วัน 45

คำถามที่สำคัญที่สุดในโลก

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 21: 8-13
พันธสัญญาใหม่ มัทธิว 28:1-20
พันธสัญญาเดิม อพยพ 15:1-16:36

เกริ่นนำ

ศาสตราจารย์ด้านปรัชญาที่ชาญฉลาดแห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน ไซริล เอ็ดวิน มิทชิซัน โจ้ด ผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ถูกถามในรายการวิทยุว่า “ถ้าคุณสามารถพบใครก็ได้ในอดีต และถามพวกเขาเพียงหนึ่งคำถามคุณจะพบใคร และคุณจะตั้งคำถามอะไร”

ศาสตราจารย์โจ้ดตอบโดยไม่ลังเลว่า “ผมอยากพบกับพระเยซูคริสต์และถามคำถามที่สำคัญที่สุดในโลกกับพระองค์ว่า “พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายใช่หรือไม่?”

และแล้ววันหนึ่งในช่วงชีวิตของศาสตราจารย์โจ้ด เมื่อประเมินหลักฐานทั้งหมด เขาก็ได้พบกับพระเยซูด้วยตัวเอง และเขียนหนังสือชื่อ Recovery of Belief ขึ้นมา หากพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย นี่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง

เมื่อผู้เขียนพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่พูดถึงความรักของพระเจ้า พวกเขาชี้ไปที่ไม้กางเขน เมื่อพวกเขาพูดถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า พวกเขาชี้ไปที่การฟื้นคืนพระชนม์ “ฤทธานุภาพของพระองค์ยิ่งใหญ่” ที่ “ทรงทำในพระคริสต์เมื่อทรงทำให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย” (เอเฟซัส 1:19–20) พระเยซูผู้เป็นขึ้นจากความตายได้ตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า “สิทธิอำนาจทั้งหมด (อำนาจทั้งหมดในครอบครอง) ในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว” (มัทธิว 28:18 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

การฟื้นคืนพระชนม์ หมายความว่า ตอนนี้พระเยซูผู้เป็นขึ้นจากความตายได้สถิตอยู่กับคุณแล้ว พระเยซูตรัสต่อไปว่า “เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป” (ข้อ 20)

ผลของการฟื้นคืนพระชนม์ไม่ได้เป็นเพียงฤทธานุภาพ และการทรงสถิตของพระองค์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจัดเตรียมของพระองค์ด้วย

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 21: 8-13

8พระหัตถ์ของพระองค์พระองค์จะค้นพบศัตรูทั้งสิ้น
 พระหัตถ์ขวาจะพบบรรดาผู้ที่เกลียดชังพระองค์
9เมื่อทรงปรากฏ
 พระองค์จะทรงทำให้พวกเขาเป็นดังเตาไฟ
พระยาห์เวห์จะทรงกลืนเขาด้วยความกริ้ว
 และไฟจะเผาผลาญเขาเสีย
10พระองค์จะทรงทำลายลูกหลานของเขาเสียจากแผ่นดินโลก
 และทำลายพงศ์พันธุ์ของเขาจากมนุษย์ทั้งหลาย
11แม้เขาทั้งหลายได้ปองร้ายพระองค์
 แม้เขาประดิษฐ์เรื่องชั่วร้าย เขาก็จะทำไม่สำเร็จ
12เพราะพระองค์จะทรงทำให้เขาหนีพ่ายไป
 และจะทรงเล็งธนูไปตรงหน้าเขาทีเดียว
13ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงเป็นที่ยกย่องเนื่องด้วยพระกำลังของพระองค์
 ข้าพระองค์ทั้งหลายจะร้องเพลงและสดุดีพระอานุภาพของพระองค์

อรรถาธิบาย

ฤทธานุภาพของพระองค์

ตามที่พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่กล่าวไว้ว่า ผู้เป็น “ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า” คือองค์พระเยซูคริสต์ (1 โครินธ์ 1:24)

ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าใน “พละกำลัง” และ “พระอานุภาพ” ของพระองค์ (สดุดี 21:13 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) เขาเอ่ยถึงความเชื่อมั่นใน “พระหัตถ์” ของพระเจ้า (ข้อ 8ก) และโดยเฉพาะ “พระหัตถ์ขวา” (ข้อ 8ข) คำว่า “พระหัตถ์” ในพระคัมภีร์โดยเฉพาะ “พระหัตถ์ขวา” ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังและอำนาจ (อพยพ 15:6,12) ดาวิดกำลังพูดถึงพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ในการพิพากษาของพระเจ้า

ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่มักพรรณาถึงพระเยซูผู้เป็นขึ้นจากความตายว่าอยู่ใน “พระหัตถ์ขวาของพระเจ้า” (เช่น กิจการ 2:33ก) เมื่อคุณเห็นคนที่ “ปองร้าย” และ “ประดิษฐ์เรื่องชั่วร้าย” (สดุดี 21:11) ประสบความสำเร็จในชีวิต โปรดระลึกไว้เสมอว่า อำนาจของพวกเขาเป็นเพียงสิ่งชั่วคราวเท่านั้น เพราะพระเยซูทรงมีสิทธิอำนาจสูงสุด และมีฤทธิ์อำนาจที่พระหัตถ์ขวาของพระเจ้า จะต้องมีวันหนึ่งที่พระเจ้าจะทรงเข้ามาจัดการแน่นอน พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาและจะเสด็จมาอีกครั้งเพื่อพิพากษาคนเป็นและคนตาย

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับพระกำลัง และฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเป็นที่ยกย่องเชิดชูในพระกำลังของพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายจะร้องเพลงสรรเสริญฤทธานุภาพของพระองค์ “(ข้อ 13 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

พันธสัญญาใหม่

มัทธิว 28:1-20

การคืนพระชนม์

 1ภายหลังวันสะบาโต เวลาใกล้รุ่งเช้าวันอาทิตย์ มารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่งนั้นมาดูอุโมงค์ 2ทันใดนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง เพราะมีทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้า ลงมาจากสวรรค์และกลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์แล้วนั่งอยู่บนหินนั้น 3รูปลักษณ์ของทูตนั้นเหมือนแสงฟ้าแลบ เสื้อขาวเหมือนหิมะ 4พวกยามที่เฝ้าอยู่ก็กลัวทูตสวรรค์องค์นั้นจนตัวสั่นและเป็นเหมือนคนตาย 5ทูตสวรรค์องค์นั้นกล่าวกับผู้หญิงเหล่านั้นว่า “อย่ากลัวเลย เรารู้แล้วว่าพวกท่านมาหาพระเยซูที่ถูกตรึงกางเขน 6พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะทรงเป็นขึ้นมาแล้วตามที่พระองค์ตรัสไว้นั้น จงมาดูที่ซึ่งเขาวางพระองค์ไว้นั้น 7แล้วจงรีบไปบอกสาวกทั้งหลายของพระองค์ว่า พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และพระองค์เสด็จไปยังแคว้นกาลิลีก่อนท่าน พวกท่านจะเห็นพระองค์ที่นั่น นี่แน่ะเราบอกพวกท่านแล้ว” 8หญิงเหล่านั้นก็รีบไปจากอุโมงค์ ด้วยความกลัวและความยินดีเป็นอย่างยิ่ง และวิ่งไปบอกพวกสาวกของพระองค์ 9นี่แน่ะ พระเยซูทรงพบพวกเขาและตรัสทักทาย หญิงเหล่านั้นก็มากอดพระบาทและกราบนมัสการพระองค์ 10พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “อย่ากลัวเลย จงไปบอกพี่น้องของเราให้ไปยังกาลิลี จะได้พบเราที่นั่น”

คำรายงานของทหารยาม

 11ขณะที่หญิงเหล่านั้นกำลังไป นี่แน่ะ มียามบางคนเข้าไปในเมือง เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นให้พวกหัวหน้าปุโรหิตฟัง 12เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตประชุมปรึกษากันกับพวกผู้ใหญ่แล้ว ก็แจกเงินก้อนใหญ่ให้กับพวกทหาร 13และสั่งว่า “พวกเจ้าต้องพูดว่า ‘พวกสาวกของเขามาลักขโมยเอาศพไปตอนกลางคืน ในขณะที่เรากำลังนอนหลับอยู่’ 14ถ้าเรื่องนี้ทราบถึงหูเจ้าเมือง เราจะพูดแก้ตัวให้พวกเจ้าพ้นโทษ” 15เมื่อทหารรับเงินแล้วก็ทำตามคำแนะนำ แล้วเรื่องนี้ก็ลือกันในหมู่พวกยิวจนถึงทุกวันนี้

การประทานพระบัญชากับอัครทูต

 16แต่สาวกสิบเอ็ดคนก็ไปยังกาลิลี ถึงภูเขาที่พระเยซูทรงกำหนดไว้ 17และเมื่อเห็นพระองค์เขาทั้งหลายจึงกราบนมัสการ แต่บางคนยังสงสัยอยู่ 18พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว 19เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20และสอนพวกเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราสั่งพวกท่านไว้ และนี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”

อรรถาธิบาย

การทรงสถิต

ผมพบว่าไม่มีสิ่งใดในชีวิตที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการได้มีประสบการณ์กับการทรงสถิตของพระเยซูผู้ฟื้นคืนพระชนม์

พระเยซูผู้ฟื้นคืนพระชนม์มอบหมายให้สาวกของพระองค์ “นำชนทุกชาติมาเป็นสาวก” (ข้อ 19ก) นี่คือการทรงเรียกทั้งส่วนตัวและทั้งคริสตจักร นิมิตของคริสตจักรของพวกเราคือ “การมีส่วนร่วมในการประกาศข่าวประเสริฐ การฟื้นฟูคริสตจักรและการเปลี่ยนแปลงของสังคม” ซึ่งล้วนมาจากพระมหาบัญชาของพระเยซูทั้งสิ้น

โดยมาควบคู่กันระหว่างพระสัญญาและพระมหาบัญชา “เราจะอยู่กับท่าน” (ข้อ20ข) การฟื้นคืนพระชนม์ไม่ได้เป็นเพียงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์หรือแนวความคิดทางศาสนาเท่านั้น แต่มันคือความจริงที่เปลี่ยนแปลงชีวิต พระเจ้าทรงสัญญาว่าเมื่อคุณเพิ่มเติมในหน้าที่ที่พระองค์มอบหมายให้ การทรงสถิตของพระเยซูที่ฟื้นคืนพระชนม์จะดำเนินไปกับคุณ

เมื่อหญิงเหล่านั้นเห็นอุโมงค์ที่ว่างเปล่า ทูตสวรรค์จึงบอกกับพวกนางว่า “พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะทรงเป็นขึ้นมาแล้ว…พวกท่านจะเห็นพระองค์” (ข้อ 6–7)

ผู้หญิงเหล่านั้นวิ่งไปบอกสาวกของพระเยซู “ด้วยความปิติยินดีอย่างยิ่ง” และเมื่อสาวกทำเช่นนั้น “พระเยซูทรงพบพวกเขา” (ข้อ 9) พวกเขาได้มีประสบการณ์กับการทรงสถิตของพระเยซูผู้ฟื้นคืนพระชนม์ (ข้อ 8–10) และได้ “กอดพระบาท” (ข้อ 9) และนมัสการพระองค์ในฐานะพระเจ้า (ข้อ 9ข,17ก)

มีคนพยายามโต้แย้งเกี่ยวกับอุโมงค์ที่ว่างเปล่าแทบจะในทันที (ข้อ 13) และแม้จะมีหลักฐานทั้งหมด แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เชื่อ (ข้อ 17ข) มีการชี้นำว่า “พวกสาวกของเขามาลักขโมยเอาศพไปตอนกลางคืน ในขณะที่เรากำลังนอนหลับอยู่” (ข้อ 13) บางคนยังคงพยายามคาดเดาต่าง ๆ นานา โดยที่ไม่มีหลักฐานใด ๆ

1.\tเหล่าสาวกท้อแท้และหวาดกลัว มีเพียงปาฏิหาริย์แห่งการฟื้นคืนพระชนม์เท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้

2.\tพวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย พวกเขาไม่มีเหตุจูงใจที่จะขโมยศพ

3.\tอุโมงค์ฝังศพได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา (27:62–66)

  1. พวกเขาไม่ใช่กลุ่มเดียวที่เห็นพระเยซู ยังมีอีกหลายคนพบพระองค์หลังจากการฟื้นคืนพระชนม์และได้ปรากฎกับเหล่าสาวกสี่สิบวัน (กิจการ 1:3, 1 โครินธ์ 15:6)

  2. หากสาวกขโมยพระศพจริง ชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขาก็อยู่บนพื้นฐานของการโกหก เพื่อนของผม เอียน วอล์กเกอร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวเคมบริดจ์กลายเป็นคริสเตียนเพราะเขาไม่เชื่อว่าสาวกจะเต็มใจที่ถูกทรมานและถูกประหารเพราะบางสิ่งที่พวกเขารู้ว่าไม่เป็นความจริงไหม

มันเป็นเรื่องจริง พระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์ การตายและการขุดหลุมฝังศพไม่ใช่จุดจบ เพราะในพระคริสต์คุณก็จะฟื้นขึ้นจากความตายเช่นกัน

ผู้ที่เชื่อมั่นในคำพยากรณ์ของการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูเป็นคนแรกคือสตรีเหล่านั้น สิ่งนี้เป็นที่น่าสังเกตอย่างมากเนื่องจากผู้หญิงในเวลานั้นไม่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นพยานที่ถูกต้องในศาล พวกนางคือหนึ่งในตัวอย่างมากมายในพระคัมภีร์ของสตรีที่เป็นผู้นำ (มิเรียมในข้อพระคัมภีร์เดิมสำหรับวันนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง)

มัทธิวเริ่มต้นการบรรยายพระกิตติคุณด้วยการระบุว่าพระเยซูเป็น “พระเจ้าสถิตกับเรา” (มัทธิว 1:23) ในข้อสุดท้ายของพระกิตติคุณ พระเยซูทรงยืนยันการสถิตอยู่ชั่วนิรันดร์ของพระองค์กับสาวกทุกคน สำหรับคนที่เชื่อและเชื่อฟังพระบัญชาของพระเยซู พระองค์ทรงสัญญาว่า “เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป” (28:20ข)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงส่งข้าพระองค์ออกไปสร้างสาวกแก่ชนทุกชาติ และทรงสัญญาว่าจะทรงสถิตอยู่กับข้าพระองค์ตลอดไป

พันธสัญญาเดิม

อพยพ 15:1-16:36

บทเพลงของโมเสส

1ขณะนั้นโมเสสกับชนชาติอิสราเอลร้องเพลงบทนี้ถวายพระยาห์เวห์ว่า
 “ข้าพระองค์จะร้องเพลงถวายพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง
 พระองค์ทรงกวาดม้าและพลม้าลงในทะเล
2พระยาห์เวห์ทรงเป็นกำลังและบทเพลงของข้าพระองค์
 พระองค์ทรงเป็นความรอดของข้าพระองค์
พระองค์นี่แหละเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์
 พระเจ้าแห่งบิดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะยกย่องพระองค์
3พระยาห์เวห์ทรงเป็นนักรบ
 ยาห์เวห์คือพระนามของพระองค์
4“พระองค์ทรงเหวี่ยงรถรบและกองกำลังของฟาโรห์ลงทะเล
 นายทหารชั้นยอดของฟาโรห์ก็จมในทะเลแดงทะเลแดง
5น้ำท่วมพวกเขามิด
 พวกเขาจมลงเหมือนก้อนหินในทะเลลึก
6ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงอานุภาพยิ่ง
 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงบดขยี้ศัตรู
7ด้วยเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ทรงคว่ำปฏิปักษ์ของพระองค์เสีย
 พระองค์ทรงส่งพระพิโรธของพระองค์เผาผลาญพวกเขาเสียอย่างเผาตอข้าว
8โดยลมที่ระบายจากช่องพระนาสิก น้ำก็รวมตัวเป็นกองสูงขึ้น
 น้ำท่วมก็ตั้งสูงขึ้นดังกำแพง
 ที่ลึกในใจกลางท้องทะเลก็แข็งตัว
9ข้าศึกกล่าวว่า ‘ข้าจะติดตาม ข้าจะไล่ให้ทัน
 ข้าจะแบ่งของริบกัน ข้าจะพอใจที่ได้ทำกับพวกเขาสมดังใจ
 ข้าจะชักดาบออก มือข้าจะทำลายพวกเขาเสีย’
10พระองค์ทรงบันดาลให้ลมพัดมา น้ำทะเลก็ท่วมพวกเขามิด
 พวกเขาจมลงเหมือนตะกั่วในกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวนั้น
11“ข้าแต่พระยาห์เวห์ ในบรรดาพระต่างๆ องค์ไหนจะเป็นเหมือนพระองค์เล่า?
 องค์ไหนจะเหมือนพระองค์ผู้ทรงงามสง่าในความบริสุทธิ์
 และน่าเกรงขามด้วยพระสิริและทรงทำการอัศจรรย์?
12พระองค์เหยียดพระหัตถ์ขวาออก
 แผ่นดินก็กลืนพวกเขาเสีย
13“ด้วยความรักมั่นคง พระองค์ทรงนำชนชาติซึ่งทรงไถ่ไว้
 ด้วยพระเดชานุภาพ พระองค์ทรงพาพวกเขามาถึงที่สถิตอันบริสุทธิ์ของพระองค์
14ชนชาติทั้งหลายได้ยินแล้ว ก็พากันสะทกสะท้าน
 คนฟีลิสเตียรู้สึกปวดร้าว
15ครั้งนั้นพวกเจ้านายแห่งเอโดมก็พากันหวาดผวา
 และพวกผู้นำแห่งโมอับก็ตัวสั่น
 คนคานาอันทั้งปวงก็ระส่ำระสายไป
16ความรู้สึกสยดสยองและความตกใจกลัวอุบัติขึ้นในใจของพวกเขา
 เนื่องด้วยฤทธานุภาพแห่งพระกรของพระองค์ พวกเขาหยุดนิ่งอยู่เหมือนก้อนหิน
ข้าแต่พระยาห์เวห์ จนประชากรของพระองค์ผ่านพ้นไป
 จนชนชาติซึ่งพระองค์ทรงซื้อไว้แล้วผ่านไป
17พระองค์ทรงนำพวกเขาเข้ามา และให้เขาตั้งหลักแหล่งบนภูเขาของพระองค์
 ข้าแต่พระยาห์เวห์ เป็นสถานที่ซึ่งพระองค์ทรงสร้างไว้เพื่อเป็นที่ประทับของพระองค์
 ข้าแต่องค์เจ้านาย สถานนมัสการซึ่งพระหัตถ์ของพระองค์ทรงสถาปนาไว้
18พระยาห์เวห์จะทรงครอบครองอยู่เป็นนิตย์นิรันดร์”
 19เพราะเมื่อกองม้าของฟาโรห์กับรถรบและพลม้าของท่านลงไปในทะเล พระยาห์เวห์ก็ทรงให้น้ำทะเลไหลกลับมาท่วมเสีย แต่ชนชาติอิสราเอลเดินไปบนดินแห้งกลางทะเลนั้น

บทเพลงของมิเรียม

 20มิเรียมผู้เผยพระวจนะหญิง พี่สาวของอาโรนก็ถือรำมะนา และหญิงทั้งหมดก็ถือรำมะนาเดินตามพร้อมกับเต้นรำไปด้วย 21มิเรียมจึงร้องตอบพวกเขาว่า
 “จงร้องเพลงถวายพระยาห์เวห์เถิดเพราะพระองค์ทรงได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง
  พระองค์ทรงกวาดม้าและพลม้าลงในทะเล”

น้ำขมกลายเป็นน้ำจืด

 22ต่อมาโมเสสนำพวกอิสราเอลออกจากทะเลแดงไปยังถิ่นทุรกันดารชูร์ พวกเขาเดินไปในถิ่นทุรกันดารสามวันโดยไม่พบน้ำเลย 23เมื่อมาถึงตำบลมาราห์ พวกเขาก็ดื่มน้ำที่ตำบลมาราห์นั้นไม่ได้ เพราะน้ำขม เพราะฉะนั้นจึงตั้งชื่อว่ามาราห์ 24ประชาชนก็พากันบ่นต่อว่าโมเสสว่า “เราจะเอาอะไรดื่ม?” 25โมเสสก็ร้องทูลพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์จึงทรงชี้ให้ท่านเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง เมื่อท่านโยนมันลงน้ำ น้ำก็จืด  ณ ที่นั้น พระองค์ประทานกฎเกณฑ์และกฎหมายไว้ อีกทั้งทรงลองใจพวกเขา 26พระองค์ตรัสว่า “ถ้าเจ้าใส่ใจฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า และทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระองค์ อีกทั้งเงี่ยหูฟังพระบัญญัติของพระองค์ และรักษากฎเกณฑ์ของพระองค์ทุกประการแล้ว โรคต่างๆ ซึ่งเราบันดาลให้เกิดแก่คนอียิปต์นั้น เราจะไม่ให้เกิดขึ้นกับเจ้าเลย เพราะเราคือยาห์เวห์แพทย์ของเจ้า”
 27พวกเขามาถึงเอลิม ที่มีบ่อน้ำพุสิบสองบ่อ มีต้นอินทผลัมเจ็ดสิบต้น พวกเขาจึงตั้งค่ายใกล้บ่อน้ำนั้น

อพยพ 16

มานา อาหารจากสวรรค์

 1ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดเดินทางออกจากเอลิม และมาถึงถิ่นทุรกันดารสิน ซึ่งอยู่ระหว่างเอลิมกับภูเขาซีนาย ในวันที่สิบห้าเดือนที่สอง นับตั้งแต่ออกจากแผ่นดินอียิปต์ 2ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดก็พากันบ่นต่อว่าโมเสสและอาโรนในถิ่นทุรกันดาร 3คนอิสราเอลกล่าวกับท่านทั้งสองว่า “เราตายเสียในแผ่นดินอียิปต์ด้วยพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ ขณะเมื่อนั่งอยู่ใกล้หม้อเนื้อและรับประทานอาหารอิ่มหนำก็ดีกว่า นี่ท่านทั้งสองกลับนำเราออกมายังถิ่นทุรกันดารนี้ เพื่อจะให้ชุมนุมชนทั้งหมดหิวตาย”
 4แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “นี่แน่ะ เราจะให้อาหารตกลงมาเหมือนฝนจากท้องฟ้าสำหรับพวกเจ้า และทุกๆ วันก็ให้ประชาชนออกไปเก็บแต่พอกินเฉพาะวันหนึ่งๆ เพื่อเราจะได้ลองใจว่า พวกเขาจะดำเนินตามบัญญัติของเราหรือไม่? 5ในวันที่หก เมื่อพวกเขาเตรียมมานาที่นำมา ก็ให้เก็บเพิ่มเป็นสองเท่าของที่พวกเขาเก็บในวันอื่นๆ ”
 6โมเสสกับอาโรนจึงบอกชนชาติอิสราเอลทั้งหมดว่า “ในเวลาเย็นพวกท่านจะได้รู้ว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้นำพวกท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ 7ในเวลาเช้าพวกท่านจะได้เห็นพระสิริของพระยาห์เวห์ เพราะพระยาห์เวห์ทรงได้ยินคำที่ท่านบ่นต่อว่าพระองค์แล้ว เราทั้งสองเป็นใครเล่า? พวกท่านจึงมาบ่นต่อว่าเรา”
 8โมเสสกล่าวว่า “ในเวลาเย็นพระยาห์เวห์จะประทานเนื้อให้พวกท่านรับประทาน และในเวลาเช้าจะประทานอาหารให้รับประทานจนอิ่ม เพราะพระยาห์เวห์ทรงได้ยินคำบ่นของท่านต่อพระองค์ เราทั้งสองนี้เป็นใครเล่า? พวกท่านไม่ได้บ่นต่อว่าเรา แต่ได้บ่นต่อว่าพระยาห์เวห์”
9โมเสสจึงกล่าวกับอาโรนว่า “จงบอกชุมนุมชนอิสราเอลทั้งปวงว่า ‘จงมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงได้ยินคำบ่นของพวกท่านแล้ว’ ”
 10ขณะที่อาโรนกล่าวกับชุมนุมชนอิสราเอลอยู่นั้น พวกเขามองไปทางถิ่นทุรกันดาร และนี่แน่ะ พระรัศมีของพระยาห์เวห์ปรากฏอยู่ในเมฆ 11พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 12“เราได้ยินคำบ่นของชนชาติอิสราเอลแล้ว จงกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘ในเวลาโพล้เพล้ พวกเจ้าจะได้กินเนื้อ ทั้งในเวลาเช้าเจ้าจะได้อาหารกินจนอิ่ม แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า’ ”
 13เมื่อถึงเวลาเย็น ฝูงนกคุ่มบินมาเต็มค่าย ในเวลาเช้าก็มีน้ำค้างรอบค่าย 14เมื่อน้ำค้างระเหยไปแล้ว นี่แน่ะ มีเกล็ดบางละเอียดเหมือนน้ำค้างแข็งอยู่บนพื้นดินในถิ่นทุรกันดารนั้น 15เมื่อชนชาติอิสราเอลเห็นจึงพูดกันว่า “นี่อะไรหนอ?” เพราะพวกเขาไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใด โมเสสจึงบอกพวกเขาว่า “นี่แหละ เป็นอาหารที่พระยาห์เวห์ประทานให้พวกท่านรับประทาน 16นี่เป็นสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาไว้คือ ‘ให้ทุกคนเก็บเท่าที่พอรับประทานอิ่ม ให้เก็บคนละสองลิตร ตามจำนวนคนที่พักอยู่ในเต็นท์ของตน’ ” 17ชนชาติอิสราเอลก็ทำตามนั้น บางคนเก็บมาก บางคนเก็บน้อย 18แต่เมื่อพวกเขาใช้เครื่องตวง คนที่เก็บได้มากก็ไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็ไม่ขาดแคลน ทุกคนเก็บได้เท่าที่คนหนึ่งรับประทานได้ 19โมเสสสั่งพวกเขาว่า “อย่าให้ใครเหลือไว้จนรุ่งเช้า” 20แต่พวกเขาไม่เชื่อฟังโมเสส บางคนเหลือไว้จนรุ่งเช้า อาหารนั้นก็มีหนอนขึ้น และบูดเหม็น โมเสสจึงโกรธคนเหล่านั้น 21พวกเขาเก็บกันทุกๆ เช้าเท่าที่คนหนึ่งรับประทานได้ แต่พอแดดออกร้อนจัดแล้วอาหารนั้นก็ละลายไป
 22เมื่อถึงวันที่หก พวกเขาเก็บอาหารสองเท่า คือคนละสี่ลิตร ผู้นำทั้งหมดของชุมนุมชนจึงเข้ามารายงานโมเสส 23โมเสสบอกพวกเขาว่า “พระยาห์เวห์ทรงบัญชาว่า ‘พรุ่งนี้เป็นวันหยุดพัก เป็นสะบาโต วันบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์ จะปิ้งอะไรก็ให้ปิ้ง จะต้มอะไรก็ให้ต้มเสีย และส่วนที่เหลือทั้งหมด จงเก็บไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น’ ”
 24เมื่อพวกเขาเก็บไว้จนถึงวันรุ่งขึ้นตามที่โมเสสสั่ง อาหารนั้นไม่บูดเหม็นและไม่มีหนอนในนั้น 25โมเสสจึงบอกว่า “วันนี้จงกินอาหารนั้น เพราะว่าวันนี้เป็นวันสะบาโตของพระยาห์เวห์ วันนี้พวกท่านจะไม่พบอาหารอย่างนั้นในทุ่งเลย 26จงเก็บอาหารหกวัน แต่ในวันที่เจ็ดซึ่งเป็นสะบาโตจะไม่มีเลย” 27ต่อมาในวันที่เจ็ด บางคนออกไปเก็บ แต่ก็ไม่พบเลย
 28พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “พวกเจ้าจะขัดขืนบัญญัติและกฎหมายของเรานานสักเท่าไร? 29ดูสิ พระยาห์เวห์ประทานวันสะบาโตให้พวกเจ้า เพราะฉะนั้นในวันที่หกพระองค์ประทานอาหารให้พอรับประทานสองวัน ในวันที่เจ็ดนั้นให้ทุกคนพักอยู่ในที่ของตน อย่าให้ใครออกจากที่พักเลย” 30เพราะฉะนั้นประชาชนจึงได้หยุดพักในวันที่เจ็ด
 31คนอิสราเอลเรียกชื่ออาหารนั้น ว่า มานา มันเหมือนเมล็ดผักชีแต่มีสีขาว และมีรสเหมือนขนมแผ่นผสมน้ำผึ้ง 32โมเสสกล่าวว่า “พระยาห์เวห์มีรับสั่งว่า ‘จงตวงมานาสองลิตร เก็บไว้ตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า เพื่อพวกเขาจะได้เห็นอาหารซึ่งเราเลี้ยงพวกเจ้าในถิ่นทุรกันดารนี้ เมื่อเรานำพวกเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์’ ” 33โมเสสบอกอาโรนว่า “จงเอาไหลูกหนึ่ง แล้วตวงมานาให้เต็มสองลิตร วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ให้เก็บรักษาไว้ชั่วชาติพันธุ์ของพวกท่าน” 34อาโรนก็วางมานานั้นลงหน้าหีบแห่งสักขีพยาน เพื่อรักษาไว้ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส 35ชนชาติอิสราเอลได้กินมานา 40 ปี จนพวกเขามาถึงแผ่นดินที่จะอาศัยอยู่ พวกเขากินมานาจนมาถึงชายแดนแผ่นดินคานาอัน 36(เครื่องตวงของแห้งมาตรฐานที่ใช้ในเวลานั้นเท่ากับ 20 ลิตร)

อรรถาธิบาย

การทรงจัดเตรียม

คุณเคยกังวลเกี่ยวกับอนาคต สุขภาพ การงาน ครอบครัวหรือการเงินของคุณบ้างไหม จงตัดสินใจวันนี้ที่จะไม่กังวล เคอร์รี่ เทน บูม ได้กล่าวว่า “ความวิตกกังวล คือการใช้เรี่ยวแรงในวันนี้เพื่อแบกรับภาระของวันพรุ่งนี้ การแบกรับทั้งสองวันในคราวเดียว ก็เหมือนการพยายามมุ่งไปถึงวันพรุ่งนี้ก่อนเวลาอันควร จงวางใจในพระเจ้าและเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตแบบวันต่อวัน

เราได้เห็นการจัดเตรียมของพระเจ้าแบบวันต่อวันผ่านพระธรรมตอนนี้ พระเยซูทรงสอนให้เราอธิษฐานว่า “ขอประทานอาหารประจำวันแก่พวกข้าพระองค์ในวันนี้” (มัทธิว 6:11) จงวางใจในพระเจ้าว่าพระองค์จะจัดเตรียมให้เมื่อคุณต้องการ

บทเพลงของโมเสสและมิเรียมในบทที่ 15 เป็นตัวอย่างที่ดีของความไว้วางใจพระเจ้าซึ่งแสดงออกผ่านการนมัสการ พวกเขาสรรเสริญพระเจ้าสำหรับพระลักษณะของพระองค์ (อพยพ 15:1–5) จากนั้นพวกเขาสรรเสริญพระเจ้าสำหรับสิ่งที่พระองค์เคยกระทำมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการประทานความรอด การช่วยเหลือและการจัดเตรียมต่าง ๆ (ข้อ 6–12) และในที่สุดพวกเขาก็สรรเสริญพระองค์สำหรับสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำในภายภาคหน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทรงนำ ความรอด การช่วยกู้และการจัดเตรียม (ข้อ 13–18)

พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะทรงจัดเตรียมเพื่อสนองความต้องการด้านความเป็นอยู่ของพวกเขา โดยพระองค์ทรงสัญญาว่าจะโปรยปราย “อาหารจากสวรรค์” (16:4ก) ที่เรียกว่า “มานา” (ข้อ 31) ในแต่ละวันพระองค์ทรงประทาน “อาหารประจำวัน” แก่พวกเขา เขาแต่ละคนรวบรวมได้มากเท่าที่ต้องการ (ข้อ 18ค, 21ก) แต่พวกเขาได้รับคำสั่งว่าอย่ากักตุนไว้ “อย่าให้ใครเหลือไว้จนรุ่งเช้า” (ข้อ 19)

นี่คือสิ่งที่คริสตจักรได้มีประสบการณ์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พระเจ้าประทานความต้องการด้านปัจจัยภายนอกทั้งหมดให้แก่เรา แต่พระองค์ไม่ได้ให้เรามากเกินความต้องการ เราไม่ต้องตุนไว้เผื่ออนาคต แต่ให้เราวางใจในพระเจ้าตลอดเวลาว่าพระองค์จะจัดเตรียมประทานให้ทุกเดือนและทุกปี

การที่เราต้องการเก็บทุกสิ่งที่เราได้รับไว้เป็นหลักประกันสำหรับอนาคตแทนที่จะวางใจให้พระเจ้าจัดเตรียมในเวลาที่เราต้องการถือเป็นการทดลองอย่างหนึ่ง สิ่งนี้นำมาใช้กับความต้องการทางฝ่ายจิตวิญญาณของเราได้ด้วยเช่นกันที่เราไม่สามารถพึ่งพาพระพรในอดีตได้

เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เห็นจากพระธรรมตอนนี้ว่าคนของพระเจ้าลืมความดีและการจัดเตรียมของพระเจ้าในอดีตเร็วเพียงใดและเริ่มบ่นเกี่ยวกับปัญหาในปัจจุบัน บ่อยครั้งที่ผมถูกล่อลวงให้ทำแบบเดียวกัน เนื้อหาตอนนี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นที่จะต้องวางใจในการจัดเตรียมของพระเจ้าในช่วงเวลาที่ดีและช่วงเวลาที่ยากลำบาก

พระเยซูเองตรัสกับเราว่า พระองค์ทรงเป็นของประทานของพระเจ้า ทรงตรัสว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต บรรพบุรุษของพวกท่านได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารแล้วก็ยังเสียชีวิต แต่นี่เป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์เพื่อให้คนที่ได้กินแล้วไม่ตาย เราเป็นอาหารดำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าใครกินอาหารนี้ คนนั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้นั้นก็คือเลือดเนื้อของเรา” (ยอห์น 6:48–51)

การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคือของประทานนิรันดร์ *เพราะพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาเพื่อให้ชีวิต และผู้ที่กินขนมปังนี้จะมีชีวิตนิรันดร์ *

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงสัญญาว่าพระองค์จะ “ประทานทุกสิ่งที่จำเป็นแก่พวกท่านจากทรัพย์อันรุ่งโรจน์ของพระองค์ในพระเยซูคริสต์” (ฟีลิปปี 4:19) เมื่อได้ใคร่ครวญด้วยการขอบพระคุณ ข้าพระองค์ตั้งตารอด้วยความหวังและไว้วางใจว่าพระองค์จะจัดเตรียมความต้องการทั้งหมดของข้าพระองค์เสมอไปตามความบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ผู้ฟื้นคืนพระชนม์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

มัทธิว 28:1–8

ในวัฒนธรรมที่ผู้หญิงถือเป็นชนชั้นที่สอง แต่พระเยซูทรงปรากฎตัวครั้งแรกต่อหน้าผู้หญิงสองคน พระองค์เลือกผู้หญิงธรรมดา ๆ สองคนและมอบข่าวประเสริฐที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ให้กับพวกนาง

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม