์ทั้งหมดที่เราสร้างจากพื้นแผ่นดิน” 5โนอาห์ก็ทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาท่านทุกประการ
6เมื่อน้ำท่วมแผ่นดินนั้น โนอาห์มีอายุได้ 600 ปี 7โนอาห์กับบุตรทั้งสาม ภรรยาและพวกบุตรสะใภ้เข้าไปในเรือนั้นเพื่อให้พ้นน้ำท่วม 8สัตว์ใช้งานที่ไม่เป็นมลทินและสัตว์ใช้งานที่เป็นมลทินกับนกและสัตว์ทุกชนิดที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน 9ก็มาหาโนอาห์แล้วเข้าไปในเรือเป็นคู่ๆ ทั้งตัวผู้และตัวเมีย ดังที่พระเจ้าทรงบัญชาโนอาห์ไว้ 10เมื่อล่วงไปเจ็ดวัน น้ำก็ท่วมแผ่นดิน
11เมื่อโนอาห์มีอายุได้ 600 ปี ในเดือนที่สองวันที่สิบเจ็ดของเดือนนั้น ในวันนั้นเองน้ำพุใต้บาดาลที่ลึกมากทั้งหมดก็พลุ่งขึ้นมา และช่องฟ้าก็เปิด 12ฝนตกบนแผ่นดิน 40 วัน 40 คืน 13วันเดียวกันนั้นโนอาห์กับเชม ฮาม และยาเฟท บรรดาบุตรของท่าน และภรรยาของโนอาห์ กับบุตรสะใภ้สามคนเข้าไปในเรือ 14คนเหล่านั้นกับสัตว์ทั้งปวงตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งานทั้งปวงตามชนิดของมัน และสัตว์เลื้อยคลานทั้งปวงบนแผ่นดินตามชนิดของมัน และนกทั้งปวงตามชนิดของมัน คือนกทุกอย่าง 15สัตว์ทั้งหลายที่มีลมหายใจก็เข้าไปในเรือกับโนอาห์เป็นคู่ๆ 16บรรดาสัตว์ที่เข้าไปนั้นมีทั้งตัวผู้และตัวเมียทุกชนิด ต่างเข้าไปตามที่พระเจ้าทรงบัญชา แล้วพระยาห์เวห์ทรงปิดให้ท่านอยู่ข้างใน
17น้ำท่วมแผ่นดินตลอด 40 วัน น้ำทวีขึ้นหนุนเรือให้สูงเหนือแผ่นดิน 18น้ำทวีมากขึ้นบนแผ่นดิน ส่วนเรือก็ลอยขึ้นบนผิวน้ำ 19น้ำทวีแรงมากยิ่งขึ้นบนแผ่นดิน ท่วมภูเขาสูงทั้งหลายที่อยู่ใต้ฟ้าทุกแห่งมิดหมด 20น้ำท่วมสูงขึ้นไปเจ็ดเมตรครึ่งและภูเขาทั้งหลายก็ถูกปกคลุมด้วยน้ำ 21สิ่งมีชีวิตทั้งปวงที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน คือนก สัตว์ใช้งาน สัตว์ป่ากับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนที่ติดพื้นดิน และมนุษย์ทั้งปวงก็ตายสิ้น 22สิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดที่มีลมหายใจเข้าออกทางจมูก คือทั้งหมดที่อาศัยอยู่บนบกก็ตายสิ้น 23พระองค์ทรงทำลายล้างสิ่งทั้งปวงที่มีชีวิตอยู่บนพื้นดินตั้งแต่มนุษย์ไปจนถึงสัตว์ใช้งานและสัตว์เลื้อยคลาน และนกในอากาศ พวกเหล่านี้ถูกทำลายล้างเสียจากโลก เหลืออยู่แต่โนอาห์และบรรดาผู้ที่อยู่กับท่านในเรือ 24น้ำท่วมแผ่นดินอยู่ถึง 150 วัน
ปฐมกาล 8
เมื่อน้ำลด
1พระเจ้าทรงระลึกถึงโนอาห์กับสิ่งมีชีวิตทั้งหมด และสัตว์ใช้งานทั้งปวงที่อยู่กับโนอาห์ในเรือ จึงทรงทำให้ลมพัดผ่านมาเหนือแผ่นดิน น้ำก็ลดลง 2น้ำพุของน้ำบาดาลและช่องฟ้าทั้งหลายก็ปิด ฝนจากฟ้าก็หยุด 3น้ำก็ลดลงจากแผ่นดินเรื่อยๆ เมื่อล่วงไป 150 วันแล้ว น้ำก็ลดระดับลง 4ณ วันที่สิบเจ็ดของเดือนที่เจ็ด เรือก็ค้างอยู่บนเทือกเขาอารารัต 5น้ำนั้นลดระดับลงเรื่อยๆ จนถึงเดือนที่สิบ ในวันที่หนึ่งเดือนที่สิบ ก็เห็นบรรดายอดภูเขา
6เมื่อครบ 40 วันแล้ว โนอาห์ก็เปิดหน้าต่างที่ทำไว้ในเรือ 7ปล่อยกาไปตัวหนึ่ง กาก็บินไปและบินกลับมา จนน้ำลดแห้งจากแผ่นดิน 8โนอาห์ก็ปล่อยนกพิราบตัวหนึ่ง เพื่อดูว่าน้ำลดลงไปจากแผ่นดินแล้วหรือยัง 9แต่นกพิราบนั้นไม่พบที่ที่จะเกาะได้ จึงบินกลับมาหาโนอาห์ที่เรือเพราะน้ำยังท่วมแผ่นดินอยู่ โนอาห์จึงยื่นมือออกไปจับนกพิราบนั้นมาหาท่านนำเข้าไปในเรือ 10โนอาห์เฝ้าคอยอยู่อีกเจ็ดวัน จึงปล่อยนกพิราบไปจากเรืออีก 11เมื่อเวลาเย็นนกพิราบก็กลับมาหาโนอาห์ และคาบใบมะกอกเขียวสดมาด้วย โนอาห์จึงรู้ว่าน้ำลดจากแผ่นดินแล้ว 12โนอาห์เฝ้าคอยอยู่อีกเจ็ดวันหลังจากนั้นจึงปล่อยนกพิราบไป นกนั้นไม่กลับมาหาโนอาห์อีกเลย
13 เมื่อถึงวันที่หนึ่งของเดือนที่หนึ่ง ปีที่หกร้อยเอ็ด น้ำก็แห้งจากแผ่นดิน โนอาห์เปิดหลังคาของเรือและมองเห็นว่าพื้นดินแห้ง 14เมื่อถึงวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนที่สองแผ่นดินก็แห้งแล้ว 15พระเจ้าตรัสแก่โนอาห์ว่า 16“เจ้าจงออกไปจากเรือ ทั้งภรรยาของเจ้า บุตรชายของเจ้าและบุตรสะใภ้ของเจ้าด้วย 17จงพาสัตว์ทุกชนิดที่อยู่กับเจ้า ที่มีเลือดเนื้อ คือนก สัตว์ใช้งาน และสัตว์เลื้อยคลานทั้งหมดที่คลานบนดินให้ออกไป เพื่อจะได้แพร่พันธุ์ทวีขึ้นมากมายบนแผ่นดิน” 18โนอาห์ก็ออกไปพร้อมกับบุตร ภรรยา และบุตรสะใภ้ 19สัตว์ทุกชนิดและสัตว์เลื้อยคลานทั้งหมด กับนกและสัตว์ที่เคลื่อนไหวไปมาบนแผ่นดินทั้งหมดก็ออกไปจากเรือตามพันธุ์ของมัน
พระสัญญาของพระเจ้าต่อโนอาห์
20โนอาห์สร้างแท่นบูชาแด่พระยาห์เวห์และเลือกเอาสัตว์ใช้งานที่สะอาด และนกที่สะอาดมาเผาบูชาถวายที่แท่นนั้น 21พระยาห์เวห์ทรงได้กลิ่นที่พอพระทัยแล้ว ทรงดำริในพระทัยว่า “เราจะไม่สาปแผ่นดินอีกต่อไป แม้ว่ามนุษย์ไม่ดี เพราะเค้าความคิดในใจของมนุษย์ล้วนแต่ร้ายมาตั้งแต่เด็ก เราจะไม่ทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งปวงอีก ดังที่เราได้ทำแล้วนั้น 22ตราบที่โลกยังมีอยู่ จะมีฤดูหว่านกับฤดูเกี่ยว มีเย็นกับร้อน มีฤดูร้อนกับฤดูหนาว มีวันและคืนตลอดไป”
ปฐมกาล 9
พันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับโนอาห์
1พระเจ้าทรงอวยพรโนอาห์และบุตรทั้งหลายของเขา ตรัสแก่พวกเขาว่า “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน 2สัตว์ทั้งปวงบนแผ่นดิน นกทั้งปวงบนท้องฟ้า สัตว์ที่เลื้อยคลานทั้งสิ้นบนแผ่นดิน และปลาทั้งสิ้นในทะเลจะกลัวและหวาดหวั่นต่อพวกเจ้า เรามอบสัตว์ทั้งปวงไว้ในมือของพวกเจ้า 3ทุกสิ่งที่มีชีวิตเคลื่อนไหวไปมาจะเป็นอาหารของเจ้า เราจะยกของทุกอย่างให้แก่เจ้า ดังที่เรายกพืชเขียวสดให้แก่เจ้าแล้ว 4แต่ห้ามกินเนื้อพร้อมกับชีวิตของมัน คือเลือดของมัน 5และที่แน่ๆ คือโลหิตที่เป็นชีวิตของพวกเจ้านั้นเราจะทวง เราจะทวงจากมือของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง จากมือของมนุษย์ เราจะทวงชีวิตมนุษย์จากมือของพี่น้องของเขา 6ใครทำให้มนุษย์โลหิตไหล มนุษย์จะทำให้โลหิตผู้นั้นไหลเหมือนกัน เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ตามพระฉายาของพระองค์ 7พวกเจ้าจงมีลูกทวีมากขึ้น จงอยู่เต็มแผ่นดินโลกและทวีมากขึ้นในนั้น”
8พระเจ้าจึงตรัสแก่โนอาห์และบุตรทั้งหลายว่า 9“นี่แน่ะ เราเองเป็นผู้ตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้า และกับพงศ์พันธุ์ที่มาภายหลังเจ้า 10และกับบรรดาสัตว์มีชีวิตที่อยู่กับพวกเจ้าด้วย ทั้งนกและสัตว์ใช้งานและสัตว์ป่าทั้งหมดที่อยู่กับพวกเจ้า จากสัตว์ทั้งปวงที่ออกจากเรือ คือสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลก 11เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้าว่าจะไม่ทำลายมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงโดยให้น้ำท่วมอีก และจะไม่ให้มีน้ำมาท่วมทำลายโลกอีกต่อไป” 12พระเจ้าตรัสว่า “นี่แหละเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญา ซึ่งเราให้ไว้ระหว่างเรากับพวกเจ้า และกับสัตว์มีชีวิตทั้งปวงที่อยู่กับพวกเจ้าสืบไปทุกชั่วอายุ 13คือเราตั้งรุ้งของเราไว้ที่เมฆ และรุ้งนั้นจะเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับโลก 14เมื่อเราให้มีเมฆเหนือแผ่นดิน และมีรุ้งปรากฏขึ้นที่เมฆนั้น 15เราจะระลึกถึงพันธสัญญาของเราที่ทำไว้ระหว่างเรากับพวกเจ้าและกับสิ่งที่มีชีวิต และสัตว์ทั้งปวง แล้วน้ำจะไม่ท่วมทำลายสัตว์ทั้งปวงอีกเลย 16เมื่อมีรุ้งที่เมฆ เราจะดูรุ้งนั้น เพื่อระลึกถึงพันธสัญญานิรันดร์ระหว่างพระเจ้ากับสิ่งมีชีวิตและสัตว์ทั้งปวงซึ่งอยู่บนแผ่นดิน” 17พระเจ้าตรัสแก่โนอาห์ว่า “นี่แหละเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาที่เราได้ตั้งไว้ระหว่างเรากับสัตว์ทั้งปวงซึ่งอยู่บนแผ่นดิน”
อรรถาธิบาย
เรียนรู้ว่าคนอื่น ๆ รับมือกับการต่อสู้และการอวยพรได้อย่างไร
คริสเตียนควรเป็นคนคิดบวก เราเห็นได้จากพระคำตอนนี้ว่ามีพระพรมากกว่าการต่อสู้ ในประเด็นสำคัญสี่ประการที่ปรากฏผ่านพระคำตอนนี้ (และพระคัมภีร์ทั้งเล่ม) มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เป็นเรื่องลบ (ความบาปที่นำไปสู่การต่อสู้) ส่วนอีกสามประเด็นล้วนเป็นพระพรเชิงบวกทั้งนั้น
1.\tการทรงสร้าง
มนุษย์ถูกสร้างขึ้นตามพระฉายาของพระเจ้า (9:6ข) มีทั้งเกียรติและศักดิ์ศรีในตัวเราทุกคน มนุษย์ทุกคนมีคุณค่ามหาศาล นั่นคือสาเหตุที่ทำไมการมุ่งเอาชีวิตผู้อื่นถึงส่งผลร้ายแรงขนาดนี้ (ข้อ 5,6) ให้เราปฏิบัติต่อมนุษย์ทุกคนด้วยความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน
2. การล้มลงในบาป
โนอาห์เผชิญการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ ทั้งน้ำท่วมและการทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ ฝนตกเป็นเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืน (7:4) (เป็นช่วงเดียวกับการทดลองของพระเยซู) การพิพากษาของพระเจ้าเกิดขึ้นเพราะความร้ายแรงของบาป ‘เค้าความคิดในใจของมนุษย์ล้วนแต่ร้ายมาตั้งแต่เด็ก’ (8:21)
3. การทรงไถ่
แม้จะต่อสู้กับน้ำท่วม แต่โนอาห์ยังมีสันติสุขกับพระพรแห่งความรักของพระเจ้าแม้ว่าจะเหลือแค่เพียงตัวเขาและคนที่อยู่ในเรือก็ตาม (7:23) จากมุมมองของพันธสัญญาใหม่เราจะเห็นว่าเรือเป็นภาพของการรับบัพติศมาในพระคริสต์ (ดู 1 เปโตร 3:18 เป็นต้นไป) ผู้ที่อยู่ในเรือนั้นจะปลอดภัย ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ก็จะปลอดภัย
แล้วพระเจ้าทรงอวยพรโนอาห์กับบุตรของเขาและตรัสว่า ‘จงมีลูกมีหลานทวีขึ้นจนเต็มแผ่นดินโลก' (ปฐมกาล 9:1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
4. ได้รับการยกชู
พระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับพวกเขา (ข้อ 9) ทุกครั้งที่คุณเห็นสายรุ้ง (ข้อ 13) จะเป็นการย้ำเตือนความจำถึงพันธสัญญาของพระเจ้าที่มีต่อคุณซึ่งนำไปสู่ไม้กางเขนในท้ายที่สุดนั่นก็คือพระโลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่ ซึ่งเป็น ‘พันธสัญญานิรันดร์’ สู่ความมีชีวิตนิรันดร์ (ข้อ 16)
คำอธิษฐาน
พระเจ้าขอบคุณพระองค์ ที่ท้ายที่สุดแล้วพระพรของพระองค์มีมากกว่าการต่อสู้ใด ๆ โปรดช่วยข้าพระองค์ให้ระลึกเสมอว่า การต่อสู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ชั่วขณะหนึ่งนั้นกำลังนำไปสู่นิรันดร์ซึ่งมีค่ามากกว่าปัญหาทั้งหมดทั้งมวล (ดู 2 โครินธ์ 4:17)
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ปฐมกาล 7:8
โนอาห์เริ่มงานตอนอายุมากแล้ว (600 ปี) นั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าถ้าพระเจ้าจะใช้คุณไม่มีคำว่าสายเกินไป ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ ดังนั้นอย่าตัดสิทธิ์ตัวเองเพียงเพราะอายุมากหรือด้วยเหตุผลอื่นใด วันนี้อาจเป็นวันกำหนดวิสัยทัศน์ใหม่ของคุณ
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)