วัน 41

พระคำเปลี่ยนชีวิต

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 19:7-14
พันธสัญญาใหม่ มัทธิว 26:47-68
พันธสัญญาเดิม อพยพ 6:13–8:32

เกริ่นนำ

พ่อของผมอยากไปรัสเซียซักครั้งก่อนตาย ครอบครัวเราไปที่นั่นในวันหยุด ตอนนั้นพระคัมภีร์ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายในสหภาพโซเวียต ผมเอาพระคัมภีร์ภาษารัสเซียติดตัวไปด้วย ขณะอยู่ที่นั่นผมได้ไปโบสถ์และมองหาคนที่ดูเหมือนจะเป็นคริสเตียนแท้ (การประชุมของศาสนจักรมักถูกแทรกซึมโดยคณะกรรมการความมั่นคงแห่งรัฐ)

มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเดินตามชายคนหนึ่งไปตามถนนหลังเสร็จสิ้นการนมัสการ ผมเข้าไปหาเขาเพียงลำพังและแตะที่ไหล่เบา ๆ พร้อมหยิบพระคัมภีร์เล่มหนึ่งออกมาและส่งให้เขา ครู่หนึ่งเขามีสีหน้าประหลาดใจไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น จากนั้นเขาก็หยิบพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ออกมาจากกระเป๋าซึ่งน่าจะมีอายุถึง 100 ปี จนทำให้กระดาษแต่ละหน้าเลือนรางไปมาก เมื่อเขารู้ว่าเขาได้รับพระคัมภีร์ทั้งเล่มเขาก็ดีใจ เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ส่วนผมก็พูดภาษารัสเซียไม่ได้เลย แต่เรากอดกัน และเขาก็เริ่มกระโดดโลดเต้นบนถนนด้วยความดีใจ

พระวจนะของพระเจ้า ‘น่าปรารถนามากกว่าทองคำ ยิ่งกว่าทองบริสุทธิ์มากนัก หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งที่หยดลงจากรวง’ (สดุดี 19:10)

เหตุใดพระวจนะของพระเจ้าจึงมีค่ามาก? พระเยซูตรัสว่า ‘มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’ (มัทธิว 4:4) สำนวนดั้งเดิมหมายถึง ‘ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง’ ดั่งสายน้ำที่ไหลออกมาและเช่นเดียวกับธารน้ำพุไม่มีวันหยุดนิ่ง พระเจ้ากำลังสื่อสารกับเราอย่างต่อเนื่อง ทรงทำเช่นนั้นผ่านทางพระคำที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงชีวิต

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 19:7-14

7ธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์ดีพร้อม
 และฟื้นฟูชีวิต
พระโอวาทของพระยาห์เวห์นั้นแน่นอน
 ทำให้คนรู้น้อยมีปัญญา
8ข้อบังคับของพระยาห์เวห์นั้นถูกต้อง
 ทำให้ใจยินดี
พระบัญญัติของพระยาห์เวห์นั้นบริสุทธิ์
 ทำให้ดวงตากระจ่างแจ้ง
9ความยำเกรงพระยาห์เวห์นั้นสะอาดหมดจด
 ถาวรเป็นนิตย์
กฎหมายของพระยาห์เวห์ก็สัตย์จริง
 และชอบธรรมทั้งสิ้น
10น่าปรารถนามากกว่าทองคำ
 ยิ่งกว่าทองบริสุทธิ์มากนัก
 หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้ง
 ที่หยดลงจากรวง
11อนึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นที่ตักเตือนผู้รับใช้ของพระองค์
 การรักษาข้อความเหล่านั้นก็ได้บำเหน็จยิ่งใหญ่
12แต่ผู้ใดจะเห็นความผิดพลาดของตนได้เล่า?
 ขอทรงชำระข้าพระองค์ให้พ้นจากความผิดที่ซ่อนเร้นอยู่
13ขอทรงยับยั้งผู้รับใช้ของพระองค์จากการทำบาปโดยตั้งใจ
 ขออย่าให้มันมีอำนาจเหนือข้าพระองค์เลย
แล้วข้าพระองค์จะไร้ตำหนิ
 และพ้นผิดจากการละเมิดใหญ่หลวงนั้น
14ข้าแต่พระยาห์เวห์ ผู้ทรงเป็นศิลาและผู้ไถ่ของข้าพระองค์
 ขอให้ถ้อยคำจากปากข้าพระองค์ และการภาวนาในใจ
 เป็นที่โปรดปรานเฉพาะพระพักตร์พระองค์เถิด

อรรถาธิบาย

ให้พระวจนะของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงคุณ

เราทุกคนต้องการพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงจากพระวจนะของพระเจ้าในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าคุณจะแสวงหาสติปัญญาในสถานการณ์ที่ตึงเครียดและซับซ้อน การให้กำลังใจเมื่อคุณท้อแท้หรือคำแนะนำเกี่ยวกับหนทางข้างหน้า คุณสามารถขอความช่วยเหลือได้จากพระคัมภีร์

ในสมัยของดาวิดไม่ได้มีพระคัมภีร์ฉบับที่สมบูรณ์เหมือนกับที่คุณมีในทุกวันนี้ แต่มี ‘ธรรมบัญญัติ’ ‘พระโอวาท’ ‘ข้อบังคับ’ และ ‘พระบัญญัติ’ ของพระเจ้า (ข้อ 7ก–9ข)

ดาวิดพรรณนาถึงสิ่งเหล่านี้ว่า ‘ดีพร้อม’ (ข้อ 7ก), ‘สะอาดหมดจด' (ข้อ 9ก) และ ‘น่าปรารถนา’ (ข้อ 10ก)

ในพระธรรมสดุดีนี้เราเห็นผลของชีวิตที่เปลี่ยนแปลงเมื่อได้ใคร่ครวญพระวจนะ ดังนี้

  1. ฟื้นฟูจิตวิญญาณของคุณ (ข้อ 7ก)

2.นำสติปัญญามาสู่คุณ (ข้อ 7ข)

  1. ให้ความชื่นชมยินดีมาสู่จิตใจของคุณ (ข้อ 8ก)

  2. เปิดดวงตาใจของคุณให้กระจ่างแจ้ง (ข้อ 8ข)

  3. ตักเตือน (ข้อ 11ก)

  4. นำบำเหน็จมาสู่ชีวิตคุณ (ข้อ 11ข)

การอ่านพระคัมภีร์ และการอธิษฐาน คือ การมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด อย่าเพียงแค่อ่านพระคัมภีร์เพื่อหาข้อมูล แต่จงอ่านเพื่อฟังว่าพระเจ้าตรัสอะไรกับคุณ การตอบสนองอย่างธรรมชาติก็คือการอธิษฐาน มันเป็นกระบวนการสองทาง นั่นคือเหตุผลที่เราจบแต่ละส่วนของพระคัมภีร์นี้ในพระคัมภีร์ในหนึ่งปีด้วยการอธิษฐาน และตอบสนองต่อสิ่งที่พระเจ้าแสดงให้เราเห็นผ่านพระวจนะของพระองค์ ดาวิดมุ่งตรงจากการยกย่องคุณงามความดีของพระวจนะของพระเจ้าลงไปในคำอธิษฐานที่ยอดเยี่ยม คำอธิษฐานของดาวิดคือคำอธิษฐานของผม (ข้อ 12–14)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ‘ขอทรงชำระข้าพระองค์ให้พ้นจากความผิดที่ซ่อนเร้นอยู่ ขอทรงยับยั้งผู้รับใช้ของพระองค์จากการทำบาปโดยตั้งใจนั้นด้วยเถิด ขออย่าให้มันมีอำนาจเหนือข้าพระองค์เลย ข้าแต่พระยาห์เวห์ ผู้ทรงเป็นศิลาและผู้ไถ่ของข้าพระองค์ ขอให้ถ้อยคำจากปากข้าพระองค์ และการภาวนาในใจ เป็นที่โปรดปรานเฉพาะพระพักตร์พระองค์เถิด’

พันธสัญญาใหม่

มัทธิว 26:47-68

การทรยศและการจับกุมพระเยซู

 47พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ยูดาสที่เป็นหนึ่งในกลุ่มสิบสองคนก็มาถึง พร้อมกับคนกลุ่มใหญ่ที่มาจากพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ของประชาชนซึ่งถือดาบ ถือไม้ตะบองมา 48คนที่ทรยศพระองค์ก็ให้สัญญาณกับพวกเขาว่า “เราจูบคำนับใครก็คือคนนั้นแหละ จงจับเขาไว้”
 49แล้วยูดาสก็ตรงมาเฝ้าพระเยซูทูลว่า “สวัสดีพระอาจารย์” แล้วจูบพระองค์ 50พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพื่อนเอ๋ย จงทำตามที่ท่านตั้งใจเถิด” แล้วพวกเขาก็เข้ามาและลงมือจับกุมพระเยซู 51คนหนึ่งที่อยู่กับพระเยซูก็ยื่นมือออกชักดาบฟันหูบ่าวของมหาปุโรหิตขาด 52พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เอาดาบของท่านใส่ฝักเสีย เพราะว่าพวกที่ใช้ดาบจะต้องพินาศเพราะดาบ 53ท่านคิดว่าเราจะทูลขอพระบิดาของเราไม่ได้หรือ? และพระองค์ก็จะประทานทูตสวรรค์ให้เรามากกว่าสิบสองกองพลในทันที 54แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นข้อพระคัมภีร์ที่ว่า จำเป็นจะต้องเป็นอย่างนี้จะสำเร็จได้อย่างไร?” 55ในเวลานั้นพระเยซูตรัสกับกลุ่มชนว่า “ท่านทั้งหลายเห็นเราเป็นโจรหรือ ถึงได้ถือดาบถือตะบองออกมาจับเรา เรานั่งสั่งสอนในบริเวณพระวิหารทุกวัน ท่านก็ไม่ได้จับเรา 56แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อให้สำเร็จตามที่ผู้เผยพระวจนะเขียนไว้” แล้วสาวกทั้งหมดก็ละทิ้งพระองค์ และพากันหนีไป

พระเยซูทรงอยู่ต่อหน้าสภายิว

 57พวกคนที่จับพระเยซูก็พาพระองค์ไปถึงบ้านคายาฟาสมหาปุโรหิต ซึ่งเป็นที่ที่บรรดาธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ประชุมกันอยู่ 58แต่เปโตรตามพระองค์ไปห่างๆ จนถึงลานบ้านของมหาปุโรหิต และเข้าไปนั่งข้างในลานบ้านกับบรรดาคนรับใช้ เพื่อคอยดูว่าเรื่องจะจบลงอย่างไร 59พวกหัวหน้าปุโรหิตกับสมาชิกสภายิวทั้งหมดก็หาพยานเท็จมาปรักปรำพระเยซูเพื่อจะประหารพระองค์เสีย 60แต่ถึงแม้มีพยานเท็จหลายคนมาให้การก็ยังหาหลักฐานไม่ได้ ในที่สุดมีสองคนมาให้การ 61ว่า “คนนี้กล่าวว่าเขาสามารถทำลายพระวิหารของพระเจ้าและสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวัน” 62มหาปุโรหิตจึงลุกขึ้นถามพระองค์ว่า “เจ้าจะไม่แก้ตัวในข้อหาที่พวกเขาเป็นพยานกล่าวหาเจ้าหรือ?” 63แต่พระเยซูทรงนิ่งอยู่ ท่านมหาปุโรหิตจึงกล่าวว่า “เราให้เจ้าสาบานโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ให้บอกเราว่าเจ้าเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าหรือไม่” 64พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านได้พูดแล้ว แต่เราจะบอกท่านทั้งหลายด้วยว่า ตั้งแต่นี้ไป พวกท่านจะเห็น บุตรมนุษย์
 ประทับข้างขวาของผู้ทรงฤทธิ์เดช
  และเสด็จมาบนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์”

 65แล้วมหาปุโรหิตก็ฉีกเสื้อของตนกล่าวว่า “เขาพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เราต้องการพยานอะไรอีก ท่านก็ได้ยินเขาพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าแล้ว 66พวกท่านคิดอย่างไร?” พวกเขาตอบว่า “เขาสมควรตาย” 67แล้วพวกเขาก็ถ่มน้ำลายรดพระพักตร์และทุบตีพระองค์ บางคนก็ตบพระองค์ 68แล้วกล่าวว่า “เจ้าพระคริสต์ จงทำนายให้เรารู้ซิว่าใครตีเจ้า”

อรรถาธิบาย

ให้พระวจนะของพระเจ้าชี้นำชีวิต

พระเยซูทรงศึกษาพระคัมภีร์อย่างละเอียดถี่ถ้วน ชีวิตทั้งชีวิตของพระองค์หล่อหลอมจากสิ่งที่พระองค์อ่าน จากการใคร่ครวญพระคัมภีร์ทำให้พระองค์เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระองค์เมื่อทรงถูกอายัด สาวกของพระองค์พยายามขัดขืน แต่พระเยซูตรัสว่า ‘…อย่างนั้นข้อพระคัมภีร์ที่ว่า จำเป็นจะต้องเป็นอย่างนี้จะสำเร็จได้อย่างไร?’ (ข้อ 54) พระองค์อธิบายให้ฝูงชนฟังว่า ‘…ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อให้สำเร็จตามที่ผู้เผยพระวจนะเขียนไว้’ (ข้อ 56)

ถือเป็นข้อพระคำที่ทำให้พระองค์สามารถจัดการกับความไม่ซื่อสัตย์ การทอดทิ้งและการใส่ร้าย พระองค์ได้วางไว้เป็นตัวอย่างว่า คุณจะจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไรในชีวิตของคุณเอง

1. ไม่ซื่อสัตย์

ดูเหมือนว่ายูดาสแสดงความรักที่มีต่อพระเยซูด้วยการจูบ แต่จริง ๆ แล้วเขากำลังทรยศต่อพระองค์: ‘ผู้ที่ทรยศ ... ก็แกล้งทำเป็นโอบกอดพระองค์และจูบพระองค์ด้วยความอบอุ่นและความจงรักภักดี’ (ข้อ 48–49, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) นี่ถือเป็นการตีสองหน้าที่เนียนที่สุด

พระเยซูทรงทราบแน่ชัดว่ายูดาสกำลังทำอะไร อย่างไรก็ตามพระองค์ยังคงเรียกเขาว่า ‘เพื่อนเอ๋ย’ (ข้อ 50) เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าเราไม่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์อย่างไร พระเยซูยังคงสัตย์ซื่อต่อเราเสมอ

2. ทอดทิ้ง

สาวกทั้งหมด ‘ละทิ้งพระองค์ และพากันหนีไป’ (ข้อ 56ข) ในช่วงเวลาแห่งความสำเร็จเช่น เมื่อมีคนถูกขอแต่งงาน มีลูกหรือทำข้อสอบได้ เป็นเรื่องธรรมดาที่เราอยากที่จะร่วมแสดงความยินดีหรืออยู่ใกล้ ๆ พวกเขาเหล่านั้น แต่เมื่อคนอยู่ในช่วงตกต่ำของชีวิต ส่วนใหญ่จะถูกคนรอบข้างทอดทิ้งไป

ว่ากันว่า ‘เมื่อชีวิตเข้าสู่ขาขึ้น เพื่อนของคุณก็อยากที่จะรู้ว่าคุณประสบความสำเร็จอย่างไร แต่เมื่อชีวิตเข้าสู่ขาลงเมื่อนั้นคุณจะรู้ว่าใครคือเพื่อนแท้ของคุณ!’

3. ถูกกล่าวหา

คุณเคยถูกใส่ร้ายหรือไม่? นับเป็นประสบการณ์ที่น่าสยดสยอง พระเยซูเผชิญกับความอยุติธรรมอันเลวร้ายของพยานเท็จที่เป็นพยานปรักปรำพระองค์เพื่อที่พวกเขาจะประหารพระองค์ (ข้อ 59)

พระองค์ทรงอดกลั้นและไม่ตอบโต้ (ข้อ 63) แต่ทรงยอมให้พระองค์เองถูกทำร้ายร่างกาย (ข้อ 67) และพระองค์ทรงเลือกที่จะไม่เอาชนะการโต้แย้ง (เป็นเรื่องที่เจ้าภาพกลุ่มย่อยของหลักสูตรอัลฟ่าต้องจดจำไว้) ซึ่งพระองค์ทรงเข้าใจจากพระคัมภีร์ว่าทั้งหมดนี้มีจุดประสงค์ที่จะนำไปสู่ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในที่สุด

ความเข้าใจของพระเยซูเกี่ยวกับตัวตนของพระองค์และพันธกิจของพระองค์ที่มาในโลกนี้ มาจากการใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ในการพิจารณาคดีต่อหน้าสภาแซนเฮดริน ซึ่งดูเหมือนว่าพระเยซูถูกกล่าวหาอย่างไร้ที่พึ่ง ทรงถูกกล่าวหาว่า แอบอ้างว่าสามารถทำลายพระวิหารของพระเจ้าและสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวัน (ข้อ 61) เป็นพระเมสสิยาห์ (ข้อ 63) เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า (ข้อ 63) และบุตรมนุษย์ประทับข้างขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้า (ข้อ 64) ซึ่งอันที่จริงแล้วผู้ถูกกล่าวหาผู้นี้เองคือผู้ที่มีอำนาจและครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่ง

หลักฐานอ้างอิงในการเป็น ‘บุตรมนุษย์’ ได้ถูกกล่าวถึงในพระธรรมดาเนียล 7:13 พระเยซูตระหนักดีว่า นี่เป็นดั่งคำทำนายถึงพระเมสสิยาห์ซึ่งเกี่ยวกับพระองค์เองโดยชี้ถึงความทุกข์ทรมานที่กำลังจะมาถึง การพิสูจน์ตัวตนและสิทธิอำนาจที่พระเจ้าประทานให้

ที่น่าขบขันก็คือ เหล่าผู้ตัดสินพระองค์นั้นแหละ คือผู้ที่อยู่ในการทดลองเสียเอง เช่นเดียวกัน เราเองต้องตัดสินใจว่าเราคิดอย่างไรเกี่ยวกับพระเยซู (มัทธิว 26:66)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยให้ข้าพระองค์ได้ทำตามแบบอย่างของพระเยซู ในการศึกษาพระคัมภีร์และนำไปใช้กับชีวิต

พันธสัญญาเดิม

อพยพ 6:13–8:32

13พระยาห์เวห์จึงตรัสกับโมเสสและอาโรน ให้แจ้งแก่ชนชาติอิสราเอลและฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ว่า พระองค์ทรงบัญชาให้ท่านทั้งสองพาชนชาติอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์

พงศ์พันธุ์ของโมเสสและอาโรน

 14ต่อไปนี้เป็นต้นตระกูลของพวกเขา

บุตรของรูเบนผู้เป็นบุตรหัวปีของอิสราเอลชื่อ ฮาโนค ปัลลู เฮสโรน และคารมี เหล่านี้เป็นตระกูลเผ่ารูเบน
15บุตรของสิเมโอนชื่อ เยมูเอล ยามีน โอหาด ยาคีน โศหาร์ และชาอูลผู้เกิดจากหญิงคานาอัน เหล่านี้เป็นตระกูลเผ่าสิเมโอน
16ต่อไปนี้เป็นชื่อบุตรของเลวี ตามชาติพันธุ์ของเขาคือ เกอร์โชน โคฮาท และเมรารี เลวีนั้นมีอายุได้ 137 ปี 17บุตรของเกอร์โชนชื่อลิบนี และชิเมอี ตามตระกูลของพวกเขา
18บุตรของโคฮาทชื่อ อัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล โคฮาทมีอายุได้ 133 ปี
19บุตรของเมรารีชื่อ มาห์ลีและมูชี เหล่านี้เป็นตระกูลของคนเลวี ตามชาติพันธุ์ของเขา
20ส่วนอัมรามได้โยเคเบดน้องบิดาของตนเป็นภรรยา แล้วนางให้กำเนิดบุตรแก่เขาชื่อ อาโรนและโมเสส อัมรามมีอายุได้ 137 ปี
21บุตรของอิสฮาร์ชื่อ โคราห์ เนเฟก และศิครี
22บุตรของอุสซีเอลชื่อ มิชาเอล เอลซาฟาน และสิธรี
23ส่วนอาโรนได้นางเอลีเชบาบุตรีของอัมมีนาดับ น้องสาวของนาโชนเป็นภรรยา นางมีบุตรกับเขาชื่อ นาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์
24บุตรของโคราห์ชื่อ อัสสีร์ เอลคานาห์ และอาบียาสาฟ เหล่านี้เป็นตระกูลของคนโคราห์
25ฝ่ายเอเลอาซาร์บุตรอาโรน ได้รับบุตรหญิงคนหนึ่งของปูทิเอลเป็นภรรยา นางมีบุตรกับเขาชื่อ ฟีเนหัส
คนเหล่านี้เป็นต้นตระกูลของคนเลวี ตามตระกูล
26อาโรนและโมเสสสองคนนี้แหละ คือผู้ที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า “จงพาชนชาติอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์โดยแยกเป็นขบวนๆ” 27โมเสสและอาโรนสองคนนี้แหละ เป็นผู้กราบทูลฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์เรื่องพาชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์

โมเสสและอาโรนเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า

 28ในวันที่พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสในแผ่นดินอียิปต์นั้น 29พระองค์ตรัสกับโมเสสว่า “เราคือยาห์เวห์ เจ้าจงบอกฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ตามข้อความทั้งหมดที่เราได้บอกเจ้า” 30โมเสสกราบทูลพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่เก่ง ไฉนฟาโรห์จะฟังข้าพระองค์เล่า?”

อพยพ 7

 1พระยาห์เวห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “ดูสิ เราตั้งเจ้าไว้เป็นดังพระเจ้าต่อฟาโรห์ และอาโรนพี่ชายของเจ้าจะเป็นผู้เผยพระวจนะของเจ้า 2เจ้าจงบอกข้อความทั้งหมดที่เราสั่งเจ้า แล้วอาโรนพี่ชายของเจ้าจะบอกฟาโรห์ให้ปล่อยชนชาติอิสราเอลออกไปจากแผ่นดินของเขา 3เราจะทำให้ใจของฟาโรห์แข็ง เพื่อเราจะทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ให้ทวีมากขึ้นในแผ่นดินอียิปต์ 4ฟาโรห์จะไม่ฟังพวกเจ้า แล้วเราจะวางมือของเราบนอียิปต์ และจะพาไพร่พลของเราคือชนชาติอิสราเอลประชากรของเราออกจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยการพิพากษาอันใหญ่หลวง 5คนอียิปต์จะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์ เมื่อเราได้ยื่นมือออกปราบอียิปต์ และพาชนชาติอิสราเอลออกจากท่ามกลางพวกเขา”
6โมเสสและอาโรนก็ทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชา 7เมื่อเขาทั้งสองไปทูลฟาโรห์นั้น โมเสสมีอายุ 80 ปี และอาโรนมีอายุ 83 ปี

ไม้เท้าอัศจรรย์ของอาโรน

 8พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า 9“เมื่อฟาโรห์สั่งพวกเจ้าว่า ‘จงทำการอัศจรรย์พิสูจน์ตัวเจ้า’ เจ้าจงพูดกับอาโรนว่า ‘เอาไม้เท้าของท่านโยนลงต่อหน้าฟาโรห์ แล้วไม้เท้าจะกลายเป็นงู’ ” 10โมเสสกับอาโรนจึงไปเข้าเฝ้าฟาโรห์ และทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชา อาโรนโยนไม้เท้าลงต่อหน้าฟาโรห์และพวกข้าราชการ ไม้นั้นก็กลายเป็นงู
 11ฟาโรห์ทรงเรียกพวกนักปราชญ์ และพวกนักวิทยาคมมา เขาเป็นพวกที่ใช้เวทมนตร์คาถาแห่งอียิปต์ จึงทำได้เหมือนกันด้วยศิลปะอันลี้ลับของพวกเขา 12เมื่อเขาต่างคนต่างโยนไม้เท้าลง ไม้เท้าเหล่านั้นก็กลายเป็นงู แต่ไม้เท้าของอาโรนกลืนไม้เท้าของพวกเขาเสียสิ้น 13ถึงกระนั้นพระทัยของฟาโรห์ก็ยังกระด้างไม่ยอมฟังเขาทั้งสอง จริงดังที่พระยาห์เวห์ตรัสไว้แล้ว

ภัยพิบัติแรก: น้ำกลายเป็นเลือด

 14พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “ใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง ไม่ยอมปล่อยประชากรไป 15จงไปเข้าเฝ้าฟาโรห์ในเวลาเช้า เมื่อเขาไปที่แม่น้ำ ให้ยืนคอยเขาอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ จงถือไม้เท้าที่กลายเป็นงูได้นั้นไปด้วย 16และกล่าวกับเขาว่า ‘พระยาห์เวห์ พระเจ้าของคนฮีบรูทรงใช้ข้าพระบาทมาทูลฝ่าพระบาทว่า “จงปล่อยประชากรของเราไปนมัสการเราในถิ่นทุรกันดาร แต่ดูสิ จนบัดนี้เจ้าก็ยังไม่เชื่อฟัง” 17พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “เจ้าจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์โดยการกระทำนี้” นี่แน่ะ ข้าพระบาทจะเอาไม้เท้าในมือของข้าพระบาทฟาดน้ำในแม่น้ำไนล์ น้ำนั้นจะกลายเป็นเลือด 18ปลาในแม่น้ำนั้นจะตาย และแม่น้ำจะเหม็น จนคนอียิปต์ดื่มน้ำในแม่น้ำไนล์ไม่ได้’ ”
 19พระยาห์เวห์ตรัสสั่งโมเสสอีกว่า “จงบอกอาโรนว่า ‘ถือไม้เท้าของท่าน และเหยียดมือออกเหนือน้ำแห่งอียิปต์ คือ เหนือแม่น้ำ ลำคลอง หนอง บึง และสระทั้งหมดของพวกเขา น้ำจะกลายเป็นเลือด จะมีแต่เลือดทั่วแผ่นดินอียิปต์ แม้แต่ในภาชนะไม้หรือภาชนะหิน’ ”
 20โมเสสกับอาโรนก็ทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชา คือท่านได้ยกไม้เท้าขึ้นตีน้ำในแม่น้ำไนล์เฉพาะพระพักตร์ฟาโรห์และต่อหน้าพวกข้าราชการ แล้วน้ำในแม่น้ำไนล์ก็กลายเป็นเลือดจนหมด 21ปลาในแม่น้ำไนล์ก็ตาย แม่น้ำไนล์ก็เหม็น และคนอียิปต์ก็ดื่มน้ำในแม่น้ำไนล์นั้นไม่ได้ มีเลือดทั่วแผ่นดินอียิปต์  22แต่พวกที่ใช้เวทมนตร์คาถาแห่งอียิปต์ก็ทำได้เหมือนกัน ด้วยศิลปะอันลึกลับของเขา แต่พระทัยของฟาโรห์ยังกระด้าง ไม่ฟังท่านทั้งสอง ซึ่งก็เป็นจริงดังที่พระยาห์เวห์ตรัสไว้
 23ฟาโรห์เสด็จกลับวัง ไม่ได้เอาพระทัยใส่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ 24คนอียิปต์ทั้งหมดพากันขุดหลุมตามริมแม่น้ำไนล์หาน้ำดื่ม เพราะพวกเขาดื่มน้ำในแม่น้ำไนล์ไม่ได้
 25เจ็ดวันผ่านไปนับตั้งแต่พระยาห์เวห์ทรงบันดาลให้แม่น้ำไนล์เป็นเลือด

อพยพ 8

ภัยพิบัติที่สอง: ฝูงกบ

 1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงไปหาฟาโรห์บอกว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “จงปล่อยประชากรของเราไปนมัสการเรา 2ถ้าเจ้าไม่ยอมปล่อยไป นี่แน่ะ เราจะให้ฝูงกบลงโทษทั่วเขตแดนของเจ้า 3ฝูงกบจะเต็มทั้งแม่น้ำไนล์ จะขึ้นมาอยู่ในวัง ในห้องนอน และบนที่นอนของเจ้า ในบ้านของพวกข้าราชการ ตามตัวพลเมือง ในเตาปิ้งขนม และในอ่างขยำแป้งของเจ้าด้วย 4ฝูงกบนั้นจะขึ้นมาที่ตัวเจ้า ตัวพลเมืองและตัวข้าราชการทั้งหมดของเจ้า” 5แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงบอกอาโรนให้เหยียดมือที่ถือไม้เท้าออกเหนือแม่น้ำ ลำคลอง หนอง บึง ให้ฝูงกบขึ้นมาบนแผ่นดินอียิปต์” 6อาโรนก็เหยียดมือออกเหนือพื้นน้ำต่างๆ ของอียิปต์ กบก็ขึ้นมาเต็มแผ่นดินอียิปต์ 7ฝ่ายพวกที่ใช้เวทมนตร์คาถาก็ทำตามศิลปะอันลึกลับของพวกเขา ให้มีฝูงกบขึ้นมาบนแผ่นดินอียิปต์เหมือนกัน
 8ฟาโรห์ตรัสเรียกโมเสสกับอาโรนมาว่า “เจ้าทั้งสองจงวิงวอนพระยาห์เวห์ ขอทรงบันดาลให้ฝูงกบไปเสียจากเราและจากพลเมืองของเรา แล้วเราจะยอมปล่อยให้คนอิสราเอลไปถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์”
 9โมเสสจึงทูลฟาโรห์ว่า “เวลาไหนที่ฝ่าพระบาทมีพระประสงค์ให้ข้าพระบาทวิงวอนต่อพระเจ้าเพื่อฝ่าพระบาท ข้าราชบริพารและพลเมืองของฝ่าพระบาท เพื่อกำจัดฝูงกบไปจากฝ่าพระบาทและบ้านเรือนของฝ่าพระบาท ให้เหลืออยู่แต่ในแม่น้ำไนล์ ก็โปรดบัญชาข้าพระบาทเถิด”
 10ฟาโรห์ตรัสตอบว่า “พรุ่งนี้”
โมเสสจึงทูลว่า “จะเป็นไปตามพระดำรัส เพื่อฝ่าพระบาทจะได้ทราบว่า ไม่มีใครเหมือนพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระบาท 11ฝูงกบจะไปจากฝ่าพระบาท จากบ้านเรือนของฝ่าพระบาท จากข้าราชบริพารและพลเมืองของฝ่าพระบาท เหลืออยู่แต่ในแม่น้ำไนล์” 12โมเสสกับอาโรนทูลลาฟาโรห์ไป แล้วโมเสสร้องทูลพระยาห์เวห์เรื่องฝูงกบที่ทรงให้มารบกวนฟาโรห์
 13พระยาห์เวห์ทรงทำตามคำกราบทูลของโมเสส ฝูงกบเหล่านั้นก็ตายเกลื่อนบ้าน เกลื่อนลานบ้านและทุ่งนา 14พวกเขาเก็บซากกบเป็นกองๆ แผ่นดินก็เหม็นตลบ
 15เมื่อฟาโรห์ทรงทราบว่าความเดือดร้อนบรรเทาลงแล้ว ก็มีพระทัยกระด้างอีก และไม่ทรงยอมเชื่อฟังโมเสสกับอาโรน จริงดังที่พระยาห์เวห์ตรัสไว้แล้ว

ภัยพิบัติที่สาม: ฝูงริ้น

 16พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงบอกอาโรนว่า ‘จงยื่นไม้เท้าตีผงคลีดินให้กลายเป็นตัวริ้นทั่วแผ่นดินอียิปต์’ ” 17ท่านทั้งสองก็ทำตาม อาโรนเหยียดมือออกยกไม้เท้าตีผงคลีดิน ก็มีริ้นมาตอมมนุษย์และสัตว์ ผงคลีดินทั้งหมดกลายเป็นริ้นทั่วแผ่นดินอียิปต์ 18ส่วนพวกที่ใช้เวทมนตร์คาถาก็พยายามใช้ศิลปะอันลึกลับของพวกเขา เพื่อทำให้เกิดริ้น แต่ก็ทำไม่ได้ ริ้นก็พากันมาตอมมนุษย์และสัตว์ 19พวกที่ใช้เวทมนตร์คาถาจึงทูลฟาโรห์ว่า “นี่เป็นกิจการของพระเจ้า” แต่ฟาโรห์มีพระทัยกระด้าง ไม่ยอมฟังพวกเขา จริงดังที่พระยาห์เวห์ตรัสไว้แล้ว

ภัยพิบัติที่สี่: ฝูงเหลือบ

 20พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงลุกขึ้นแต่เช้าแล้วไปคอยเข้าเฝ้าฟาโรห์ ฟาโรห์กำลังมายังแม่น้ำ แล้วเจ้าจงบอกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “จงปล่อยประชากรของเราไปนมัสการเรา 21เพราะถ้าไม่ปล่อยประชากรของเราไป นี่แน่ะ เราจะใช้ฝูงเหลือบมาตอมเจ้า ตอมข้าราชบริพารและพลเมืองของเจ้าด้วย ฝูงเหลือบจะเข้าไปในบ้านเรือนของเจ้า บ้านเรือนของคนอียิปต์จะเต็มไปด้วยฝูงเหลือบแม้กระทั่งพื้นดินที่เขาอยู่นั้น 22ในวันนั้นเราจะกันแผ่นดินโกเชน ที่ประชากรของเราอาศัยอยู่นั้นออก ไม่ให้มีฝูงเหลือบที่นั่น เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์ผู้สถิตท่ามกลางแผ่นดินนั้น 23เราจะแบ่งเขตแดนระหว่างประชากรของเรากับประชากรของเจ้า หมายสำคัญนี้จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้” ’ ” 24แล้วพระยาห์เวห์ก็ทรงทำดังนั้น เหลือบฝูงใหญ่มากเข้าไปในพระราชวังของฟาโรห์ ในบ้านเรือนข้าราชการ และทั่วแผ่นดินอียิปต์ แผ่นดินก็เสียหายย่อยยับเพราะฝูงเหลือบ
 25ฟาโรห์จึงตรัสเรียกโมเสสกับอาโรนมา แล้วมีรับสั่งว่า “จงไปถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้าของพวกเจ้าในเขตแผ่นดินนี้”
 26โมเสสทูลว่า “การทำเช่นนั้นไม่เหมาะ เพราะพวกข้าพระบาทต้องถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระบาท ซึ่งเป็นสิ่งพึงรังเกียจของคนอียิปต์ ดูสิ ถ้าพวกข้าพระบาทถวายสัตวบูชาต่อหน้าพวกเขา พวกเขาจะไม่เอาก้อนหินขว้างหรือ? 27พวกข้าพระบาทต้องเดินทางไปในถิ่นทุรกันดารเป็นระยะทางสามวัน และถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระบาทตามที่ทรงบัญชา”
 28ฟาโรห์จึงตรัสว่า “เราจะปล่อยพวกเจ้าไป เพื่อถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าในถิ่นทุรกันดาร เพียงแต่อย่าไปไกลนัก จงวิงวอนเพื่อเราด้วย”
 29โมเสสจึงทูลว่า “เมื่อข้าพระบาททูลลาฝ่าพระบาทไป ข้าพระบาทจะอธิษฐานทูลพระยาห์เวห์ ขอให้ฝูงเหลือบไปจากฟาโรห์ จากข้ารชการและจากพลเมืองในเวลาพรุ่งนี้ แต่ขออย่าทรงกลับคำอีก ไม่ยอมปล่อยประชากรไปถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์” 30โมเสสทูลลาฟาโรห์ไป แล้วก็อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ 31พระยาห์เวห์ทรงทำตามคำกราบทูลของโมเสส ทรงให้ฝูงเหลือบไปจากฟาโรห์ จากข้าราชการและจากพลเมือง ไม่เหลืออยู่สักตัวเดียว
 32แต่ฟาโรห์ก็กลับมีพระทัยแข็งกระด้างอีกในคราวนี้ ไม่ทรงปล่อยประชากรไป

อรรถาธิบาย

เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า

โมเสสและอาโรนเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าและทำตามพระบัญชาที่ให้ไว้กับพวกเขา (อพยพ 7:6) พวกเขาเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า แต่ในทางกลับกันฟาโรห์ปฏิเสธและดื้อรั้นที่จะเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า

ช่วงเวลานี้ในประวัติศาสตร์ โมเสสอาจไม่ได้มีพระคำจากพระเจ้าเป็นตัวอักษรใด ๆ แต่พระเจ้าทรงตรัสกับโมเสส เขาได้ยินพระวจนะของพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า (6:13,28; 7:1,14,19; 8:5,16,20 เป็นต้น) และทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาให้ทำ หัวใจของพระวจนะพระเจ้าคือ ‘จงปล่อยประชากรของเราไปนมัสการเรา’ (เช่น 7:16; 8:1; 9:1,13; 10:3)

เราไม่ควรแปลกใจที่พวกนักปราชญ์ และพวกนักวิทยาคม ที่ ‘ใช้เวทมนตร์คาถาแห่งอียิปต์’ (7:11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) สามารถแสดงปาฏิหาริย์บางอย่างได้เหมือนกับที่โมเสสทำ (7:22; 8:7) มารเป็นผู้ลอกเลียนแบบ มันสามารถสำแดงสัญญาณแห่งการทำลายล้าง แม้บางอย่างอาจดูจะสร้างสรรค์ แต่จุดมุ่งหมายของมันมีเพียงหนึ่งเดียวคือการล่อลวง

ทุกวันนี้พระเจ้ามักทำงานผ่านของประทานแห่งพระวิญญาณเช่น การพยากรณ์ การรักษา การพูดภาษาแปลก ๆ และถ้อยคำแห่งสติปัญญา ความจริงที่ว่ามารอาจพยายามเลียนแบบของประทานดังกล่าวผ่านการใส่ความคิด การเยียวยา ‘รักษา’ จิตวิญญาณหรือแม้แต่การพูดภาษาแปลก ๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณควรหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้เพียงแต่ควรระมัดระวังให้ดี

เมื่อมองไปที่ผลจะเห็นว่า ‘ศิลปะอันลึกลับ’ ที่นักวิทยาคมชาวอียิปต์เลียนแบบปาฏิหาริย์ของโมเสสนั้นไม่เที่ยงตรง พวกมันเป็นคนชั่วร้ายและมีผลทำให้ ‘พระทัยของฟาโรห์’ แข็งกระด้างต่อพระเจ้า (7:22)

เห็นได้ชัดว่า ฟาโรห์ ‘มีพระทัยกระด้างอีกและไม่ยอมเชื่อฟังโมเสสกับอาโรน’ (8:15; ดูข้อ 32 ด้วย) ในขณะเดียวกันเขาก็เก็บเกี่ยวสิ่งที่เขาหว่านลงไป พระเจ้าเป็นผู้ทำให้ใจของเขาแข็งกระด้าง (7:3) ทั้งสองอย่างมาควบคู่กัน ใจที่แข็งที่พระเจ้ามอบให้นั้นก็เป็นไปตามหัวใจที่แข็งกระด้างดื้อรั้นของฟาโรห์

พระเจ้าให้โอกาสแก่ผู้คนมากมาย พระเจ้าตรัสกับฟาโรห์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าผ่านโมเสส ฟาโรห์มีโอกาสมากมายที่จะตอบสนองและท้ายที่สุดพระองค์ก็ปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น ในทางกลับกันโมเสสดำเนินในความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้า และขะมักเขม้นในการอธิษฐาน (8:12,30) และเชื่อฟังพระดำรัสของพระเจ้า

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ด้วยการเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์นำบำเหน็จที่ยิ่งใหญ่มาให้ โปรดช่วยข้าพระองค์ในวันนี้ ให้ไม่เพียงแค่ฟังพระวจนะแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิต แต่ปฎิบัติตามด้วย

เพิ่มเติมโดยพิพพา

มัทธิว 26:53

เป็นเรื่องที่หนุนจิตชูใจอย่างมากที่ทราบว่าพระเยซูมีทูตสวรรค์ ‘มากกว่าสิบสองกองพล' แม้ว่าตอนนั้นพระองค์จะไม่ได้เรียกพวกเขาก็ตาม แต่หวังว่าพวกเขาจะถูกส่งไปทั่วโลกเพื่อช่วยพวกเราตอนนี้!

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม