วัน 81

วิธีต้านทานการล่อลวง

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 7:21-27
พันธสัญญาใหม่ ลูกา 3:23-4:13
พันธสัญญาเดิม กันดารวิถี 11:4-13:25

เกริ่นนำ

ไซเรน เป็นปีศาจหญิงลึกลับสามตนอาศัยอยู่บนเกาะในบทประพันธ์ของโฮเมอร์ เรื่องโอดิสซีย์ เมื่อใดก็ตามที่มีเรือแล่นผ่าน พวกมันจะยืนบนหน้าผา และขับร้องเพลงบทเพลงอันไพเราะของพวกมัน ซึ่งจะดึงดูดให้ชาวเรือเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดเรือของพวกเขาก็อับปางลงบนโขดหินที่อยู่ด้านล่าง

โอดิสเซียสอยากที่จะได้ยินเสียงเพลงของไซเรน แต่เขาก็ตระหนักดีถึงอันตราย เขาสั่งให้ลูกเรือมัดเขาไว้กับเสากระโดงเรือขณะที่พวกเขาเข้าใกล้เกาะ และอุดหูของพวกเขาด้วยขี้ผึ้ง เมื่อโอดิสเซียสได้ยินเสียงร้องของไซเรนสั่งให้เขาปลดเชือก แต่ลูกเรือมัดเขาแน่นขึ้น และแก้มัดเมื่ออันตรายได้ผ่านพ้นไปแล้วเท่านั้น

เรื่องราวมีพลังดึงดูดที่เราทุกคนรู้สึกในเวลาที่พุ่งเข้าหาตัวเลือกที่รู้ว่ามันไม่ดีและอาจเป็นสิ่งที่ทำลายล้าง ไม่มีใครที่ชีวิตปราศจากการทดลอง การทดลองไม่ใช่ความบาป พระเยซูทรง ‘ปราศจากบาป’ แม้พระองค์เคย ‘ถูกทดลองใจเหมือนเราทุกอย่าง’ (ฮีบรู 4:15)

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 7:21-27

21นางหว่านล้อมเขาด้วยคำเชิญชวนมากมาย
 นางชักจูงเขาด้วยคำพูดพะเน้าพะนอ
22เขาก็ติดตามนางไปทันที
 อย่างวัวตัวผู้ไปสู่การฆ่า
 หรืออย่างกวางเข้าไปติดกับดัก
23จนลูกธนูปักลึกถึงตับของมัน
 อย่างนกรนเข้าไปหาบ่วง
 เขาไม่รู้ว่า นี่มีค่าถึงชีวิต
24ลูกทั้งหลายเอ๋ย บัดนี้จงฟังข้า
 และจงใส่ใจถ้อยคำจากปากของข้า
25อย่าให้ใจของเจ้าหันไปตามทางของนาง
 อย่าหลงอยู่ในวิถีของนาง
26เพราะนางได้ฟัดเหยื่อลงเสียเป็นอันมาก
 เออ คนที่นางฆ่านั้นก็มากมายนับไม่ถ้วน
27บ้านของนางเป็นทางไปสู่แดนคนตาย
 ลงไปถึงห้องแห่งความตาย

อรรถาธิบาย

การทดลองให้นอกใจ

สดุดีบทนี้อธิบายถึงอำนาจและอันตรายของการล่อลวงทางเพศ

1.\tจงระวังการถูกหว่านล้อมด้วยคำเชิญชวน

จงระมัดระวังในสิ่งที่คุณฟังและสิ่งที่คุณอ่าน ‘นางหว่านล้อมเขาด้วยคำเชิญชวนมากมาย นางชักจูงเขาด้วยคำพูดพะเน้าพะนอ’ (ข้อ 21)

2.\tจงหลีกเลี่ยงการกระทำที่โง่เขลา

ความคิดและคำพูดในที่สุดก็นำไปสู่การกระทำ ‘เขาก็ติดตามนางไปทันที... เขาไม่รู้ว่า นี่มีค่าถึงชีวิต’ (ข้อ 22-23)

3.\tจงควบคุมความคิดที่หลงผิด

การล่อลวงมักจะเริ่มจากหัวใจของเรา ‘อย่าให้ใจของเจ้าหันไปตามทางของนาง อย่าหลงอยู่ในวิถีของนาง (หญิงล่วงประเวณี)’ (ข้อ 25 ดูใน มัทธิว 5:28)

จงเอาใจใส่ในคำเตือนนี้ ‘จงฟัง...จงใส่ใจถ้อยคำของข้าอย่างจริงจัง อย่าเกลือกกลั้ว... อย่าแม้กระทั่งเดินผ่านละแวกบ้านของนาง’ (สุภาษิต 7:24-25, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) การดำเนินตามเส้นทางนี้เป็น ‘ทางไปสู่แดนคนตาย ลงไปถึงห้องแห่งความตาย’ (ข้อ 27)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอทรงนำข้าพระองค์ให้พ้นจากสิ่งชั่วร้าย ขอทรงคุ้มครองใจของข้าพระองค์ ให้ข้าพระองค์มีความเข้าใจอันดี และโปรดนำย่างเท้าของข้าพระองค์

พันธสัญญาใหม่

ลูกา 3:23-4:13

การลำดับพงศ์พันธุ์ของพระเยซู

 23เมื่อพระเยซูทรงเริ่มพระราชกิจนั้น พระองค์มีพระชนมายุประมาณสามสิบพรรษา ในความคิดของคนทั่วไป เข้าใจว่าพระองค์เป็นบุตรของโยเซฟซึ่งเป็นบุตรของเฮลี 24เฮลีเป็นบุตรของมัทธัต มัทธัตเป็นบุตรของเลวี เลวีเป็นบุตรของเมลคี เมลคีเป็นบุตรยันนาย ยันนายเป็นบุตรของโยเซฟ 25โยเซฟเป็นบุตรของมัทธาธีอัส มัทธาธีอัสเป็นบุตรของอาโมส อาโมสเป็นบุตรของนาฮูม นาฮูมเป็นบุตรของเอสลี เอสลีเป็นบุตรของนักกาย 26นักกายเป็นบุตรของมาอาท มาอาทเป็นบุตรของมัทธาธีอัส มัทธาธีอัสเป็นบุตรของเสเมอิน เสเมอินเป็นบุตรของโยเสค โยเสคเป็นบุตรของโยดา 27โยดาเป็นบุตรของโยอานัน โยอานันเป็นบุตรของเรซา เรซาเป็นบุตรของเศรุบบาเบล เศรุบบาเบลเป็นบุตรของเชอัลทิเอล เชอัลทิเอลเป็นบุตรของเนรี 28เนรีเป็นบุตรของเมลคี เมลคีเป็นบุตรของอัดดี อัดดีเป็นบุตรของโคสัม โคสัมเป็นบุตรของเอลมาดัม เอลมาดัมเป็นบุตรของเอร์ 29เอร์เป็นบุตรของโยชูวา โยชูวาเป็นบุตรของเอลีเยเซอร์ เอลีเยเซอร์เป็นบุตรของโยริม โยริมเป็นบุตรของมัทธัต มัทธัตเป็นบุตรของเลวี 30เลวีเป็นบุตรของสิเมโอน สิเมโอนเป็นบุตรของยูดาห์ ยูดาห์เป็นบุตรของโยเซฟ โยเซฟเป็นบุตรของโยนาม โยนามเป็นบุตรของเอลียาคิม 31เอลียาคิมเป็นบุตรของเมเลอา เมเลอาเป็นบุตรของเมนนา เมนนาเป็นบุตรของมัทตะธา มัทตะธาเป็นบุตรของนาธัน นาธันเป็นบุตรของดาวิด 32ดาวิดเป็นบุตรของเจสซี เจสซีเป็นบุตรของโอเบด โอเบดเป็นบุตรของโบอาส โบอาสเป็นบุตรของสัลโมน สัลโมนเป็นบุตรของนาโชน 33นาโชนเป็นบุตรของอัมมีนาดับ อัมมีนาดับเป็นบุตรของอัดมิน อัดมินเป็นบุตรของอารนี อารนีเป็นบุตรของเฮสโรน เฮสโรนเป็นบุตรของเปเรศ เปเรศเป็นบุตรของยูดาห์ 34ยูดาห์เป็นบุตรของยาโคบ ยาโคบเป็นบุตรของอิสอัค อิสอัคเป็นบุตรของอับราฮัม อับราฮัมเป็นบุตรของเท-ราห์ เท-ราห์เป็นบุตรของนาโฮร์ 35นาโฮร์เป็นบุตรของเสรุก เสรุกเป็นบุตรของเรอู เรอูเป็นบุตรของเปเลก เปเลกเป็นบุตรของเอเบอร์ เอเบอร์เป็นบุตรของเช-ลาห์ 36เช-ลาห์เป็นบุตรของไคนาน ไคนานเป็นบุตรของอารฟาซัด อารฟาซัดเป็นบุตรของเชม เชมเป็นบุตรของโนอาห์ โนอาห์เป็นบุตรของลาเมค 37ลาเมคเป็นบุตรของเมธูเสลาห์ เมธูเสลาห์เป็นบุตรของเอโนค เอโนคเป็นบุตรของยาเรด ยาเรดเป็นบุตรของมาหะลาเลเอล มาหะลาเลเอลเป็นบุตรของไคนาน 38ไคนานเป็นบุตรของเอโนส เอโนสเป็นบุตรของเสท เสทเป็นบุตรของอาดัม อาดัมเป็นบุตรของพระเจ้า

ลูกา 4

พระเยซูทรงถูกทดลอง

 1พระเยซูทรงเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกลับจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณทรงนำพระองค์ไปในถิ่นทุรกันดาร 2ที่ซึ่งพระองค์ทรงถูกมารทดลองถึงสี่สิบวัน ตลอดวันเหล่านั้นพระองค์ไม่ได้เสวยอะไรเลย และเมื่อสิ้นสุดแล้ว พระองค์ก็ทรงหิว 3มารจึงพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินนี้ให้กลายเป็นขนมปัง” 4แต่พระเยซูตรัสตอบมารว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้’” 5แล้วมารจึงนำพระองค์ขึ้นไปบนที่สูง สำแดงราชอาณาจักรต่างๆ ทั่วพิภพให้พระองค์เห็นภายในพริบตาเดียว 6แล้วมารพูดกับพระองค์ว่า “อำนาจและความรุ่งโรจน์ทั้งหมดนี้เราจะยกให้แก่ท่าน เพราะว่าเราได้รับมอบสิทธิ์นี้ไว้แล้ว และเราปรารถนาจะให้ใครก็ได้ตามใจเรา 7ถ้าท่านกราบนมัสการเรา ทุกๆ สิ่งจะเป็นของท่าน” 8แต่พระเยซูตรัสตอบมารว่า “พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า
‘จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน
 และปรนนิบัติพระองค์ แต่ผู้เดียว’”

9แล้วมารจึงนำพระองค์ไปที่กรุงเยรูซาเล็ม และให้พระองค์ประทับอยู่ที่ยอดหลังคาพระวิหาร แล้วพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงกระโจนลงไปจากที่นี่ 10เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า
‘พระเจ้าจะรับสั่งเรื่องท่านต่อบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์
 ให้ป้องกันรักษาท่านไว้
11และ เหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่าน
 ไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน’ ”

12พระเยซูจึงตรัสตอบมารว่า “มีคำกล่าวไว้ว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน’” 13เมื่อมารทดลองทุกอย่างจนหมดแล้ว จึงจากพระองค์ไปจนกว่าจะถึงโอกาสเหมาะ

อรรถาธิบาย

การทดลองเหนือการควบคุม

พระเจ้าทรงอนุญาตให้มีการทดลองในชีวิตของคุณ หากคุณสามารถผ่านการทดลองเหล่านี้ไปได้ ความเชื่อของคุณจะเข้มแข็งมากขึ้น

พระเยซูทรงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการทดลอง พระเยซูทรงถูกทดลองถึง 40 วัน (4:2) ถึงแม้ว่าจะเป็นการกระทำของมารที่ทดลองพระองค์ (ข้อ 3) แต่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น (‘พระวิญญาณทรงนำพระองค์ไปในถิ่นทุรกันดาร’ ข้อ 1)

ช่วงเวลาแห่งการทดลองนี้เกิดขึ้นหลังจากการสัมผัสกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซูในบัพติศมาของพระองค์ ลำดับเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องปกติ ซึ่งนี่เป็นสาเหตุที่เราเตือนทุกคนในอัลฟ่าว่าพวกเขาอาจต้องเผชิญกับการทดลองที่เพิ่มขึ้นหลังจากช่วงสุดสัปดาห์ (ซึ่งจุดสำคัญอยู่ที่การทำงานและประสบการณ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์)

พระธรรมลูกาเน้นถึงเรื่องตัวตนของพระเยซูในฐานะที่เป็นพระบุตรของพระเจ้า (3:23-38) แต่การทดลองที่พระเยซูทรงเผชิญมักจะคล้ายกับสิ่งที่เราเผชิญ

การล่อลวงเหล่านี้วนเวียนอยู่กับเรื่องการควบคุม ทั้งเรื่องการควบคุมความอยาก การควบคุมความมักใหญ่ใฝ่สูง และการควบคุมชีวิตของเรา มารต้องการควบคุมชีวิตคุณ ในทางตรงกันข้ามพระเจ้าต้องการให้คุณรู้ถึงอิสรภาพ ที่มาจากการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์

1.\tความพึงพอใจในทันที

มารดึงดูดโดยใช้ความอยากอาหารของพระเยซู (ข้อ 3) และเสนอความพึงพอใจในทันที พระเยซูตรัสตอบมารว่า ‘มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้”’ (ข้อ 4)

ในระยะยาวความพึงพอใจในทันทีนำไปสู่ความท้อแท้ ความว่างเปล่า และความสิ้นหวัง การฟังพระเจ้า และสร้างความสัมพันธ์กับพระองค์นำไปสู่ความพึงพอใจ ความปีติยินดี และเป้าหมายฝ่ายจิตวิญญาณอันลึกซึ้ง

2.\tความมักใหญ่ใฝ่สูง

มารแสดงให้พระเยซูเห็นแผ่นดินโลกทั้งหมดในทันที ‘แล้วมารพูดกับพระองค์ว่า “อำนาจและความรุ่งโรจน์ทั้งหมดนี้เราจะยกให้แก่ท่าน... ถ้าท่านกราบนมัสการเรา ทุก ๆสิ่งจะเป็นของท่าน”’ (ข้อ 6-7)

การทดลองให้สะสมสิ่งต่าง ๆ เพื่อตัวเองนั้นมีพลังมาก ความมั่งคั่งทางวัตถุอาจนำไปสู่ ‘อำนาจ’ และ ‘ความรุ่งโรจน์’ (ข้อ 6) ในช่วงชีวิตนี้ แต่อันตรายก็คือความมั่นคงทางการเงินจะกลายเป็นความมักใหญ่ใฝ่สูงของเรา และเราจะวางใจในความมั่งคั่ง ไม่ใช่วางใจในพระเจ้า

พระเยซูตรัสตอบเกี่ยวกับการทดลองนี้ว่า ‘พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว”’ (ข้อ 8) ท้ายที่สุดแล้วมีเพียงสิ่งเดียวที่เชื่อถือได้โดยสิ้นเชิงคือความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้า นี่ต้องเป็นความทะเยอทะยานอันดับแรกของคุณ

3.\tลองดีในฤทธิ์อำนาจ

มารนำพระเยซูไปที่ยอดหลังคาพระวิหารและพูดว่า ‘ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงกระโจนลงไปจากที่นี่’ (ข้อ 9) จากนั้นมารอ้างข้อพระคัมภีร์ต่อพระองค์ (แน่นอนว่านอกบริบท) พระเยซูตรัสตอบข้อพระคัมภีร์นี้โดยใช้ข้อพระคัมภีร์ว่า ‘มีคำกล่าวไว้ว่า “อย่าทดลององค์พระผู้ เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน”’ (ข้อ 12)

คุณถูกเรียกให้มีชีวิตที่เชื่อฟังและรับใช้พระเจ้า พระเยซูทรงกระทำการอัศจรรย์บางอย่างระหว่างงานรับใช้ของพระองค์ ในการทำเช่นนี้พระองค์ทรงเชื่อฟังพระเจ้า และปฏิบัติตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ สิ่งนี้ค่อนข้างแตกต่างจากการทดสอบพระเจ้า แล้วขอให้พระองค์ช่วยเหลือคุณภายหลัง แทนที่จะคิดแผนการของตัวคุณเอง และขอให้พระเจ้าอวยพรแผนการเหล่านั้น แต่จงค้นหาแผนการของพระเจ้า และเชื่อฟังการทรงเรียกของพระองค์

พระเยซูทรงขับไล่มาร และการทดลองของมันด้วยพระคำของพระเจ้า พระองค์ทรงกล่าวซ้ำ ๆ ว่า ‘พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า...’ และได้อ้างถึงข้อพระคัมภีร์เพื่อตอบการโกหกและการทดลองของมารโดยตรง

มาร ‘จากพระองค์ไป’ แต่มารแค่เพียง ‘ล่าถอยไปชั่วคราว ซุ่มรอคอยโอกาสอื่น’ (ข้อ 13, พระคัมภีร์ตอน นี้จาก The Message โดยผู้แปล) นี่เป็นช่วงเวลาแห่งความโล่งใจในชีวิตที่การทดลองนั้นไม่รุนแรงสักเท่าไร แต่คุณมั่นใจได้เลยว่ามารจะพยายามกลับมาทดลองคุณให้หลงผิดอีกครั้ง

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการทำตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอโปรดทรงช่วยข้าพระองค์ให้อยู่ใกล้ชิดพระองค์ ให้ได้รู้ถึงถ้อยคำของพระองค์ และให้สามารถต้านทานการล่อลวง

พันธสัญญาเดิม

กันดารวิถี 11:4-13:25

4คนที่ปะปนมากับเขาทั้งหลายเป็นพวกที่มีความอยากกินเป็นอย่างมาก และคนอิสราเอลก็ร้องไห้คร่ำครวญอีกด้วยว่า “ใครจะให้เนื้อเรากิน? 5เราคิดถึงปลาที่เราเคยกินโดยไม่ต้องซื้อในอียิปต์ อีกทั้งแตงกวา แตงโม กระเทียมจีน หอมใหญ่ หัวกระเทียม 6บัดนี้จิตใจของเราก็ห่อเหี่ยว เราไม่เห็นอะไรเลยนอกจากมานาแปลว่า นี่อะไร?นี้” 7(มานานั้นเหมือนเมล็ดผักชี สีของมันเหมือนยางไม้ตะคร้ำ 8ประชาชนจะออกไปเก็บมาโม่ด้วยหินโม่หรือตำในครก และใส่หม้อต้มทำขนม รสของมานาเหมือนรสของขนมคลุกเคล้าด้วยน้ำมัน 9เมื่อน้ำค้างตกลงมาเหนือค่ายตอนกลางคืน มานาก็จะตกลงมากับน้ำค้างด้วย)
 10เมื่อโมเสสได้ยินประชาชนร้องไห้กันไปทั่วตระกูลต่างๆ โดยแต่ละคนอยู่ที่ประตูเต็นท์ของตน และพระยาห์เวห์กริ้วอย่างยิ่ง โมเสสก็ไม่พอใจแปลได้อีกว่า ก็ร้อนใจด้วย 11โมเสสจึงกราบทูลพระยาห์เวห์ว่า “ทำไมพระองค์จึงทรงให้ผู้รับใช้ของพระองค์ลำบากเช่นนี้? ทำไมข้าพระองค์จึงไม่เป็นที่โปรดปรานต่อพระองค์? พระองค์จึงทรงวางภาระเรื่องประชาชนทั้งหมดนี้ลงบนข้าพระองค์ 12ข้าพระองค์ตั้งครรภ์คนพวกนี้มาหรือ? ข้าพระองค์คลอดคนพวกนี้หรือ? พระองค์จึงตรัสกับข้าพระองค์ว่า ‘จงโอบอุ้มเขาทั้งหลายไว้ในอกของเจ้าเหมือนพี่เลี้ยงโอบอุ้มเด็กทารก และนำไปยังแผ่นดินที่พระองค์ทรงปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของเขา’ 13ข้าพระองค์จะหาเนื้อจากไหนมาให้แก่คนทั้งหมดนี้? เพราะพวกเขาร้องไห้ต่อข้าพระองค์ว่า ‘ขอเนื้อให้เรากิน’ 14ข้าพระองค์ไม่สามารถโอบอุ้มคนเหล่านี้แต่ลำพังเพราะเป็นภาระหนักเกินไปสำหรับข้าพระองค์ 15ถ้าพระองค์จะทรงทำต่อข้าพระองค์เช่นนี้ และถ้าข้าพระองค์เป็นที่โปรดปราน ก็ขอทรงประหารข้าพระองค์ทันทีเถิด ขออย่าให้ข้าพระองค์เห็นความทุกข์ยากของข้าพระองค์เลย”

ผู้ใหญ่เจ็ดสิบคน

 16พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงรวบรวมพวกผู้ใหญ่ในอิสราเอลให้เราเจ็ดสิบคน เป็นคนที่เจ้ารู้ว่าเป็นผู้ใหญ่ของประชาชนและเป็นเจ้าหน้าที่ของเขาทั้งหลาย จงพาพวกเขามาที่เต็นท์นัดพบและให้ยืนอยู่พร้อมกับเจ้าที่นั่น 17เราจะลงมาสนทนากับเจ้าที่นั่น และเราจะเอาจากวิญญาณที่มีอยู่บนเจ้ามาใส่บนคนเหล่านั้นด้วย และให้เขาทั้งหลายแบกภาระของประชาชนเหล่านี้ร่วมกับเจ้า เพื่อเจ้าจะไม่ต้องแบกคนเดียว 18และจงกล่าวกับประชาชนว่า ‘ให้พวกท่านชำระตัวให้บริสุทธิ์ในวันพรุ่งนี้ และท่านจะได้รับประทานเนื้อเพราะพวกท่านร้องไห้ต่อพระกรรณของพระยาห์เวห์ว่า “ใครจะทำให้เรามีเนื้อกิน? เมื่ออยู่ในอียิปต์เราก็สุขสบาย” เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์จะประทานเนื้อให้ท่านทั้งหลาย และพวกท่านจะได้รับประทาน 19ท่านจะได้รับประทานไม่ใช่แค่วันเดียว หรือสองวัน หรือห้าวัน หรือสิบวัน หรือยี่สิบวัน 20แต่หนึ่งเดือนเต็มๆ จนเนื้อล้นมาทางรูจมูกของพวกท่าน จนท่านเอือมระอา เพราะท่านทั้งหลายได้ทอดทิ้งพระยาห์เวห์ผู้ประทับท่ามกลางพวกท่าน และร้องไห้เฉพาะพระพักตร์พระองค์กล่าวว่า “ทำไมเราจึงออกมาจากอียิปต์?” ’ ” 21แต่โมเสสกราบทูลว่า “คนที่ข้าพระองค์อยู่ด้วยนั้นเป็นผู้ชายหกแสนคน และพระองค์ตรัสว่า ‘เราจะให้เขาทั้งหลายกินเนื้อจนครบหนึ่งเดือน’ 22จะมีฝูงแพะแกะและฝูงโคเพียงพอที่จะฆ่าให้เขาทั้งหลายกินหรือ? หรือแม้จะรวบรวมปลาทั้งหมดในทะเลมา แล้วจะมีเพียงพอให้พวกเขากินหรือ?” 23พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์สั้นไปหรือ? บัดนี้เจ้าจะเห็นว่าคำของเราจะสำเร็จเพื่อเจ้าจริงหรือไม่”
 24โมเสสก็ออกไปบอกประชาชน ถึงพระดำรัสของพระยาห์เวห์ และท่านรวบรวมพวกผู้ใหญ่ในประชาชนเจ็ดสิบคน แล้วให้พวกเขามายืนรอบๆ เต็นท์ 25และพระยาห์เวห์เสด็จลงมาในเมฆและตรัสกับโมเสส แล้วทรงเอาจากวิญญาณที่มีอยู่บนโมเสสใส่บนพวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนนั้นด้วย เมื่อวิญญาณมาอยู่บนเขาทั้งหลายแล้ว เขาทั้งหลายก็เผยพระวจนะ แต่ก็ไม่ได้ทำอีกเลย
 26มีสองคนที่ยังอยู่ในค่าย คนหนึ่งชื่อเอลดาด อีกคนหนึ่งชื่อเมดาด และวิญญาณมาอยู่บนเขาทั้งสอง (เขาทั้งสองอยู่ในกลุ่มคนที่ถูกจดชื่อไว้แต่ไม่ได้มาที่เต็นท์) และเขาทั้งสองก็เผยพระวจนะในค่าย 27มีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาบอกโมเสสว่า “เอลดาดและเมดาดกำลังเผยพระวจนะอยู่ในค่าย” 28และโยชูวาบุตรนูนซึ่งเป็นผู้รับใช้ของโมเสสตั้งแต่หนุ่มๆ กล่าวว่า “โมเสสเจ้านายของข้าพเจ้า โปรดห้ามเขาทั้งสองด้วย” 29แต่โมเสสบอกเขาว่า “ท่านเจ็บร้อนแทนข้าพเจ้าหรือ? ข้าพเจ้าอยากให้ประชาชนของพระยาห์เวห์เป็นผู้เผยพระวจนะทุกคน และข้าพเจ้าอยากให้พระยาห์เวห์ทรงใส่วิญญาณของพระองค์ไว้บนพวกเขา” 30โมเสสและพวกผู้ใหญ่ของคนอิสราเอลก็กลับไปที่ค่าย

ฝูงนกคุ่ม

 31แล้วมีลมมาจากพระยาห์เวห์พัดพาฝูงนกคุ่มจากทะเลมาตกอยู่ที่ข้างค่ายโดยอยู่รอบๆ ทั้งค่าย อยู่ห่างออกไปจากค่ายเป็นระยะทางเดินหนึ่งวัน และอยู่สูงจากพื้นดินประมาณหนึ่งเมตร 32วันนั้นประชาชนก็เที่ยวจับนกคุ่มกันทั้งวันทั้งคืน และตลอดวันถัดมาด้วย (คนที่จับได้น้อยที่สุดก็ได้ไม่ต่ำกว่าพันกิโลกรัม) แล้วเขาทั้งหลายก็เอามากางตากกันทั่วโดยอยู่รอบๆ ค่าย 33เมื่อเนื้อนกยังอยู่ระหว่างฟันของเขาทั้งหลาย ยังไม่ทันได้เคี้ยว พระยาห์เวห์ก็กริ้วประชาชนอย่างยิ่ง พระองค์ทรงประหารประชาชนด้วยภัยพิบัติร้ายแรง 34เขาจึงเรียกชื่อตำบลนั้นว่าขิบโรทหัทธาอาวาห์แปลว่า หลุมศพแห่งความอยากอาหาร เพราะเขาฝังศพคนทั้งหลายที่อยากกินอาหารที่นั่น 35ประชาชนยกออกเดินจากขิบโรทหัทธาอาวาห์ถึงฮาเซโรท และหยุดอยู่ที่ฮาเซโรท

กันดารวิถี 12

มิเรียมและอาโรนอิจฉาโมเสส

 1ต่อมามิเรียมกับอาโรนพูดต่อต้านโมเสสในเรื่องที่ท่านแต่งงานกับหญิงชาวคูช (เพราะโมเสสได้แต่งงานกับหญิงชาวคูชคนหนึ่ง) 2เขาทั้งสองกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ตรัสผ่านโมเสสคนเดียวเท่านั้นจริงหรือ? พระองค์ไม่ตรัสผ่านเราบ้างหรือ?” พระยาห์เวห์ทรงได้ยิน 3(โมเสสเป็นคนถ่อมใจยิ่งกว่าคนทั้งหมดบนพื้นแผ่นดิน) 4ทันใดนั้นพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสส อาโรน และมิเรียมว่า “เจ้าทั้งสามจงออกมาที่เต็นท์นัดพบ” เขาทั้งสามก็ออกมา 5พระยาห์เวห์เสด็จลงมาในเสาเมฆ และทรงยืนที่ประตูเต็นท์ พระองค์ทรงเรียกอาโรนและมิเรียม เขาทั้งสองก็มาข้างหน้า 6พระองค์ตรัสว่า “จงฟังถ้อยคำของเรา ถ้าจะมีผู้เผยพระวจนะขึ้นในพวกเจ้า เรา ยาห์เวห์จะสำแดงตัวต่อคนนั้นเป็นนิมิต เราจะพูดกับเขาทางฝัน 7แต่สำหรับโมเสสผู้รับใช้ของเราจะไม่เป็นเช่นนั้น ในครัวเรือนทั้งหมดของเรานั้น เขาซื่อสัตย์ 8เราพูดกับเขาซึ่งๆ หน้าอย่างชัดเจนโดยไม่พูดเป็นปริศนา และเขาได้เห็นสัณฐานของพระยาห์เวห์ ทำไมเจ้าทั้งสองกล้าพูดต่อต้านโมเสสผู้รับใช้ของเรา?”
 9พระยาห์เวห์กริ้วเขาทั้งสอง แล้วก็เสด็จไป 10เมื่อเมฆลอยพ้นเต็นท์ไป ดูสิ มิเรียมก็เป็นโรคเรื้อนขาวเหมือนหิมะ อาโรนหันไปดูมิเรียม และนี่แน่ะ นางเป็นโรคเรื้อน 11อาโรนจึงพูดกับโมเสสว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ขออย่าถือโทษบาปของเรา ซึ่งเป็นความเขลาและเป็นความบาปของเรา 12ขออย่าให้มิเรียมเป็นเหมือนคนที่ตายแล้ว เหมือนผู้ซึ่งคลอดจากครรภ์มารดาที่เนื้อกุดไปครึ่งหนึ่ง” 13แล้วโมเสสร้องทูลพระยาห์เวห์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงรักษานาง ข้าพระองค์ขอวิงวอนต่อพระองค์” 14และพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “ถ้าพ่อของนางถ่มน้ำลายรดหน้านาง นางจะอับอายอยู่เจ็ดวันไม่ใช่หรือ? จงกักนางไว้นอกค่ายเจ็ดวัน หลังจากนั้นจึงรับนางกลับเข้ามา” 15ดังนั้นมิเรียมจึงถูกกักอยู่นอกค่ายเจ็ดวัน และประชาชนก็ไม่ได้ยกออกเดินทางจนกว่าจะรับมิเรียมกลับเข้ามาอีก 16แล้วประชาชนก็ยกออกเดินทางจากตำบลฮาเซโรท ไปตั้งค่ายอยู่ที่ถิ่นทุรกันดารปาราน

กันดารวิถี 13

การส่งผู้สอดแนมเข้าคานาอัน

 1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2“จงส่งคนไปสอดแนมแผ่นดินคานาอันที่เราให้แก่คนอิสราเอล จงส่งคนจากเผ่าของบรรพบุรุษเผ่าละคน ทุกคนต้องเป็นผู้นำในเผ่านั้น” 3โมเสสจึงส่งพวกเขาไปจากถิ่นทุรกันดารปารานตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ ทุกคนเป็นหัวหน้าของคนอิสราเอล 4ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของคนเหล่านั้น

 ชัมมุวาบุตรศักเกอร์จากเผ่ารูเบน
 5ชาฟัทบุตรโฮรีจากเผ่าสิเมโอน
 6คาเลบบุตรเยฟุนเนห์จากเผ่ายูดาห์
 7อิกาลบุตรโยเซฟจากเผ่าอิสสาคาร์
 8โฮเชยาบุตรนูนจากเผ่าเอฟราอิม
 9ปัลทีบุตรราฟูจากเผ่าเบนยามิน
 10กัดเดียลบุตรโสดีจากเผ่าเศบูลุน
 11กัดดีบุตรสุสีจากเผ่าพันธุ์โยเซฟคือเผ่ามนัสเสห์
 12อัมมีเอลบุตรเกมัลลีจากเผ่าดาน
 13เสธูร์บุตรมีคาเอลจากเผ่าอาเชอร์
 14นาบีบุตรโวฟสีจากเผ่านัฟทาลี  15เกอูเอลบุตรมาคีจากเผ่ากาด
16เหล่านี้เป็นรายชื่อของคนที่โมเสสส่งไปสอดแนมที่แผ่นดินนั้น แต่โมเสสเรียกชื่อโฮเชยาบุตรนูนว่าโยชูวา
 17 โมเสสส่งเขาทั้งหลายไปสอดแนมแผ่นดินคานาอัน และสั่งพวกเขาว่า “จงเข้าไปทางเนเกบ แล้วขึ้นไปยังเขตเทือกเขา 18ตรวจดูว่าแผ่นดินนั้นเป็นอย่างไร และดูว่าคนที่อยู่ในแผ่นดินนั้น เข้มแข็งหรืออ่อนแอ มีจำนวนมากหรือน้อย 19ดูว่าแผ่นดินที่พวกเขาอยู่นั้นดีหรือเลว เมืองต่างๆ ที่เขาอยู่นั้นเป็นค่ายหรือมีกำแพงป้องกัน 20ดูว่าแผ่นดินนั้นอุดมสมบูรณ์หรือไม่ มีป่าไม้ในนั้นหรือไม่ ท่านทั้งหลายจงมีใจกล้าหาญ และนำผลไม้ของแผ่นดินนั้นกลับมาบ้างด้วย” (เวลานั้นเป็นฤดูผลองุ่นรุ่นแรกกำลังสุก)
 21เขาทั้งหลายจึงขึ้นไปสอดแนมแผ่นดิน ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารศิน จนถึงเรโหบตรงทางเข้าเมืองฮามัท 22เขาขึ้นไปทางเนเกบ ถึงเมืองเฮโบรนที่มีพวกคนอานาคคืออาหิมาน เชชัย และทัลมัยอยู่ที่นั่น (เมืองเฮโบรนนี้ถูกสร้างขึ้นก่อนเมืองโศอันในอียิปต์เจ็ดปี) 23เขาทั้งหลายมาถึงหุบเขาเอชโคล์ แล้วพวกเขาตัดองุ่นกิ่งหนึ่งที่มีองุ่นพวงหนึ่งจากที่นั่น ต้องใช้สองคนหามด้วยไม้คาน และพวกเขายังเก็บลูกทับทิมและมะเดื่อมาบ้าง 24เขาเรียกที่นั่นว่าหุบเขาเอชโคล์แปลว่า พวงผล เพราะพวงองุ่นซึ่งคนอิสราเอลตัดมาจากที่นั่น

ผู้สอดแนมรายงานโมเสส

 25เมื่อผ่านไป 40 วัน เขาทั้งหลายก็กลับจากการสอดแนมแผ่นดินนั้น

อรรถาธิบาย

การทดลองให้เปรียบเทียบ

ในขณะที่พระเยซูทรงถูกทดลองใน ‘ถิ่นทุรกันดาร’ (ลูกา 4:1) ประชาชนของพระเจ้าก็ถูกทดลองช่วงเวลาในถิ่นทุรกันดารนับปี ตัวอย่างในพระธรรมวันนี้เขียนขึ้นเพื่อเตือนเรา (ดูใน 1 โครินธ์ 10:6)

1. ความไม่พอใจ

พระเจ้าทรงจัดเตรียมอาหารสำหรับพวกเขา แต่พวกเขาอยากกิน ‘อาหารอื่น’ (กันดารวิถี 11:4) แทนที่จะขอบคุณพระเจ้าสำหรับการจัดเตรียมอันอัศจรรย์ของพระองค์ พวกเขาพูดว่า ‘ใครจะให้เนื้อเรากิน?’ (ข้อ 4ข) พวกเขายังคง ‘คร่ำครวญ’ (ข้อ 10, 13, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) และบ่นว่า

พวกเขาถูกทดลองให้ทำการเปรียบเทียบกับชีวิตเก่าในอียิปต์และหันหลังกลับไปในที่ซึ่งพวกเขาจากมา มันง่ายดายที่จะตกลงไปในหลุมพรางนี้ ย่อมมีเรื่องให้บ่นอยู่เสมอ แต่ถ้าเรามีสายตาที่มองเห็น เราจะรู้ว่าเราถูกรายล้อมไปด้วยความดี ความเมตตา การให้อภัย ความรัก และพระคุณของพระเจ้า

‘... จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสว่า “เราจะไม่ละท่านหรือทอดทิ้งท่านเลย”’ (ฮีบรู 13:5)

ยาแก้ความไม่พอใจคือการขอบพระคุณ จงปลูกฝังท่าทีแห่งการขอบคุณ

2. ความอิจฉา

เราได้เห็นตัวอย่างของความอิจฉาที่มิเรียม และอาโรนได้ถามว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสผ่านโมเสสคนเดียวเท่านั้นจริงหรือ? พระองค์ไม่ตรัสผ่านเราบ้างหรือ?’ (กันดารวิถี 12:2) เมื่อโยชูวาไม่พอใจผู้เผยพระวจนะคนอื่น ๆ ในค่าย โมเสสจึงถามว่า ‘ท่านเจ็บร้อนแทนข้าพเจ้าหรือ?’ (11:29) ในบริบทนี้คือความเป็นผู้นำและของประทานฝ่ายจิตวิญญาณ

โครงสร้างความเป็นผู้นำของโมเสสเกี่ยวข้องกับกลุ่มคน 3 คนที่อยู่ตรงกลาง (อาโรน มิเรียม และโยชูวา) จากนั้นมีผู้นำเผ่า 12 คนในอิสราเอล (13:4-15) ตามด้วยผู้นำและข้าราชการ 70 คน (11:16 เป็นต้นไป) สิ่งนี้คล้ายกับวงในทั้งสามของพระเยซู มีอัครสาวก 12 คน และคนอื่น ๆ อีก 72 คน (ดูใน ลูกา 10) เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จากโมเสสถูกเจิมบนคนทั้ง 70 คนแล้ว ‘เขาทั้งหลายก็เผยพระวจนะ’ (กันดารวิถี 11:25)

เช่นเดียวกับโมเสส ที่พยายามหลีกเลี่ยงการทดลองให้เปรียบเทียบและอิจฉาเมื่อเห็นว่าพระเจ้าทรงใช้คนอื่น ๆ ในทางที่มีฤทธิ์อำนาจ โมเสสตระหนักดีว่าเขาต้องการความช่วยเหลือทั้งสิ้นที่เขาจะหาได้ เขาพูดว่า ‘ข้าพเจ้าอยากให้ประชาชนของพระยาห์เวห์เป็นผู้เผยพระวจนะ ทุกคน และข้าพเจ้าอยากให้พระยาห์เวห์ทรงใส่วิญญาณของพระองค์ไว้บนพวกเขา!’ (ข้อ 29) เขาไม่ได้รู้สึกว่าเขาต้องเป็นเพียงผู้เดียวที่พระเจ้าทรงใช้ พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘เราจะเอาจากวิญญาณที่มีอยู่บนเจ้ามาใส่บนคนเหล่านั้นด้วย และให้เขาทั้งหลายแบกภาระของประชาชนเหล่านี้ร่วมกับเจ้า เพื่อเจ้าจะไม่ต้องแบกคนเดียว’ (ข้อ 17)

3. ความทะนงตน

ความอิจฉามาจากการเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่น และคิดว่าเราด้อยกว่า ความทะนงมาจากการคิดถึงตัวเองมากเกินไป เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นและคิดว่าเราดีกว่า

โมเสสก็ต้องต้านทานความทะนงตน ความทะนงตนเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ พระเจ้าทรงรักคนที่ใจถ่อม ดังที่ ซี.เอส. ลูอิสกล่าวไว้ว่า ‘ความถ่อมใจที่แท้จริงไม่ใช่การดูถูกตัวเอง แต่เป็นการคิดถึงตัวเองให้น้อยลง’

‘โมเสสเป็นคนถ่อมใจยิ่งกว่าคนทั้งหมดบนพื้นแผ่นดิน’ (12:3) นี่อาจเป็นสาเหตุที่พระเจ้าทรงใช้โมเสสในทางที่มีฤทธิ์อำนาจ

โมเสสเป็นคน ‘ถ่อมใจ’ (ข้อ 3) ‘ซื่อสัตย์’ (ข้อ 7) มีความเห็นอกเห็นใจและให้อภัย (ข้อ 13) ทั้งหมดนี้เกิดจากความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่เขามีกับพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าตรัสกับเขาอย่างใกล้ชิดเป็นการส่วนตัว (‘เราพูดกับเขาซึ่ง ๆ หน้า’ ข้อ 8)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้ต้านทานการทดลองของความไม่พอใจ ความอิจฉา และความทะนงตน ขอโปรดทรงช่วยข้าพระองค์ให้เป็นคนที่น่าเชื่อถือ ซื่อสัตย์ และถ่อมใจ

เพิ่มเติมโดยพิพพา

กันดารวิถี 11:4-6

ฉันเห็นอกเห็นใจชาวอิสราเอลอยู่บ้าง การได้รับมานาทุกวันเป็นเวลา 40 ปี ดูเหมือนจะน่าเบื่อ ฉันมีสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอเล็กน้อย ดังนั้นฉันจึงค่อนข้างจู้จี้เรื่องอาหาร ฉันมั่นใจว่ามานาอร่อยและดี สำหรับตัวคุณ เพราะเมื่อคุณหิว อาหารส่วนใหญ่จะอร่อย การเรียนรู้ที่จะพอใจและรู้สึกขอบคุณในสิ่งที่เรามีนั้นสำคัญมาก

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม