วัน 57

ดีกว่าการมีชื่อเสียงและความโด่งดัง

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 26:1-12
พันธสัญญาใหม่ มาระโก 9:2-32
พันธสัญญาเดิม อพยพ 39:1-40:38

เกริ่นนำ

ผลการสำรวจคนรุ่นมิลเลนเนียล พบว่าเป้าหมายที่สำคัญของชีวิตคนหนุ่มสาว 50% คือการมีชื่อเสียง คนสมัยก่อนอยากมีชื่อเสียงเพื่อทำอะไรบางอย่าง ตอนนี้คนดังกลายเป็นจุดสนใจ มีลักษณะเหมือนพระเจ้า ไม่เพียงแต่ผู้คนต้องการมีชื่อเสียงเท่านั้น แต่ยังต้องการความยกย่องว่าเป็นคนดังอีกด้วย ความสนใจต่อบุคคลที่มีชื่อเสียงนี้เรียกอีกได้อีกว่าเป็น ‘ลัทธิของคนดัง’

ชื่อเสียงของคนทะเยอทะยานเหมือนกับการยื่นน้ำเกลือให้กับผู้กระหายน้ำ ยิ่งได้มากยิ่งต้องการมาก มาดอนน่าซึ่งเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกกล่าวว่า ‘ฉันจะไม่มีความสุขจนกว่าจะมีชื่อเสียงเทียบเท่าพระเจ้า’

การมีชื่อเสียงและความโด่งดังเป็นเพียงภาพสะท้อนของความรุ่งเรืองที่แท้จริงเท่านั้น ‘เกียรติสิริ’ คำนี้ถูกใช้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์เพื่อแสดงถึงการเปิดเผยการทรงสถิตของพระเจ้า เกียรติสิริเป็นหนึ่งในคำที่พบบ่อยที่สุดในพระคัมภีร์ พระเกียรติสิริของพระเจ้า หมายถึงความสำคัญ ชื่อเสียง ความสง่างามและเกียรติยศของพระองค์

ไม่น่าแปลกใจที่สังคมถอยห่างจากการนมัสการพระเกียรติสิริของพระเจ้า และหันไปสู่การนมัสการ ‘ความรุ่งโรจน์’ ของผู้มีชื่อเสียงและโด่งดัง เราถูกเรียกให้นมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระเกียรติสิริ และสะท้อนพระเกียรติสิริของพระองค์ ไม่ว่าเราจะมีความไม่สมบูรณ์ในชีวิตอย่างไร

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 26:1-12

คำทูลขอความเป็นธรรม และการตัดสินว่าไม่มีความผิด

ของดาวิด

1ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอประทานความเป็นธรรมแก่ข้าพระองค์
 เพราะข้าพระองค์ดำเนินอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริตของข้าพระองค์
 ข้าพระองค์ได้วางใจในพระยาห์เวห์ ข้าพระองค์จะไม่หวั่นไหว
2ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงพิสูจน์ข้าพระองค์ ขอทรงลองข้าพระองค์
 ขอทรงทดสอบจิตและใจของข้าพระองค์เถิด
3เพราะความรักมั่นคงของพระองค์อยู่ต่อตาข้าพระองค์
 และข้าพระองค์ดำเนินในความซื่อสัตย์ของพระองค์
4ข้าพระองค์มิได้นั่งอยู่กับคนหลอกลวง
 อีกทั้งมิได้คบหากับคนเสแสร้ง
5ข้าพระองค์เกลียดชุมนุมชนคนชั่ว
 และข้าพระองค์จะไม่นั่งกับคนอธรรม
6ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ชำระมือเพื่อแสดงความบริสุทธิ์
 และเดินรอบแท่นบูชาของพระองค์
7พลางร้องเพลงขอบพระคุณ
 และบอกเล่าถึงการอัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์
8ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์รักพระนิเวศอันเป็นที่พำนักของพระองค์
 และเป็นที่ประทับแห่งพระสิริของพระองค์
9ขออย่าทรงกวาดข้าพระองค์ไปกับคนบาป
 หรือกวาดชีวิตข้าพระองค์ไปกับคนกระหายเลือด
10คือคนซึ่งในมือของเขามีแผนชั่ว
 และมือขวาของเขาเต็มด้วยสินบน
11แต่สำหรับข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะเดินในความสุจริต
 ขอทรงไถ่ข้าพระองค์ และขอทรงพระกรุณาแก่ข้าพระองค์
12เท้าของข้าพระองค์เหยียบอยู่บนพื้นราบ
 ข้าพระองค์จะถวายสาธุการแด่พระยาห์เวห์ในที่ชุมนุมชน

อรรถาธิบาย

จงแสวงหาพระเกียรติสิริของพระเจ้า

ดาวิดเขียนว่า ‘พระเจ้าข้า ข้าพระองค์รักที่จะอยู่กับพระองค์ บ้านของพระองค์เปล่งประกายด้วยพระเกียรติสิริของพระองค์’ (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) กษัตริย์ดาวิดเป็น ‘คนมีชื่อเสียง’ ด้วยสิทธิ์ของพระองค์ (ดู 1 ซามูเอล 18:7) แต่พระองค์ไม่ได้แสวงหาเกียรติสิริเพื่อตัวเอง แต่พระองค์นำผู้คนถวายเกียรติแด่พระเจ้า ‘เท้าของข้าพระองค์เหยียบอยู่บนพื้นราบ ข้าพระองค์จะถวายสาธุการแด่พระยาห์เวห์ในที่ชุมนุมชน’ (สดุดี 26:12)

หากคุณต้องการสะท้อนถึงพระเกียรติสิริของพระเจ้า ให้ทำตามแบบอย่างของดาวิด พยายามดำเนินชีวิตอย่างไร้ตำหนิ (ข้อ 1) วางใจในพระเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว (ข้อ 1ข) พยายามรักษาใจให้บริสุทธิ์ (ข้อ 2) รับคำแนะนำจากความรักและความจริงของพระเจ้า (ข้อ 3) หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้คนที่อาจทำให้คุณผิดหวังมากเกินไป ทั้ง ‘คนหลอกลวง’; ‘อันธพาล’; ‘ชุมนุมคนทำชั่ว’; ‘คนเสแสร้ง’ (ข้อ 4–5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

แม้ว่าดาวิดจะพูดว่า ‘ข้าพระองค์จะเดินในความสุจริต’ (ข้อ 11ก) แต่เขาก็พูดต่อไปว่า ‘ขอทรงไถ่ข้าพระองค์ และขอทรงพระกรุณาแก่ข้าพระองค์’ (ข้อ 11ข) เขาระลึกอยู่เสมอว่า แม้ตนจะพยายามดำเนินชีวิตไร้ซึ่งความบาปเท่าใดก็ไม่อาจไปถึงจุดนั้นได้ แต่เขาต้องการให้อภัยและพระเมตตาจากพระเจ้า แทนที่จะอ้างว่าเป็นคนไร้ที่ติ ดาวิดประกาศว่าเขาใช้ชีวิตอย่าง ‘ซื่อสัตย์’ (ข้อ 1,11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดย ผู้แปล) นั่นคือสิ่งที่ทั้งจริงใจและบริสุทธิ์ใจเพื่อพระเจ้า

กษัตริย์องค์อื่น ๆ ในเวลานั้นอาจคาดหวังให้ประชาชนนมัสการพวกเขาใน ‘สังคมแห่งลัทธิคนดัง’ แต่ดาวิดเป็นผู้นมัสการพระเจ้า เขาเขียนว่า ‘ข้าพระองค์ ... เดินรอบแท่นบูชาของพระองค์ พลางร้องเพลงขอบพระคุณ และบอกเล่าถึงการอัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์รักพระนิเวศอันเป็นที่พำนักของพระองค์ และเป็นที่ประทับแห่งพระสิริของพระองค์’ (ข้อ 6–8)

สำหรับคนของพระเจ้าในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม พระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มเป็นสถานที่ที่สามารถพบพระเกียรติสิริของพระเจ้าได้ แต่พระเกียรติสิริของพระเจ้าที่แท้จริงได้เปิดเผยอย่างยิ่งใหญ่ทางพระเยซู (ยอห์น 1:14) พระเยซูทรงเป็นพระวิหารหลังใหม่ (2:10, 21)

นอกจากนี้ความจริงที่น่าอัศจรรย์ก็คือพระเกียรติสิริของพระเจ้าสถิตอยู่ในทุกคนที่วางใจในพระเยซูด้วย ทั้งในรายบุคคล (ดู 1 โครินธ์ 6:19) และในกลุ่มผู้เชื่อ (ดู 1 โครินธ์ 3:16) ผู้ติดตามพระเยซูถูกมองว่าเป็นพระวิหารของพระเจ้าที่พระวิญญาณสถิตอยู่ ‘พวกท่านก็กำลังถูกก่อร่างสร้างขึ้นด้วยกันให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าโดยพระวิญญาณ’ (เอเฟซัส 2:22)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่สง่าราศีของพระองค์อาศัยอยู่ในหมู่คนของพระองค์ ข้าพระองค์จะประกาศคำสรรเสริญแด่พระองค์และบอกเล่าถึงพระราชกิจอันอัศจรรย์ทั้งหมดของพระองค์

พันธสัญญาใหม่

มาระโก 9:2-32

การทรงจำแลงพระกาย

 2หกวันต่อมา พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นภูเขาสูงตามลำพัง แล้วพระกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขา 3และฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ จนไม่มีช่างฟอกผ้าคนใดในโลกจะฟอกให้ขาวอย่างนั้นได้ 4แล้วเอลียาห์กับโมเสสก็ปรากฏแก่สาวกเหล่านั้น กำลังสนทนากับพระเยซู 5เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ ดีจริงๆ ที่เราได้มาอยู่ที่นี่ ให้เราทำเพิงขึ้นสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง และสำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” 6เปโตรไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เพราะพวกเขากำลังตกใจกลัว 7แล้วก็มีเมฆมาปกคลุมพวกเขาไว้และมีพระสุรเสียงดังออกมาจากเมฆนั้นว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา จงเชื่อฟังท่านเถิด” 8ทันใดนั้น เมื่อพวกสาวกมองดูรอบๆ ก็ไม่เห็นใคร เห็นแต่พระเยซูทรงอยู่กับพวกเขา
 9เมื่อลงมาจากภูเขา พระองค์ตรัสสั่งพวกสาวก ไม่ให้นำสิ่งที่เห็นนั้นไปบอกกับคนอื่นจนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นจากตาย 10ดังนั้นพวกสาวกจึงเก็บงำเรื่องนี้ไว้ แต่ก็ถามกันว่า การเป็นขึ้นมาจากตายมีความหมายอย่างไร? 11พวกเขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกธรรมาจารย์ถึงกล่าวว่า เอลียาห์จะต้องมาก่อน?” 12พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า “เอลียาห์จะต้องมาก่อนแน่นอนเพื่อทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิม แต่ทำไมยังมีถ้อยคำเขียนเกี่ยวกับบุตรมนุษย์ว่า พระองค์จะต้องทรงทนทุกขเวทนาหลายประการและทรงถูกทอดทิ้ง 13แต่เราบอกพวกท่านว่า เอลียาห์นั้นได้มาแล้ว และพวกเขาทำต่อท่านทุกอย่างตามใจชอบ ซึ่งก็เป็นไปตามถ้อยคำที่เขียนไว้เกี่ยวกับท่าน”

การทรงรักษาเด็กที่มีผีโสโครก

 14เมื่อกลับมาที่เหล่าสาวก เห็นมหาชนกำลังล้อมรอบพวกเขา และพวกธรรมาจารย์กำลังถกเถียงกับพวกเขาอยู่ 15ทันทีที่ฝูงชนทั้งหมดเห็นพระองค์ก็ประหลาดใจอย่างมาก จึงวิ่งเข้ามาต้อนรับพระองค์ 16พระองค์จึงตรัสถามพวกเขาว่า “พวกท่านถกเถียงกับพวกเขาด้วยเรื่องอะไร?” 17คนหนึ่งในฝูงชนทูลตอบพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าได้พาลูกชายมาหาท่านเพราะมีผีใบ้เข้าสิง 18เมื่อไหร่ก็ตามที่ผีเข้าสิงตัวเขา มันจะทำให้เขาล้มชัก น้ำลายฟูมปาก กัดฟัน และตัวแข็งทื่อ ข้าพเจ้ามาขอให้พวกสาวกของท่านขับมันออก แต่พวกเขาไม่สามารถทำได้” 19พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “โอ นี่เป็นยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับพวกท่านนานแค่ไหน? และจะต้องอดทนกับพวกท่านนานเพียงไร? จงพาเด็กคนนั้นมาหาเราเถิด” 20พวกเขาจึงพาเด็กคนนั้นมาหาพระองค์ เมื่อผีนั้นเห็นพระองค์ มันก็ทำให้เด็กล้มชักทันที และลงไปกลิ้งเกลือกที่ดิน มีน้ำลายฟูมปาก 21พระองค์จึงตรัสถามผู้เป็นบิดาว่า “เขาเป็นอย่างนี้มานานเท่าไหร่?” บิดาทูลตอบว่า “ตั้งแต่เขายังเล็กๆ 22และผีมักจะทำให้เขาตกในกองไฟหรือในน้ำ เพื่อจะฆ่าให้ตาย ถ้าท่านสามารถช่วยได้ก็โปรดสงสารและช่วยเราทั้งสองด้วย” 23พระเยซูจึงตรัสกับบิดานั้นว่า “ ‘ถ้าช่วยได้’ น่ะหรือ? ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง” 24บิดาของเด็กจึงร้องทูลทันทีว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ และขอโปรดช่วยในส่วนที่ขาดอยู่ด้วยเถิด” 25เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นฝูงชนกำลังวิ่งเข้ามา พระองค์ตรัสห้ามผีโสโครกนั้นว่า “เจ้าผีใบ้หูหนวก เราสั่งให้เจ้าออกจากตัวเขา และอย่ากลับเข้ามาสิงในตัวเขาอีก” 26ผีนั้นจึงร้องเสียงดังและทำให้เด็กคนนั้นล้มชักอย่างรุนแรง แล้วมันก็ออกมา เด็กคนนั้นก็แน่นิ่งเหมือนคนตายจนคนส่วนมากกล่าวว่า “เขาตายแล้ว” 27แต่พระเยซูทรงจับมือพยุงเด็กคนนั้น เขาก็ยืนขึ้น 28เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในบ้านแล้ว พวกสาวกก็มาทูลถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า “ทำไมพวกข้าพระองค์ถึงขับผีนั้นออกไม่ได้?” 29พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า “ผีแบบนี้จะขับออกได้ด้วยการอธิษฐานเท่านั้น”

การทรงพยากรณ์อีกครั้ง ถึงการสิ้นพระชนม์ และการคืนพระชนม์ของพระองค์

 30พระองค์กับพวกสาวกเสด็จออกจากที่นั่น และเดินทางผ่านแคว้นกาลิลี แต่พระองค์ไม่ทรงประสงค์จะให้ใครรู้ 31เพราะว่าพระองค์ทรงกำลังสอนสาวกของพระองค์ว่า “บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือของคนทั้งหลาย และพวกเขาจะฆ่าท่าน หลังจากถูกประหารแล้วสามวัน ท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่” 32แต่พวกสาวกไม่เข้าใจถ้อยคำนี้ และไม่กล้าทูลถามพระองค์

อรรถาธิบาย

จงสะท้อนพระเกียรติสิริของพระเยซู

เปโตร ยากอบ และยอห์น ได้เห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้าเมื่อพระเยซูทรงจำแลงพระกายต่อหน้าพวกเขา การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญหลังจากที่พระเยซูตรัสถามเหล่าสาวกว่า ‘คนทั้งหลายพูดกันว่าเราเป็นใคร’ (8:27) เผยให้เห็นพระลักษณะอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูในฐานะพระบุตรของพระเจ้า

ม่านแห่งกาลเวลาถูกดึงออก เหล่าสาวกก็เห็นโมเสส (เป็นตัวแทนของธรรมบัญญัติ) และเอลียาห์ (ตัวแทน ของผู้เผยพระวจนะ) ปรากฏตัวและอยู่ข้างพระเยซูอย่างชัดเจน เหล่าสาวกคงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโมเสสและเอลียาห์ ในโลกของชาวยิวคนเหล่านี้เป็นคนดังที่สุด แต่พระเจ้ากำลังบอกว่าพระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่า

เมื่อเหล่าสาวกมองดูอีกครั้งพวกเขาก็เห็นแต่พระเยซู (9:8) เปโตร ยากอบ และยอห์น เห็นพระเยซูเหมือนอย่างที่เราจะได้เห็นเมื่อพระองค์เสด็จกลับมาอีกครั้งพร้อมกับสง่าราศีของพระองค์อย่างเปิดเผย

คำที่ใช้สำหรับ ‘การจำแลงพระกาย’ เป็นคำเดียวกับที่แปลว่า ‘เปลี่ยนรูป’ เมื่ออัครสาวกเปาโลเขียนว่า ‘แต่เราทุกคนไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้วและมองดูพระรัศมีขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลง [เปลี่ยนรูป] ให้เป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป เหมือนอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ’ (2 โครินธ์ 3:18)

คนมีชื่อเสียงในปัจจุบัน มักสนใจเกี่ยวกับชื่อเสียงและการแสวงหาความเป็นบุคคลสาธารณะ พระเยซูไม่ได้แสวงหาการเป็นที่รู้จัก ตรงกันข้ามพระองค์ ‘ยืนยันว่าจะเก็บเป็นความลับ “อย่าบอกใครว่าคุณเห็นอะไร”’ (มาระโก 9:9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

นอกจากนี้พวกคนมีชื่อเสียงสมัยนี้มักเกี่ยวข้องกับความมั่งคั่งและวิถีชีวิตที่หรูหรา แตกต่างกับชีวิตของพระเยซู ที่ความทุกข์ทรมาน และพระเกียรติสิริ เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก ทันทีที่พระองค์ลงมาจากภูเขา พระองค์อธิบายให้สาวกฟังว่า ‘พระองค์จะต้องทรงทนทุกขเวทนาหลายประการและทรงถูกทอดทิ้ง’ (ข้อ 12) ‘เกียรติสิริ’ ของพระเยซูแตกต่างจากที่โลกคาดหวังตั้งแต่ในตอนนั้นและในทุกวันนี้

สิ่งหนึ่งที่พระเยซูแบ่งปันกับ ‘เหล่าคนมีชื่อเสียง’ ในปัจจุบันก็คือพระองค์ทรงดึงดูดฝูงชน (ข้อ 14) ‘ทันทีที่ฝูงชนทั้งหมดเห็นพระองค์ก็ประหลาดใจอย่างมาก จึงวิ่งเข้ามาต้อนรับพระองค์’ (ข้อ 15)

เหล่าสาวกที่ไม่ได้ขึ้นไปบนภูเขาไม่ได้มีความเชื่อมากพอในการรักษาเด็กชายที่ถูกผีร้ายเข้าสิง พระเยซูตรัสว่า ‘ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง’ (ข้อ 23) แต่โลกบอกเราว่า ‘ฉันต้องเห็นก่อนแล้วฉันจะเชื่อ’ แต่พระเยซูตรัสว่า ‘จงเชื่อก่อนแล้วคุณจะเห็น’ เซนต์ออกัสตินได้เขียนว่า ‘ความเชื่อคือการเชื่อในสิ่งที่เรามองไม่เห็น รางวัลแห่งความเชื่อคือการได้เห็นสิ่งที่เราเชื่อ’

บิดาของเด็กชายอุทานถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้นได้กับเราทุกคนว่า ‘ข้าพเจ้าเชื่อ และขอโปรดช่วยในส่วนที่ขาดอยู่ด้วยเถิด!’ (ข้อ 24)

พระเยซูทรงรักษาเด็กชายโดยไม่ต้องมีพิธีรีตองใด ๆ หรือแม้กระทั่งการวางมือ ไม่มีการต่อสู้ใด ๆ เกิดขึ้นนอกจากคำอธิษฐานด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเยซู การต่อสู้ชนะแล้วผ่านชีวิตการอธิษฐานของพระองค์ (ข้อ 29) เป็นอีกครั้งเราได้เห็นเสี้ยวหนึ่งในพระเกียรติสิริของพระเยซู

พระเยซูตรัสอย่างตรงไปตรงมาต่อไปเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานของพระองค์ว่า ‘บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือของคนทั้งหลาย และพวกเขาจะฆ่าท่าน หลังจากถูกประหารแล้วสามวันท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่’ (ข้อ 31)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ในวันนี้เพื่อใช้เวลาต่อพระพักตร์ของพระองค์ และสะท้อนพระเกียรติสิริของพระองค์ในทุกสิ่งที่ข้าพระองค์พูดและทำ

พันธสัญญาเดิม

อพยพ 39:1-40:38

การเย็บเสื้อตำแหน่งของปุโรหิต

 1และพวกเขาใช้ด้ายสีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้มนั้นทำเสื้อตำแหน่งสำหรับใส่เวลาปรนนิบัติในวิสุทธิสถาน และพวกเขาได้ทำเสื้อตำแหน่งบริสุทธิ์สำหรับอาโรน ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
2พวกเขาทำเสื้อเอโฟดด้วยทองคำ ด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าป่านเนื้อดี 3พวกเขาตีทองแผ่ออกเป็นแผ่นบางๆ แล้วตัดเป็นเส้นๆ เพื่อทอเข้ากับด้ายสีฟ้า เข้ากับด้ายสีม่วง เข้ากับด้ายสีแดงเข้ม และเข้ากับผ้าป่านเนื้อดีด้วยฝีมือช่างชำนาญงาน 4พวกเขาทำแถบติดไว้ที่บ่าเพื่อโยงเอโฟดให้ติดกับริมตอนบนทั้งสองชิ้น 5สายรัดเอวก็ทออย่างประณีตสำหรับคาดทับเอโฟดนั้น ทำด้วยฝีมืออย่างเดียวกันและใช้วัสดุอย่างเดียวกับเอโฟด คือทำด้วยทองคำ ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าป่านเนื้อดี ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
 6พวกเขาเอาโอนิกซ์ฝังไว้ในกระเปาะทองคำซึ่งมีลวดลายวิจิตร และแกะสลักอย่างแกะตรา เป็นรายชื่อเผ่าของอิสราเอล 7แล้วเขาติดพลอยนั้นไว้กับเอโฟดบนแถบบ่า เพื่อให้ระลึกถึงเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
 8เขาทำทับทรวงด้วยฝีมือช่างชำนาญงานเหมือนกับทำเอโฟด คือทำด้วยทองคำ ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าป่านเนื้อดี 9ทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส พับทบกลางยาว 22 เซนติเมตร กว้าง 22 เซนติเมตร เป็นสองทบด้วยกัน 10พวกเขาฝังอัญมณีสี่แถวบนทับทรวงนั้น แถวที่หนึ่งฝังคาร์เนเลียน เพอริโดและมรกต 11แถวที่สองฝังเทอร์คอยซ์ ไพลินและเพชร 12แถวที่สามฝังเพทาย โมราและแอเมทิสต์ 13แถวที่สี่ฝังเบริล โอนิกซ์ และแจสเพอร์ อัญมณีทั้งหมดนี้เขาได้ฝังในกระเปาะลวดลายวิจิตร ทำด้วยทองคำ 14อัญมณีทั้งสิบสองอย่างนี้จารึกชื่อแต่ละชื่อของบรรดาบุตรอิสราเอลไว้เหมือนแกะตรา ตามลำดับสิบสองเผ่า 15พวกเขาทำสร้อยถักเกลียวด้วยทองคำบริสุทธิ์สำหรับทับทรวง 16และทำกระเปาะลวดลายวิจิตรสองอันด้วยทองคำ และห่วงทองคำสองห่วง ติดไว้ที่ปลายทั้งสองของทับทรวง 17เขาทั้งหลายสอดสร้อยทองคำสองสายนั้นในห่วงตรงมุมทับทรวง 18และปลายสร้อยอีกสองข้างนั้น พวกเขาทำติดกับกระเปาะลวดลายวิจิตรทั้งสอง และติดมันไว้ข้างหน้าแถบทั้งสองที่ยึดเอโฟดบนบ่า 19เขาทั้งหลายทำห่วงทองคำสองห่วงติดที่มุมล่างด้านในทั้งสองข้างของทับทรวงที่ติดกับเอโฟด 20และเขาทั้งหลายทำห่วงทองคำอีกสองห่วงใส่ไว้ริมเอโฟดด้านหน้า ใต้แถบที่ตะเข็บเหนือสายรัดเอวซึ่งทอด้วยฝีมือประณีต 21และพวกเขาผูกทับทรวงนั้นติดกับเอโฟดโดยใช้ด้ายถักสีฟ้าร้อยผูกที่ห่วง และให้ทับทรวงทับสายรัดเอวซึ่งทอด้วยฝีมือประณีตของเอโฟด เพื่อไม่ให้ทับทรวงหลุดไปจากเอโฟดตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
 22เขาทำเสื้อคลุมเข้าชุดกับเอโฟดด้วยผ้าทอสีฟ้าล้วน 23และที่คอเสื้อตรงกลางของเสื้อนั้น เขาทำเช่นเดียวกับคอเสื้อทหารและมีขลิบรอบคอเพื่อไม่ให้ขาด 24ที่ชายเสื้อคลุม เขาทั้งหลายปักเป็นรูปลูกทับทิม โดยใช้ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าป่านเนื้อดี 25เขาทั้งหลายทำลูกพรวนด้วยทองคำบริสุทธิ์ แล้วติดลูกพรวนระหว่างผลทับทิมรอบชายเสื้อคลุมนั้น 26คือลูกพรวนลูกหนึ่ง ผลทับทิมผลหนึ่ง และลูกพรวนอีกลูกหนึ่ง ผลทับทิมอีกผลหนึ่ง สลับกันแบบนี้ รอบชายเสื้อคลุมนั้น เพื่อสวมเวลาปรนนิบัติพระเจ้าตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
 27พวกเขาทำเสื้อยาวกรอมเท้าด้วยผ้าป่านเนื้อดีสำหรับอาโรน และบุตรชายของท่าน 28และทำผ้ามาลา และทำหมวกด้วยผ้าป่าน และทำชั้นในด้วยผ้าป่านเนื้อดี 29และทำสายรัดเอวด้วยผ้าป่านเนื้อดี และปักด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม ด้วยฝีมือช่างปัก ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
 30พวกเขาทำแผ่นทองคำสำหรับมงกุฎบริสุทธิ์จารึกคำว่า “บริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์” ไว้เหมือนอย่างแกะตรา 31แล้วเขาเอาด้ายถักสีฟ้าผูกแผ่นทองคำนั้นไว้บนผ้ามาลา ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส

งานเสร็จสมบูรณ์

 32ดังนั้นงานทุกอย่างสำหรับพลับพลา คือเต็นท์นัดพบก็เสร็จสิ้นลง พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสสอย่างไร คนอิสราเอลก็ทำอย่างนั้นทุกประการ 33พวกเขาจึงนำพลับพลามามอบให้โมเสส ทั้งเต็นท์และเครื่องใช้ทุกชิ้นคือ ขอเกี่ยว กรอบไม้ กลอน เสา และฐานรองรับเสา 34ผ้าคลุมเต็นท์ทำด้วยหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง และหนังอย่างดี และม่านสำหรับบังตา 35หีบแห่งสักขีพยานกับไม้คานสำหรับหามหีบนั้น และพระที่นั่งกรุณา 36โต๊ะกับเครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับโต๊ะนั้น และขนมปังเฉพาะพระพักตร์ 37คันประทีปบริสุทธิ์กับตะเกียงที่ตั้งบนคันประทีปนั้น รวมทั้งเครื่องใช้ทั้งหมดของคันประทีปนั้น และน้ำมันตะเกียง 38แท่นบูชาทองคำ น้ำมันเจิม เครื่องหอม และม่านบังตาสำหรับประตูเต็นท์ 39แท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ กับตะแกรงทองสัมฤทธิ์สำหรับแท่นนั้น ไม้คานหามและเครื่องใช้ทั้งหมดของแท่น อ่างกับฐานรองอ่าง 40ม่านบังลาน เสา กับฐานรองรับเสา ม่านบังตาสำหรับประตูเข้าลาน เชือก และหลักหมุดสำหรับลานและเครื่องใช้ทั้งหมดสำหรับปรนนิบัติที่พลับพลา สำหรับเต็นท์นัดพบ 41เสื้อตำแหน่งทำอย่างประณีตสำหรับสวมเมื่อปรนนิบัติในวิสุทธิสถาน เสื้อตำแหน่งบริสุทธิ์สำหรับอาโรนผู้เป็นปุโรหิต เสื้อตำแหน่งสำหรับบรรดาบุตรอาโรน สำหรับใช้สวมในเวลาปฏิบัติงานในตำแหน่งปุโรหิต 42ทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสสนั้น คนอิสราเอลก็ทำตาม 43โมเสสจึงตรวจดูงานทั้งสิ้นและเห็นว่าพระยาห์เวห์ทรงบัญชาอย่างไร พวกเขาก็ทำเสร็จสิ้นทุกอย่าง โมเสสจึงอวยพรพวกเขา

อพยพ 40

การก่อตั้งพลับพลาและการจัดวางอุปกรณ์

 1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2“ในวันที่หนึ่งเดือนที่หนึ่ง จงตั้งพลับพลา คือเต็นท์นัดพบขึ้น 3จงวางหีบแห่งสักขีพยานในพลับพลาและกั้นม่านบังหีบนั้นไว้ 4จงยกโต๊ะเข้ามาตั้งไว้ และจัดเครื่องใช้บนโต๊ะไว้ตามที่ของมัน แล้วจงนำคันประทีปนั้นเข้ามาและตั้งตะเกียงของคันประทีปให้เข้าที่ 5จงตั้งแท่นบูชาทองคำสำหรับเผาเครื่องหอมตรงหน้าหีบแห่งสักขีพยาน แล้วติดม่านบังตาที่ประตูพลับพลา 6จงตั้งแท่นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวไว้ตรงหน้าประตูพลับพลาคือหน้าประตูเต็นท์นัดพบ 7จงตั้งอ่างไว้ระหว่างเต็นท์นัดพบกับแท่นบูชา แล้วตักน้ำใส่อ่างนั้น 8จงกั้นเขตทำลานกว้างไว้รอบพลับพลา และติดม่านบังตาไว้ที่ประตูเข้าลานนั้น 9แล้วเจ้าจงเอาน้ำมันเจิมมาเจิมพลับพลากับทุกสิ่งที่อยู่ในพลับพลานั้น และชำระเครื่องใช้ทุกชิ้นให้บริสุทธิ์ แล้วพลับพลานั้นจะบริสุทธิ์ 10จงเจิมแท่นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และเครื่องใช้ทุกอย่างบนแท่นนั้น และชำระแท่นนั้นให้บริสุทธิ์ แล้วแท่นบูชานั้นจะบริสุทธิ์ที่สุด 11จงเจิมทั้งอ่างและฐานรองอ่าง อีกทั้งชำระให้บริสุทธิ์ด้วย 12แล้วเจ้าจงนำอาโรนกับบุตรของเขามาที่ประตูเต็นท์นัดพบ แล้วใช้น้ำล้างชำระตัวพวกเขาเสีย 13เจ้าจงสวมเสื้อตำแหน่งบริสุทธิ์ให้อาโรน แล้วเจิมและชำระเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อเขาจะเป็นปุโรหิตปรนนิบัติเรา 14แล้วจงนำบุตรของเขามาด้วย และสวมเสื้อยาวกรอมเท้าให้ 15จงเจิมพวกเขาเช่นเดียวกับที่เจิมบิดาของเขา เพื่อพวกเขาจะเป็นปุโรหิตปรนนิบัติเรา การเจิมนั้นจะเป็นการเจิมแต่งตั้งพวกเขาไว้เป็นปุโรหิตตลอดชาติพันธุ์ของเขาทั้งหลาย”
 16โมเสสทำทุกสิ่งตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาท่าน 17ในวันที่หนึ่งเดือนแรกปีที่สอง พวกเขาก็ตั้งพลับพลาขึ้น 18โมเสสตั้งพลับพลาขึ้น ท่านวางฐาน ตั้งกรอบไม้ ติดสลักกลอน และตั้งเสาขึ้น 19ท่านกางผ้าเต็นท์คลุมพลับพลา แล้วเอาผ้าคลุมบนเต็นท์ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส 20ท่านใส่พระโอวาทไว้ในหีบนั้น และสอดไม้คานไว้ข้างหีบ และตั้งพระที่นั่งกรุณาไว้บนหีบ 21แล้วท่านนำหีบนั้นไปไว้ในพลับพลา และกั้นม่านบังหีบแห่งสักขีพยานนั้นไว้ ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส 22ท่านตั้งโต๊ะไว้ในเต็นท์นัดพบทางทิศเหนือของพลับพลานอกม่านนั้น 23แล้วจัดเรียงขนมปังบนโต๊ะเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส 24และท่านตั้งคันประทีปไว้ในเต็นท์นัดพบตรงข้ามกับโต๊ะนั้นทางทิศใต้ของพลับพลา 25แล้วก็จัดตะเกียงให้เข้าที่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส 26ท่านตั้งแท่นบูชาทองคำในเต็นท์นัดพบตรงหน้าม่าน 27และเผาเครื่องหอมบนแท่นนั้น ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส 28ท่านกั้นม่านบังตาที่ประตูพลับพลา 29ท่านตั้งแท่นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวไว้ตรงประตูพลับพลา คือตรงประตูเต็นท์นัดพบ แล้วถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและเครื่องธัญบูชาบนแท่นนั้น ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส 30ท่านตั้งอ่างไว้ระหว่างเต็นท์นัดพบกับแท่นบูชา แล้วใส่น้ำในอ่างสำหรับชำระล้าง 31โมเสสกับอาโรน และบุตรชายของท่าน ล้างมือและเท้าด้วยน้ำในอ่างนั้น 32เมื่อไรที่เขาทั้งหลายจะเข้าไปในเต็นท์นัดพบ หรือเข้าไปใกล้แท่นบูชานั้น พวกเขาก็จะชำระล้างเสียก่อน ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส 33ท่านกั้นบริเวณลานรอบพลับพลาและแท่นนั้น แล้วกั้นม่านบังตาที่ตรงประตูลาน ดังนั้นโมเสสก็ทำงานเสร็จสมบูรณ์

เมฆและพระรัศมีปกคลุมพลับพลา

 34ในขณะนั้นมีเมฆมาปกคลุมเต็นท์นัดพบไว้ และพระรัศมีของพระยาห์เวห์ ก็ปรากฏอยู่เต็มพลับพลานั้น 35โมเสสเข้าไปในเต็นท์นัดพบไม่ได้ เพราะเมฆปกคลุมอยู่ และพระรัศมีของพระยาห์เวห์ก็อยู่เต็มพลับพลานั้น 36ตลอดการเดินทางของคนอิสราเอล เมื่อไรที่เมฆนั้นลอยขึ้นจากพลับพลา พวกเขาก็ออกเดินทางต่อไปทุกครั้ง 37แต่หากว่าเมฆนั้นไม่ได้ลอยขึ้นไป พวกเขาก็ไม่ออกเดินทางเลยจนกว่าจะถึงวันที่เมฆนั้นลอยขึ้นไป 38เพราะตลอดทางที่พวกเขาไปนั้น ในตอนกลางวันเมฆของพระยาห์เวห์อยู่เหนือพลับพลา และในตอนกลางคืนมีไฟในเมฆนั้นประจักษ์แก่ตาคนอิสราเอลทั้งหมด

อรรถาธิบาย

รอคอยพระเกียรติสิริชั่วนิรันดร์

ดาวิดมองเห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้าเมื่อเข้ามาในพระวิหาร เหล่าสาวกได้เห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้าเมื่อพระเยซูถูกยกขึ้นไปต่อหน้าพวกเขา เมื่อคุณรวมตัวกับประชากรของพระเจ้าคุณ ควรจะได้เห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้า

เมื่อพวกเขาสร้างพลับพลาเสร็จแล้ว (‘พลับพลา’, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) (ซึ่งอยู่หน้าพระวิหาร) เมฆปกคลุมเต็นท์นัดพบและ ‘พระเกียรติสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่’ (40:34, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) โมเสสไม่สามารถเข้าไปในเต็นท์นัดพบได้เนื่องจากเมฆได้ปกคลุมไปทั่ว และ ‘พระเกียรติสิริของพระเจ้าเต็มไปทั้งพลับพลา’ (ข้อ 35, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

พระเกียรติสิริของพระเจ้าทรงพลังอย่างเป็นรูปธรรมในขณะนั้น จริง ๆ แล้วจะเห็นได้ว่า ‘ประทับ’ อยู่ในพลับพลา คำภาษาฮีบรูสำหรับการประทับ (เชกินาห์ shekinah) บางครั้งใช้เพื่ออธิบายความรู้สึกที่ทรงพลังหรือจับต้องได้ของการทรงสถิตและพระเกียรติสิริของพระเจ้า

เมฆเหนือพลับพลาซึ่งแสดงถึงพระเกียรติสิริของพระเจ้าอยู่กับผู้คนของพระเจ้าตลอดการเดินทางของพวกเขา และนำพวกเขาไปทั้งกลางวันและกลางคืน (ข้อ 36–38) ขณะนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทรงนำคุณ นี่คือภูมิหลังของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเกี่ยวกับกลุ่มเมฆ และการจำแลงพระกาย สิ่งที่เปโตร ยากอบ และยอห์น ประสบในครั้งนั้นคือการมองเห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้า (มาระโก 9:7)

โดยทาง ‘ความสว่างของข่าวประเสริฐ คือเรื่องพระสิริของพระคริสต์’ (2 โครินธ์ 4:4) คุณจะได้เห็นพระเกียรติ สิริของพระเจ้า ‘เพราะว่าพระเจ้าผู้ตรัสว่า “ให้ความสว่างส่องออกมาจากความมืด” ทรงส่องสว่างเข้ามาในใจของเรา เพื่อให้เรามีความสว่างแห่งความรู้ถึงพระสิริของพระเจ้า ที่ปรากฏบนพระพักตร์ของพระคริสต์’ (ข้อ 6)

เป็นเวลาเพียงชั่วครู่และวันหนึ่งคุณจะเห็นความจริงเอง อัครสาวกเปาโลกล่าวว่านี่คือเหตุผลที่คุณไม่ควรท้อใจ แม้ในขณะที่คุณกำลังผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก ‘เพราะว่าความยากลำบากชั่วคราวและเล็กน้อยของเรา จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีนิรันดร์มากมายอย่างไม่มีที่เปรียบ’ (ข้อ 17)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณที่พระองค์กำลังเตรียมข้าพระองค์สำหรับช่วงเวลาที่พระองค์จะเปิดเผยพระเกียรติสิริของพระองค์ โปรดช่วยให้ข้าพระองค์เห็น ‘ศักดิ์ศรีนิรันดร์มากมายอย่างไม่มีที่เปรียบ’

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สดุดี 26:1–12

เพลงสดุดีนี้เป็นของดาวิด ฉันสนใจข้อ 1 ที่กล่าวว่า ‘ข้าพระองค์ดำเนินอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริตของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้วางใจในพระยาห์เวห์ ข้าพระองค์จะไม่หวั่นไหว’ ฉันหวังว่าจะพูดแบบเดียวกัน แต่ฉันรู้ว่าชีวิตของฉันห่างไกลจากความไร้ที่ติและมีความลังเลใจมากมายระหว่างทาง ปัญหาคือเรารู้ว่าชีวิตของดาวิดไม่ได้ไร้ที่ติ ทั้งที่เขาทำได้ดีมากและทำได้ไม่ดีอย่างที่คิด ในข้อ 11 กล่าวว่า ‘ขอทรงพระกรุณาแก่ข้าพระองค์’ ดาวิดรู้ว่าเขาต้องการความเมตตาจากพระเจ้าและฉันก็เช่นกัน

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม