วัน 42

อิสรภาพ

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 20:1-9
พันธสัญญาใหม่ มัทธิว 26:69-27:10
พันธสัญญาเดิม อพยพ 9:1-10:29

เกริ่นนำ

ภาพยนตร์ของ สตีฟ แมคควีน เรื่อง ปลดแอก คนย่ำคน Twelve Years a Slave ซึ่งสร้างจากบันทึกความทรงจำของ โซโลมอน นอร์ทอัพ ที่เกิดในนครนิวยอร์ก แต่กลับถูกลักพาตัวในวอชิงตัน ดี.ซี. ในปี 1841 หลังจากนั้นถูกขายไปเป็นทาส และถูกกักขังเป็นเวลาสิบสองปีในรัฐลุยเซียนา เขาบรรยายถึง ความน่ากลัวของการเป็นทาสในไร่ฝ้าย และไร่อ้อย

ในที่สุด ปี 1853 เขาถูกปลดปล่อยจากการเป็นทาส และได้กลับไปอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง เขาได้บันทึกเอาไว้ว่า ‘พวกเขาสวมกอดผมพร้อมกับร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้มลงมาที่คอของผม แต่ผมก็ไม่อยากจะบรรยายเหตุการณ์นี้ ตอนนี้ผมได้รับความสุขและเสรีภาพกลับคืนมาแล้ว’

การเป็นทาสไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตามเป็นความชั่วร้ายที่น่าสะพรึงกลัว แต่เสรีภาพนั้นเป็นพระพรอันวิเศษ

โมเสสเป็นผู้ปลดปล่อยประชากรของพระเจ้าในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม เขาเป็นดั่งเงาที่สะท้อนให้เห็นถึงพระเยซูองค์พระผู้ไถ่สูงสุด ดั่งเช่นโมเสสที่นำคนของพระเจ้าให้เป็นอิสระจากการเป็นทาส พระเยซูทรงปลดปล่อยคุณให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสด้วยเช่นกัน

‘อิสรภาพ’ น่าจะเป็นคำร่วมสมัยที่ดีที่สุดในการนิยามความหมายของ ‘ความรอด’ ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ทั้งเล่มอาจสรุปได้ว่าเป็น ‘ประวัติศาสตร์แห่งความรอด’ ซึ่งเป็นเรื่องราวของความปรารถนา และพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะปลดปล่อยประชาชนของพระองค์ โดยที่คุณเองก็ได้รับการปลดปล่อยด้วยเช่นกัน

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 20:1-9

คำอธิษฐานขอชัยชนะ

ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด

1ขอพระยาห์เวห์ทรงตอบท่านท่านในวันยากลำบาก
 ขอให้พระนามพระเจ้าของยาโคบพิทักษ์รักษาท่าน
2ขอพระองค์ทรงส่งความช่วยเหลือมายังท่านจากสถานนมัสการ
 และขอทรงสนับสนุนท่านจากศิโยน
3ขอทรงระลึกถึงของถวายทั้งสิ้นของท่าน
 และขอทรงโปรดปรานเครื่องบูชาเผาทั้งตัวของท่าน
4ขอประทานตามใจปรารถนาของท่าน
 และให้แผนการทั้งสิ้นของท่านสำเร็จ
5เพื่อพวกเราจะได้โห่ร้องด้วยความยินดีเนื่องด้วยชัยชนะของท่าน
 และชูธงขึ้นในพระนามพระเจ้าของพวกเรา
 ขอพระยาห์เวห์ทรงให้คำทูลขอทั้งสิ้นของท่านสำเร็จเถิด
6บัดนี้ ข้าพเจ้าทราบว่าพระยาห์เวห์จะทรงช่วยผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ให้รอด
 พระองค์จะทรงตอบท่านจากฟ้าสวรรค์อันบริสุทธิ์ของพระองค์
โดยชัยชนะอันทรงอานุภาพแห่งพระหัตถ์ขวาของพระองค์
7บ้างก็โอ้อวดเรื่องรถรบ บ้างก็เรื่องม้าศึก
 แต่พวกเราอวดเรื่องพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา
8พวกเขาจะล้มพับลงไป
 แต่พวกเราจะลุกขึ้นยืนตรงอยู่
9ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอประทานชัยชนะแด่พระราชา
 เมื่อข้าพระองค์ทั้งหลายร้องทูล
 ขอพระองค์ทรงตอบด้วยเถิด

อรรถาธิบาย

ปีติยินดีไปกับอิสระที่มาจากความเชื่อ

คุณเคยมีช่วงเวลาที่ถูกปัญหารุมเร้า มีความทุกข์หรือความยากลำบากหรือไม่? ดาวิดอยู่ในช่วงเวลาดังกล่าวซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ที่ใกล้เข้ามา ซึ่งเขาได้ร้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ในบรรทัดแรกของพระธรรมสดุดีตอนนี้คือการขอให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานเมื่อเราเจอกับปัญหา ‘ทรงตอบท่านในวันยากลำบาก’ (ข้อ 1ก) และในบรรทัดสุดท้ายเป็นการร้องขอให้พระเจ้าทรงตอบคำร้องทูลของเรา ‘ทรงตอบด้วยเถิด’ (ข้อ 9ข) พระเจ้าจะทรงตอบคำอธิษฐานของคุณ

เมื่อคุณมี ‘วันแห่งความทุกข์’ ให้เราร้องทูลต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐานอ้อนวอนขอให้พระองค์นำความรอดและอิสรภาพมาให้ท่ามกลางการต่อสู้ (ข้อ 6–8) นี่ไม่ใช่เรื่องของการมองโลกในแง่ดีแบบสุดโต่ง แต่คือ ความเชื่อที่แท้จริง

ดาวิดตระหนักถึง ‘พลังแห่งการช่วยกู้’ ของพระเจ้านั่นคือพลังที่จะนำมาซึ่งอิสรภาพ (ข้อ 6ค) เขากล่าวว่า ‘บัดนี้ ข้าพเจ้าทราบว่าพระยาห์เวห์จะทรงช่วยผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ให้รอด’ (ข้อ 6ก) เขาได้พูดถึงหกสิ่งที่คุณสามารถอธิษฐานขอให้กับตนเอง ครอบครัว เพื่อนและชุมชนของคุณ

1. พิทักษ์รักษา

‘ขอพระยาห์เวห์ ... พิทักษ์รักษาท่าน’ (ข้อ 1) ‘กันท่านให้พ้นจากอันตราย’ (ข้อ 1ข พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

2. ความช่วยเหลือ

‘ขอพระองค์ทรงส่งความช่วยเหลือมายังท่านจากสถานนมัสการ’ (ข้อ 2ก)

3. สนับสนุน

‘ขอทรงสนับสนุนท่านจากศิโยน’ (ข้อ 2ข)

4. ความโปรดปราน

‘ขอทรงโปรดปรานเครื่องบูชาเผาทั้งตัวของท่าน’ (ข้อ 3)

5. ความสำเร็จ

‘ขอประทานตามใจปรารถนาของท่าน และให้แผนการทั้งสิ้นของท่านสำเร็จ’ (ข้อ 4)

6. ชัยชนะ

‘เมื่อท่านชนะ เราจะโห่ร้องด้วยความยินดี... ขอพระยาห์เวห์ทรงให้คำทูลขอทั้งสิ้นของท่านสำเร็จเถิด’ (ข้อ 5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ความสำเร็จ ชัยชนะและอิสรภาพไม่ได้มาจากการไว้วางใจใน ‘รถรบ’ และ ‘ม้าศึก’ (ข้อ 7ก) แต่มาโดยความเชื่อและวางใจในพระเจ้า ‘พวกเราอวดเรื่องพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา’ (ข้อ 7ข)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงปลดปล่อยข้าพระองค์ให้เป็นอิสระ ข้าพระองค์ขอเชื่อและวางใจในพระนามของพระองค์ วันนี้ข้าพระองค์ขอมอบแผนการทั้งหมดไว้ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์

พันธสัญญาใหม่

มัทธิว 26:69-27:10

เปโตรปฏิเสธพระเยซู

 69เปโตรนั่งอยู่นอกตึกที่ลานบ้าน มีสาวใช้คนหนึ่งมาพูดกับเขาว่า “เจ้าก็อยู่กับเยซูชาวกาลิลีด้วย” 70แต่เปโตรปฏิเสธต่อหน้าคนทั้งหมดว่า “ที่เจ้าพูดนั้นข้าไม่รู้เรื่อง” 71เมื่อเปโตรออกไปที่ประตูบ้าน สาวใช้อีกคนหนึ่งเห็นเขาจึงบอกคนทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นว่า “คนนี้เคยอยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธ” 72เปโตรจึงปฏิเสธอีกทั้งสาบานด้วยว่า “ข้าไม่รู้จักคนนั้น” 73อีกสักครู่หนึ่ง คนทั้งหลายที่ยืนอยู่ใกล้ๆ นั้นก็มาพูดกับเปโตรว่า “เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่ๆ เพราะว่าสำเนียงของเจ้าส่อตัวเอง” 74เปโตรก็เริ่มสบถสาบานว่า “ข้าไม่รู้จักคนนั้น” ทันใดนั้นไก่ก็ขัน 75เปโตรจึงระลึกถึงคำที่พระเยซูตรัสไว้ว่า “ก่อนไก่ขันท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้เป็นทุกข์อย่างมาก

มัทธิว 27

พระเยซูทรงถูกนำมาหาปีลาต

 1พอรุ่งเช้า พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ทั้งหมดของประชาชนก็ปรึกษากันเรื่องพระเยซู เพื่อจะฆ่าพระองค์ 2พวกเขาจึงมัดพระองค์พาไปมอบไว้กับปีลาตเจ้าเมือง

ยูดาสฆ่าตัวตาย

 3เมื่อยูดาสคนที่ทรยศพระองค์เห็นว่าพระองค์ทรงถูกลงโทษก็เสียใจ จึงนำเงินสามสิบเหรียญนั้นมาคืนให้กับพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ 4กล่าวว่า “ข้าพเจ้าทำบาปที่ทรยศคนบริสุทธิ์ถึงตาย” พวกเขาจึงกล่าวว่า “มันเกี่ยวอะไรกับเรา? มันเป็นเรื่องของเจ้าเอง” 5ยูดาสจึงทิ้งเงินนั้นไว้ในพระวิหารและจากไป แล้วออกไปผูกคอตาย 6พวกหัวหน้าปุโรหิตจึงเก็บเงินนั้นมาแล้วกล่าวว่า “ถ้าเก็บเงินนี้ไว้ในคลังพระวิหารก็ผิดพระบัญญัติ เพราะเป็นเงินที่เปื้อนเลือด” 7เขาทั้งหลายจึงปรึกษากันแล้วตกลงว่า ให้เอาเงินนั้นไปซื้อทุ่งช่างหม้อสำหรับฝังศพคนต่างบ้านต่างเมือง 8เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกทุ่งนั้นว่า ทุ่งโลหิต มาจนถึงทุกวันนี้ 9ครั้งนั้นก็สำเร็จตามพระวจนะที่กล่าวโดยเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะที่ว่า “พวกเขารับเงินสามสิบเหรียญซึ่งเป็นราคาของผู้นั้น ที่เผ่าพันธุ์อิสราเอลตีราคาไว้ 10แล้วไปซื้อทุ่งช่างหม้อ ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้ามีพระบัญชาข้าพเจ้า”

อรรถาธิบาย

อัศจรรย์ถึงการได้มาซึ่งอิสรภาพ

พระเยซูคือองค์พระผู้ไถ่สูงสุด ประวัติศาสตร์แห่งความรอดได้มาถึงจุดสูงสุดในชีวิตผ่านความตายและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เราจะเห็นภาพคร่าว ๆ ว่า พระเยซูต้องจ่ายราคามากมายเพียงใด พระองค์ถูกสาวกคนสนิทคนหนึ่งปฏิเสธ (26:69–75); ทรงถูกสาวกอีกคนทรยศ (27:1–10); ถูกส่งมอบให้กับเจ้าเมืองโรมัน (ข้อ 2) และถูกประณาม (ข้อ 3ก) แต่มัทธิวมองว่าทั้งหมดนี้เพื่อให้แผนของพระเจ้าสำเร็จ (ข้อ 9)

พระเยซูถูกจับเป็นเชลยเพื่อที่จะปลดปล่อยคุณให้เป็นไท พระองค์ทรงถูกมัด (ข้อ 2) ก็เพื่อปลดปล่อยจากสิ่งที่ผูกมัดคุณไว้ พระเยซูเสด็จมาเพื่อปลดปล่อยคุณจากบาปความผิด ความอับอาย การเสพติดและความกลัวให้หมดสิ้นไป

คุณเคยล้มเหลวในชีวิตคริสเตียนหรือไม่? คุณเคยล้มเหลว และทำให้พระเจ้าผิดหวังหรือไม่? คุณเคย ‘ร้องไห้เป็นทุกข์อย่างมาก’ (26:75) บ้างไหม? ผมเคยอย่างแน่นอน

สหายสนิทสองคนของพระเยซูเคยทำให้พระองค์ผิดหวังอย่างมาก น่าเศร้าที่เราทุกคนเคยทำให้พระเยซูทรงผิดหวังในชีวิตของเรา สองตัวอย่างนี้ช่วยให้เราเรียนรู้ว่าเราควรตอบสนองต่อความล้มเหลว และความผิดหวังดังกล่าวอย่างไร

มีความคล้ายคลึงกันมากระหว่างยูดาสและเปโตร ทั้งสองเป็นสาวกของพระเยซู ทั้งคู่ถูกกล่าวไว้แล้วว่าจะทำให้พระองค์ผิดหวัง (ข้อ 24–25,34) คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมทั้งสองเป็นจริงผ่านการกระทำของพวกเขา (26:31; 27:9) แน่นอนพวกเขาเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการกระทำของพวกเขา (27:5; 26:75)

กระนั้นยังคงมีความแตกต่างที่สำคัญมากระหว่างชายสองคนนี้ เปโตรตอบสนองต่อความล้มเหลวด้วยวิธีที่ถูกต้อง ส่วนยูดาสนั้นไม่ใช่ ดังที่อัครทูตเปาโลเขียนไว้ว่า ‘เพราะว่าความเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า ทำให้เกิดการกลับใจ ซึ่งจะนำไปสู่ความรอดและจะไม่ทำให้เสียใจ แต่ความเสียใจอย่างโลกนั้นย่อมนำสู่ความตาย’ (2 โครินธ์ 7:10)

ยูดาสเป็นตัวอย่างของ ‘ความเสียใจอย่างโลก’ เขาไปหาพวกผู้ใหญ่และสารภาพความผิดบาปของเขา แต่พวกนั้นกลับทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้น (มัทธิว 27:4) ยูดาสรู้สึกสำนึกผิด แต่น่าเศร้าที่เขาไม่สามารถมอบความบาปของเขาไปที่พระเมตตาของพระเจ้าและรับการให้อภัยจากพระองค์ได้

ในทางกลับกันเปโตรเป็นตัวอย่างของ ‘ความเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า’

เปโตรคงกลัวมากที่จะปฏิเสธพระเยซูถึงสามครั้ง บางทีเป็นที่เข้าใจได้ว่าเขาอาจจะกลัวที่จะถูกตรึงกางเขนร่วมกับพระเยซูหรือ บางทีเขาอาจมีความสงสัยก่อนหน้านี้ว่าพระองค์เป็นพระคริสต์จริงหรือไม่ แต่เมื่อไก่ขันความสงสัยทั้งสิ้นก็หมดไป นั่นเองทำให้เขารู้สึกว้าวุ่นใจ ‘แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้เป็นทุกข์อย่างมาก’ (26:75)

ไม่มีความรู้สึกใดแย่ไปกว่า เมื่อเราได้เรียนรู้ว่า เราได้ทำให้พระเยซูคริสต์ทรงผิดหวัง แต่ขอบคุณพระเจ้า นี้ไม่ใช่จุดจบของเปโตร (ดูยอห์น 21) ‘ความเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า’ นำมาซึ่ง ‘การกลับใจ’ และความสัมพันธ์ของเขากับพระเยซูก็กลับคืนมา เขาได้รับการปลดปล่อยจากความผิดและความอับอาย และได้กลายเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ มีอิทธิพลอย่างมากและเป็นผู้นำที่ได้รับการเจิม

คุณไม่จำเป็นต้องกดดันตนเองด้วยความรู้สึกผิดหรือละอายใจเกี่ยวกับบาปและความผิดพลาดในอดีต ผู้ที่พระเยซูไถ่ให้เป็นไทก็เป็นไท (ยอห์น 8:36) ไม่ว่าคุณจะทำพลาดและล้มเหลวมากแค่ไหนก็ไม่สายเกินไป ให้คุณตอบสนองเหมือนที่เปโตรทำ และคุณจะมีอนาคตที่ดีรออยู่ข้างหน้าในการรับใช้พระเยซู

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงยอมถูกผูกมัดเพื่อปลดปล่อยข้าพระองค์จากความผิดบาป เมื่อข้าพระองค์ล้มเหลวโปรดช่วยข้าพระองค์ให้หันกลับมาหาพระองค์เสมอ เพราะใน ‘ความเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า จะนำไปสู่ความรอดและจะไม่ทำให้เสียใจ’

พันธสัญญาเดิม

อพยพ 9:1-10:29

ภัยพิบัติที่ห้า: โรคระบาดในฝูงสัตว์

 1พระยาห์เวห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “ไปหาฟาโรห์บอกว่า พระยาห์เวห์ พระเจ้าของคนฮีบรูตรัสดังนี้ว่า ‘จงปล่อยประชากรของเราไปนมัสการเรา 2เพราะถ้าเจ้าไม่ยอมปล่อย แต่ยังหน่วงเหนี่ยวไว้ 3นี่แน่ะ พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์จะทำให้ฝูงปศุสัตว์ในทุ่งนา ฝูงม้า ฝูงลา ฝูงอูฐ ฝูงโค และฝูงแพะแกะ เป็นโรคระบาดร้ายแรง 4แต่พระยาห์เวห์จะทรงทำต่อฝูงปศุสัตว์ของอิสราเอลต่างกับฝูงปศุสัตว์ของอียิปต์ สัตว์ทุกตัวของคนอิสราเอลจะไม่ตาย’ ” 5พระยาห์เวห์ทรงกำหนดเวลาไว้ว่า “พรุ่งนี้เราจะทำสิ่งนี้ในแผ่นดิน”
 6แล้วพระยาห์เวห์ทรงทำสิ่งนี้ในวันต่อมา ฝูงปศุสัตว์ของคนอียิปต์ก็ตายหมด แต่ฝูงปศุสัตว์ของคนอิสราเอลไม่ตายสักตัวเดียว 7ฟาโรห์ทรงใช้คนไปดูและพบว่า ฝูงปศุสัตว์ของอิสราเอลไม่ตายสักตัวเดียว แต่พระทัยของฟาโรห์ยังแข็งกระด้าง ไม่ทรงยอมปล่อยให้ประชากรไป

ภัยพิบัติที่หก: ฝีพุพอง

 8พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า “พวกเจ้าจงกำเขม่าจากเตาให้เต็มกำมือ แล้วให้โมเสสซัดขึ้นไปในอากาศต่อหน้าฟาโรห์ 9เขม่านั้นจะกลายเป็นฝุ่นปลิวไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ แล้วทำให้เกิดเป็นฝีพุพองแตกลามทั้งตัวคนและสัตว์ทั่วแผ่นดินอียิปต์” 10ท่านทั้งสองจึงกำเขม่าจากเตาไปยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์ฟาโรห์ พอโมเสสซัดเขม่าขึ้นไปในท้องฟ้า เขม่านั้นก็ทำให้เกิดฝีพุพองแตกลามไปทั้งตัวคนและสัตว์ 11ส่วนพวกที่ใช้เวทมนตร์คาถาไม่สามารถยืนอยู่ต่อหน้าโมเสสได้เนื่องจากฝีนั้น เพราะฝีแผ่ลามไปยังพวกที่ใช้เวทมนตร์คาถาและคนอียิปต์ทั้งหมด 12แต่พระยาห์เวห์ทรงให้พระทัยของฟาโรห์กระด้าง ไม่ยอมฟังโมเสสและอาโรน จริงดังที่พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสไว้แล้ว

ภัยพิบัติที่เจ็ด: ฟ้าร้องและลูกเห็บ

 13พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงลุกขึ้นแต่เช้าไปยืนต่อหน้าฟาโรห์ แล้วบอกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์ พระเจ้าของคนฮีบรูตรัสดังนี้ว่า “จงปล่อยประชากรของเราไปนมัสการเรา 14เพราะคราวนี้เราจะบันดาลให้เกิดภัยพิบัติต่างๆ กับเจ้า กับข้าราชการ และกับพลเมืองของเจ้า เพื่อเจ้าจะรู้แน่ว่า ทั่วโลกไม่มีใครเสมอเหมือนเรา 15เราจะเหยียดมือออกประหารเจ้าและพลเมืองของเจ้าด้วยโรคระบาด แล้วเจ้าจะถูกขจัดออกจากแผ่นดินโลก 16แต่เหตุที่เราให้เจ้ามีชีวิตอยู่ ก็เพื่อจะให้เจ้าเห็นฤทธานุภาพของเรา และนามของเราจะได้เลื่องลือไปทั่วโลก 17เจ้ายังถือทิฐิต่อสู้ประชากรของเรา ไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป 18นี่แน่ะ พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ เราจะให้ลูกเห็บตกลงมาอย่างหนัก อย่างที่ไม่เคยมีในอียิปต์ ตั้งแต่เริ่มสร้างบ้านเมืองมาจนบัดนี้ 19เพราะฉะนั้น จงสั่งให้ต้อนฝูงสัตว์และสารพัดที่เจ้ามีอยู่ในทุ่งนาให้เข้าที่กำบัง เพราะคนและสัตว์ที่พบในทุ่งนาที่ไม่ได้ถูกรวบเข้าไว้ในบ้าน จะโดนลูกเห็บตายหมด” ’ ”
 20บรรดาข้าราชการของฟาโรห์ที่เกรงกลัวพระดำรัสของพระยาห์เวห์ ก็ให้ทาสและฝูงปศุสัตว์ของตนหลบเข้าไปในบ้าน 21แต่ผู้ที่ไม่สนใจพระดำรัสของพระยาห์เวห์ก็ปล่อยให้ทาสและฝูงปศุสัตว์ของตนอยู่ในทุ่งนา
 22พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงชูมือขึ้นยังท้องฟ้าเพื่อลูกเห็บจะตกลงมาทั่วแผ่นดินอียิปต์ บนมนุษย์ บนสัตว์ และบนผักหญ้าทุกอย่างซึ่งอยู่ในทุ่งนาในแผ่นดินอียิปต์”
 23โมเสสก็ชูไม้เท้าขึ้นยังท้องฟ้า แล้วพระยาห์เวห์ทรงบันดาลให้มีเสียงฟ้าร้อง มีลูกเห็บ และไฟตกบนแผ่นดิน พระยาห์เวห์ทรงให้ลูกเห็บตกบนแผ่นดินอียิปต์ 24มีลูกเห็บกับไฟแลบ ท่ามกลางลูกเห็บอย่างต่อเนื่อง ลูกเห็บตกหนักมากทั่วแผ่นดินอียิปต์อย่างที่ไม่เคยมีนับตั้งแต่เริ่มตั้งเป็นชาติมา 25ลูกเห็บทำลายทุกอย่างที่อยู่ในทุ่งนาทั่วแผ่นดินอียิปต์ทั้งคนและสัตว์ ลูกเห็บทำลายผักหญ้าทุกอย่างในทุ่งนาและหักโค่นต้นไม้ทุกต้นในทุ่งนา 26เว้นแต่แผ่นดินโกเชนซึ่งชนชาติอิสราเอลอยู่นั้น ไม่มีลูกเห็บตกเลย
 27ฟาโรห์จึงทรงใช้คนไปเรียกโมเสสและอาโรนมาเข้าเฝ้า แล้วตรัสว่า “ครั้งนี้เราทำบาป พระยาห์เวห์เป็นฝ่ายถูก เรากับพลเมืองของเราผิด 28ขอท่านทูลวิงวอนพระยาห์เวห์ให้ยุติเสียงฟ้าร้องและลูกเห็บเสียที แล้วเราจะปล่อยพวกเจ้าไป จะไม่กักไว้อีก”
 29โมเสสทูลว่า “เมื่อข้าพระบาทออกไปจากเมืองนี้แล้ว ข้าพระบาทจะยกมือทูลพระยาห์เวห์ เสียงฟ้าร้องก็จะเงียบ และจะไม่มีลูกเห็บตกอีก เพื่อฝ่าพระบาทจะได้ทราบว่า โลกนี้เป็นของพระยาห์เวห์ 30แต่ข้าพระบาททราบอยู่แล้วว่า ฝ่าพระบาทและข้าราชการยังไม่ยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้า”
 31(ต้นป่านและต้นข้าวบาร์เลย์ถูกลูกเห็บทำลาย เพราะต้นข้าวบาร์เลย์กำลังออกรวง และต้นป่านออกดอกแล้ว 32ส่วนต้นข้าวสาลีและต้นข้าวสเปลต์นั้นไม่ถูกทำลายเพราะงอกช้าราวปลายเดือนมีนาคม หรือ ต้นเดือนเมษายน หลังจากต้นป่านและต้นข้าวบาร์เลย์ออกรวงแล้วหนึ่งเดือน)
 33เมื่อโมเสสทูลลาฟาโรห์ไปจากเมือง ก็ยกมือขึ้นกราบทูลพระยาห์เวห์ เสียงฟ้าร้องกับลูกเห็บนั้นก็หยุด ฝนก็ไม่ตกบนแผ่นดินอีก
34เมื่อฟาโรห์ทรงทราบว่า ฝน ลูกเห็บและฟ้าร้องนั้นหยุดแล้ว พระองค์ก็ทรงทำผิดอีก พระทัยแข็งกระด้าง ทั้งพระองค์และพวกข้าราชการ 35พระทัยของฟาโรห์กระด้างและไม่ยอมปล่อยชนชาติอิสราเอลไป จริงดังที่พระยาห์เวห์ตรัสผ่านทางโมเสส

อพยพ 10

ภัยพิบัติที่แปด: ฝูงตั๊กแตน

 1พระยาห์เวห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “จงเข้าไปหาฟาโรห์ เพราะเราได้ทำให้ใจของเขาและใจของบรรดาข้าราชการของเขาแข็งกระด้าง เพื่อเราจะได้แสดงหมายสำคัญเหล่านี้ของเราท่ามกลางพวกเขา 2เพื่อเจ้าจะได้เล่าเหตุการณ์ที่เราทำในอียิปต์และหมายสำคัญต่างๆ ที่เราทำท่ามกลางพวกเขาให้ลูกหลานของเจ้าฟัง เพื่อพวกเจ้าจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์”
 3โมเสสและอาโรนจึงไปเข้าเฝ้าฟาโรห์ทูลว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของคนฮีบรูตรัสดังนี้ว่า ‘เจ้าจะขัดขืนไม่ยอมอ่อนน้อมต่อเรานานสักเท่าไร? จงปล่อยประชากรของเราไปนมัสการเรา 4ถ้าเจ้าไม่ยอมปล่อยประชากรของเราไป นี่แน่ะ พรุ่งนี้เราจะให้ตั๊กแตนปาทังก้าตั๊กแตนปาทังก้าเข้ามาในเขตแดนของเจ้า 5มันจะลงมาเต็มไปหมดจนมองไม่เห็นพื้นดิน และมันจะกินสิ่งที่เหลือจากลูกเห็บทำลาย และมันจะกินต้นไม้ทุกต้นซึ่งงอกขึ้นให้เจ้าในทุ่งนานั้นจนหมด 6มันจะเข้าไปในราชวัง ในบ้านเรือนของข้าราชการและของคนอียิปต์จนเต็มหมด อย่างที่บิดาและปู่ทวดของเจ้าไม่เคยเห็นเช่นนี้เลยตั้งแต่เกิดมาจนทุกวันนี้’ ” แล้วโมเสสก็หันออกไปจากฟาโรห์
 7บรรดาข้าราชการกราบทูลฟาโรห์ว่า “คนนี้จะเป็นบ่วงแร้วดักเราอีกนานสักเท่าไร? ขอทรงปล่อยคนเหล่านั้นให้ไปนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาเถิด ฝ่าพระบาททรงทราบแล้วว่าอียิปต์กำลังพินาศไม่ใช่หรือ?”
 8โมเสสและอาโรนถูกนำตัวเข้าเฝ้าฟาโรห์อีก พระองค์จึงตรัสว่า “จงไปนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า แต่ใครจะไปบ้าง?” 9โมเสสทูลว่า “พวกข้าพระบาทจะพากันไปทั้งคนหนุ่มและผู้อาวุโส ทั้งบุตรชายและบุตรหญิง และฝูงแพะแกะและฝูงโค เพราะพวกข้าพระบาทมีเทศกาลเลี้ยงถวายเกียรติพระยาห์เวห์”
 10ฟาโรห์ตรัสกับเขาทั้งสองว่า “พระยาห์เวห์คงสถิตกับพวกเจ้าแน่ ถ้าเรายอมให้พวกเจ้าไปกับผู้หญิงและเด็กด้วย เจ้าคิดไม่ซื่อแล้ว 11อนุญาตไม่ได้ จงพาเฉพาะผู้ชายไปนมัสการพระยาห์เวห์ เพราะพวกเจ้าปรารถนาเช่นนี้เท่านั้น” แล้วโมเสสกับอาโรนก็ถูกขับไล่ไปจากพระพักตร์ของฟาโรห์
 12พระยาห์เวห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “จงเหยียดมือออกเหนือแผ่นดินอียิปต์ แล้วฝูงตั๊กแตนจะขึ้นมาบนแผ่นดินอียิปต์ และกินพืชผักทุกอย่างบนแผ่นดินซึ่งเหลือจากถูกลูกเห็บทำลาย”
 13โมเสสจึงยื่นไม้เท้าออกเหนือแผ่นดินอียิปต์ พระยาห์เวห์ก็ทรงบันดาลให้ลมตะวันออกพัดมาเหนือแผ่นดินตลอดวันและตลอดคืน พอรุ่งเช้า ลมตะวันออกก็หอบฝูงตั๊กแตนมา 14ฝูงตั๊กแตนลงมาทั่วแผ่นดินอียิปต์ และเกาะอยู่ทั่วเขตแดนอียิปต์ แต่ก่อนไม่เคยมีตั๊กแตนฝูงใหญ่อย่างนี้เลย และต่อไปข้างหน้าก็จะไม่มีอย่างนั้นอีก 15พวกมันปกคลุมทั่วพื้นแผ่นดินจนมืดไปหมด มันกินพืชผักทุกอย่างในแผ่นดิน และผลไม้ทุกอย่างซึ่งเหลือจากถูกลูกเห็บทำลาย ไม่มีพืชใบเขียวเหลือเลยทั่วแผ่นดินอียิปต์ ไม่ว่าต้นไม้หรือผักในทุ่ง
 16ฟาโรห์ทรงรีบให้คนไปตามตัวโมเสสและอาโรนเข้าเฝ้าแล้วตรัสว่า “เราได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าและต่อเจ้าทั้งสองด้วย 17ขอเจ้ายกโทษบาปครั้งนี้ให้เราสักครั้งหนึ่งเถิด จงวิงวอนพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า เพื่อพระองค์จะโปรดให้ความตายนี้พ้นไปจากเรา”
 18โมเสสก็ไปจากฟาโรห์ และกราบทูลวิงวอนพระยาห์เวห์ 19พระยาห์เวห์จึงทรงเปลี่ยนกระแสลมให้เป็นพายุรุนแรงจากทิศตะวันตกหอบฝูงตั๊กแตนไปตกในทะเลแดงจนไม่เหลือเลยสักตัวเดียวทั่วเขตแดนอียิปต์ 20แต่พระยาห์เวห์ทรงบันดาลให้พระทัยของฟาโรห์กระด้าง ฟาโรห์จึงไม่ทรงยอมปล่อยคนอิสราเอลไป

ภัยพิบัติที่เก้า: ความมืด

 21พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงชูมือของเจ้าขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อให้มีความมืดทั่วแผ่นดินอียิปต์ เป็นความมืดจนสัมผัสได้” 22โมเสสจึงชูมือขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วความมืดทึบก็เกิดขึ้นทั่วแผ่นดินอียิปต์สามวัน 23พวกเขามองกันไม่เห็น ไม่มีใครลุกไปจากที่อยู่ของตนสามวัน แต่มีแสงสว่างอยู่ในที่อาศัยของชนชาติอิสราเอลทั้งหมด
 24ฟาโรห์จึงทรงเรียกโมเสสเข้าเฝ้า ตรัสว่า “พวกเจ้าจงไปนมัสการพระยาห์เวห์เถิด แต่ให้ฝูงแกะและฝูงโคอยู่ ส่วนเด็กๆ ไปกับพวกเจ้าได้”
 25โมเสสจึงกราบทูลว่า “ฝ่าพระบาทต้องประทานเครื่องสัตวบูชาและเครื่องบูชาเผาทั้งตัวแก่พวกข้าพระบาทด้วย เพื่อจะได้เตรียมถวายบูชาต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระบาท 26พวกข้าพระบาทต้องนำฝูงปศุสัตว์ไปด้วย ขาดไม่ได้สักตัวเดียว เพราะว่าจะต้องเอาสัตว์จากฝูงเหล่านั้นไปถวายพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระบาท นอกจากนี้พวกข้าพระบาทยังไม่ทราบว่าจะต้องเอาสัตว์ตัวไหนถวายพระยาห์เวห์จนกว่าจะถึงที่นั่น”
 27แต่พระยาห์เวห์ทรงทำให้พระทัยฟาโรห์กระด้าง ฟาโรห์จึงไม่ทรงยอมปล่อยพวกเขาไป 28ฟาโรห์มีรับสั่งแก่โมเสสว่า “ไปให้พ้น ระวังตัวให้ดีเถอะ อย่ามาให้เราเห็นหน้าอีกเลย เพราะถ้าเจ้าเห็นหน้าเราวันไหน เจ้าจะตายวันนั้น”
 29โมเสสจึงกราบทูลว่า “ฝ่าพระบาทตรัสถูกแล้ว ข้าพระบาทจะไม่มาให้ฝ่าพระบาทเห็นหน้าอีกเลย”

อรรถาธิบาย

ใช้อิสรภาพของคุณในการนมัสการพระเจ้า

ในการรับใช้พระเจ้าทำให้เราพบอิสรภาพที่สมบูรณ์แบบ คุณถูกสร้างมาเพื่อการนมัสการและรับใช้พระเจ้า นี่คือจุดประสงค์ของคุณ

สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 (สมัยที่ยังเป็นพระคาร์ดินัล ราท์ซิงเกอร์) เขียนไว้ว่า ‘เป้าหมายเดียวของพระธรรมอพยพคือการนมัสการ แผ่นดินนี้ถูกมอบให้ประชากรเพื่อเป็นสถานที่นมัสการพระเจ้าผู้เที่ยงแท้ การมีอิสระที่จะได้สิทธิในการเข้าถึงการนมัสการพระเจ้า ซึ่งเป็นหัวใจหลักในพระธรรมอพยพได้ปรากฏให้เห็นผ่านตอนที่เผชิญหน้ากับฟาโรห์นั้น นับได้ว่าเป็นสาระที่สำคัญจริง ๆ’

อีกครั้งในประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอลเราได้เห็นแผนงานแห่งความรอดของพระเจ้าอันเป็นดั่งเงาสะท้อนถึงสิ่งที่จะมาในภายหลัง เราได้เห็นแผนการของพระองค์ที่จะปลดปล่อยประชากรของพระองค์จากการเป็นทาสผ่านทางโมเสส พระเจ้าตรัสดังนี้กับโมเสสครั้งแล้วครั้งเล่า ‘ไปหาฟาโรห์บอกว่า “พระยาห์เวห์ พระเจ้าของคนฮีบรูตรัสดังนี้ว่า ‘จงปล่อยประชากรของเราไปนมัสการเรา”’ (9:1)

พระองค์ประทานโอกาสให้ฟาโรห์มากมาย โมเสสได้เผยพระวจนะของพระเจ้ากับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ‘จงปล่อยประชากรของเราไปนมัสการเรา’ (9:13; 10:3,7) ‘จงปล่อยคนของเราไปนมัสการเรา’ (พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

โลกอาจเข้าใจ ‘ผลงานดี’ ของคุณ แต่กลับไม่เห็นความสำคัญของการนมัสการของคุณ ฟาโรห์กล่าวหาพวกเขาว่าเกียจคร้านและมองว่าการนมัสการเป็นเพียงข้ออ้าง (5:17–18) แต่การนมัสการคือจุดประสงค์และผลงานอันสูงสุดของคุณ ซึ่งอันที่จริงแล้วในภาษาฮีบรูคำว่า ‘นมัสการ’ (‘avad’) ในพระธรรมตอนนี้ แปลได้ว่าเป็นทั้งการนมัสการและการทำงาน

พระเจ้ารักคุณ พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศ แต่ประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่ (2 เปโตร 3:9) วิธีเดียวที่เราจะพินาศเช่นเดียวกับฟาโรห์คือ ทำจิตใจของเราให้แข็งกระด้างและเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนทั้งหมดที่พระเจ้ามอบไว้ ความเย่อหยิ่งเป็นรากเหง้าของความบาปของฟาโรห์ ยิ่งปฏิเสธมากเท่าไรก็เป็นการยากที่เขาจะเปลี่ยนใจโดยไม่ให้เสียหน้าได้

เตรียมพร้อมที่จะยอมรับการทำผิดพลาดมากกว่าที่จะปล่อยให้ตนเองดำเนินไปในทิศทางที่ผิด ไม่ว่าคุณจะเดินทางที่ผิดมานานแค่ไหน คุณก็สามารถหันกลับมาได้เสมอ

ความปรารถนาของพระเจ้าคือ ให้ประชากรของพระองค์มีอิสระในการนมัสการพระองค์ตลอดทั้งชีวิต พระองค์ต้องการปลดปล่อยคุณจากความผิด ความละอายบาป การเสพติดและความกลัว พระองค์ต้องการให้คุณมีเสรีภาพที่จะรัก รับใช้และนมัสการพระองค์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงตรัสว่า ‘เพราะฉะนั้นถ้าพระบุตรทรงทำให้พวกท่านเป็นไท ท่านก็เป็นไทจริง ๆ’ (ยอห์น 8:36) ข้าพระองค์ขอใช้เสรีภาพนี้ในการนมัสการและรับใช้พระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

อพยพ 9:20

‘บรรดาข้าราชการของฟาโรห์ที่เกรงกลัวพระดำรัสของพระยาห์เวห์ ก็ให้ทาสและฝูงปศุสัตว์ของตนหลบเข้าไปในบ้าน’

หลาย ๆ คนอาจมีใจที่แข็งกระด้างและไม่ว่าจะมีสัญญาณเตือนมากมายเพียงใดพวกเขาก็ยังไม่เชื่อ แต่ถึงแม้จะอยู่ในสถานที่ที่ไม่น่าเป็นไปได้มากที่สุด แต่ก็ยังมีคนที่ตอบสนองต่อพระเจ้า นั่นเองทำให้คุณไม่สามารถเพิกเฉยต่อชนทุกชาติได้

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม