วัน 86

การเต็มล้นแห่งพระพร

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 37:21-31
พันธสัญญาใหม่ ลูกา 6:12-36
พันธสัญญาเดิม กันดารวิถี 21:4-22:20

เกริ่นนำ

แม่ชีเทเรซา เคยให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร Hello! เมื่อเธอถูกถามว่า ‘แค่เพียงคนมั่งคั่งเท่านั้นหรือที่ให้ได้?’

เธอตอบว่า ‘ไม่ใช่ แม้แต่คนที่ยากจนที่สุดก็ยังให้ได้ วันก่อนมีขอทานที่น่าสงสารคนหนึ่งมาหาดิฉันและพูดว่า “ใคร ๆ ก็ถวายให้แม่ชีและผมเองก็อยากถวายให้ยี่สิบรูปีเช่นกัน” (ซึ่งราว ๆ สองเพนนี) ตอนนั้นดิฉันคิดกับ ตัวเองว่าจะต้องทำเช่นไรดี? ถ้ารับเอาจากเขา เขาก็จะไม่มีอะไรกิน แต่ถ้าไม่รับ ก็ดูจะใจร้ายกับเขามาก ดังนั้นดิฉันจึงรับเงินเขามา และเขาก็มีความสุขมากที่ได้มอบเงินให้แม่ชีเทเรซาแห่งกัลกัตตาเพื่อช่วยเหลือคนยากจน การให้ด้วยใจสะอาดช่วยให้คุณใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น คุณจะได้รับผลตอบแทนอย่างมากมาย'

ใจที่กว้างขวางไม่ได้เป็นเพียงลักษณะนิสัยที่ดีที่ทุกคนพึงมี แต่เป็นหัวใจสำคัญของความเชื่อของเรา ซี.เอส. ลูอิส ให้คำจำกัดของความเป็นคริสเตียนว่าเป็นดั่ง ‘การให้อย่างหนึ่ง’ พระเจ้าทรงเทพระเมตตาลงมาเหนือคุณผ่านทางพระเยซู (ยอห์น 3:16) คุณถูกเรียกให้ตอบสนองโดยความเชื่อและมีเมตตาต่อผู้อื่น เนื้อหาแต่ละตอนในวันนี้เกี่ยวกับพระพรและคำแช่งสาป กุญแจสู่ความเต็มล้นบริบูรณ์แห่งพระพร คือการให้ด้วยใจที่กว้างขวาง ‘คนชอบธรรมใจกว้างและแจกจ่าย’ (สดุดี 37:21)

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 37:21-31

21คนอธรรมขอยืม และไม่คืน
 แต่คนชอบธรรมใจกว้างและแจกจ่าย
22เพราะผู้ที่พระองค์ทรงอวยพรจะได้แผ่นดินเป็นมรดก
 แต่ผู้ที่พระองค์สาปจะถูกตัดออกไป
23พระยาห์เวห์ทรงนำย่างเท้าคนใดให้มั่นคง
 ก็คนนั้นแหละที่พระองค์พอพระทัยทางของเขา
24แม้เขาสะดุด เขาจะไม่ล้มลง
 เพราะพระยาห์เวห์ทรงยุดมือเขาไว้
25ข้าพเจ้าเคยหนุ่ม และเดี๋ยวนี้แก่แล้ว
 แต่ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นคนชอบธรรมถูกทอดทิ้ง
หรือเห็นพงศ์พันธุ์ของเขาขอทาน
26เขาใจกว้างและให้ยืมเสมอ
 และพงศ์พันธุ์ของเขาก็เป็นพระพร
27จงหันจากความชั่ว และจงทำความดี
 แล้วท่านจะดำรงอยู่เป็นนิตย์
28เพราะพระยาห์เวห์ทรงรักความยุติธรรม
 พระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งผู้จงรักภักดีของพระองค์
พระองค์จะทรงคุ้มครองคนเหล่านั้นเป็นนิตย์
 แต่พงศ์พันธุ์ของคนอธรรมจะถูกตัดออกไป
29คนชอบธรรมจะได้แผ่นดินเป็นมรดก
 และอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นนิตย์
30ปากของคนชอบธรรมกล่าวสติปัญญา
 และลิ้นของเขาพูดความยุติธรรม
31ธรรมบัญญัติของพระเจ้าอยู่ในจิตใจของเขา
 และย่างเท้าของเขาจะไม่พลาด

อรรถาธิบาย

จงมีใจที่กว้างขวางเสมอ

หลายคนเป็น ‘ผู้ให้’ และหลายคนเป็น ‘ผู้รับ’ ตามคำกล่าวของดาวิดนี่คือความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง ‘คนชอบธรรม’ กับ ‘คนอธรรม’ ‘คนอธรรมขอยืมแต่ไม่คืน คนชอบธรรมให้และให้ด้วยใจกว้างและแจกจ่ายให้กับผู้อื่น’ (ข้อ 21–22ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ใจที่กว้างขวางไม่ใช่การกระทำที่เป็นครั้งคราวแต่มันคือชีวิต ผู้มีใจที่กว้างขวางคือมี ‘ใจกว้างเสมอ และให้ยืมเสมอ’ (ข้อ 26) พระเจ้าทรงพอพระทัยในผู้ที่ดำเนินชีวิตเช่นนี้ (ข้อ 23) คุณอาจเผชิญปัญหาและสะดุด แต่คุณจะไม่ล้ม (ข้อ 24) พระสัญญาของพระเจ้า คือเทพระพรมาเหนือคุณและลูกหลานของคุณ (ข้อ 25–26)

ปัจจุบันเรามักพบเจอกับ ‘พงศ์พันธุ์ของเขาขอทาน’ อยู่มากมาย (ข้อ 25) ภาพรวมที่เห็นเด่นชัดของพระธรรมสดุดีตอนนี้ คือ ภาพของประชากรของพระเจ้าที่ยึดมั่นในการมีใจที่กว้างขวางต่อกันและกัน ทั้งการให้และการรับ คือบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าในการให้อย่างใจกว้างขวางแก่คนยากจนซึ่งพวกเขาจะพบว่าความปรารถนาของตนเองได้รับการตอบสนองเมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตจมดิ่งลง ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ทาง การเงินหรือเรื่องอื่น ๆ การช่วยเหลือจะมีผ่านทางพี่น้องเมื่อยามพวกเขาขัดสน

วันนี้ให้เราตระหนักถึงความจำเป็นสูงสุดทั้งที่อยู่ใกล้ตัวและไกลตัว พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับประชาชนของพระองค์ คือการแบ่งปันซึ่งกันและกัน นั่นคือการ ‘[ให้] แจกจ่าย’ (ข้อ 21) ให้เราใช้ทุกโอกาสในการให้ด้วยใจกว้างขวาง แล้วคุณจะได้รับพระพรจากพระเจ้าอย่างเต็มล้น

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับพระสัญญาที่น่าอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงประทานกับผู้ที่ให้ด้วยใจที่กว้างขวาง ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์ที่จะไม่พึงพอใจกับระดับการให้ของข้าพระองค์ แต่พยายามที่จะเป็นคนใจกว้างมากขึ้นอยู่เสมอ

พันธสัญญาใหม่

ลูกา 6:12-36

การทรงเลือกสาวกสิบสองคน

 12ในเวลาต่อมาพระเยซูเสด็จไปที่ภูเขาเพื่อจะอธิษฐาน พระองค์ทรงอธิษฐานต่อพระเจ้าตลอดทั้งคืน 13พอถึงรุ่งเช้า พระองค์ทรงเรียกพวกสาวกมา แล้วทรงเลือกสาวกสิบสองคนผู้ซึ่งพระองค์ทรงให้ชื่อว่าอัครทูต 14ได้แก่ ซีโมนที่พระองค์ทรงให้ชื่อว่าเปโตร อันดรูว์น้องชายของเปโตร ยากอบและยอห์น ฟีลิปและบารโธโลมิว 15มัทธิวและโธมัส ยากอบบุตรอัลเฟอัส ซีโมนที่เรียกกันว่าเศโลเท 16ยูดาสบุตรของยากอบ และยูดาสอิสคาริโอท ผู้ซึ่งต่อมาทรยศพระองค์

การทรงปรนนิบัติมวลชน

 17แล้วพระองค์กับอัครทูตสิบสองคนนั้นก็ลงมายืนอยู่บนที่ราบแห่งหนึ่ง พร้อมกับสาวกคนอื่นๆ และมหาชนที่มาจากทั่วแคว้นยูเดีย กรุงเยรูซาเล็ม รวมทั้งเมืองไทระและเมืองไซดอนซึ่งเป็นเมืองชายฝั่งทะเล เพื่อจะฟังพระองค์และให้พระองค์ทรงรักษาโรคของเขา 18บรรดาคนที่ต้องทนทุกข์เพราะผีโสโครกก็ได้รับการรักษาให้หายด้วย 19ฝูงชนทั้งหมดต่างพยายามที่จะสัมผัสพระองค์ เพราะว่ามีฤทธิ์เดชซ่านออกจากพระองค์และรักษาพวกเขาให้หายได้ทุกคน

พรและวิบัติ

 20พระองค์ทอดพระเนตรดูพวกสาวกของพระองค์แล้วตรัสว่า
 “ท่านทั้งหลายที่ยากจนก็เป็นสุข
  เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของท่าน
 21“ท่านทั้งหลายที่อดอยากเวลานี้ก็เป็นสุข
  เพราะว่าท่านจะได้อิ่มท้อง
“ท่านทั้งหลายที่ร้องไห้เวลานี้ก็เป็นสุข
  เพราะว่าท่านจะได้หัวเราะ
22“ท่านทั้งหลายเป็นสุขแม้มีคนเกลียดชังท่าน ไล่ท่านออกจากพวกเขา ประณามท่าน และเหยียดหยามท่านว่าเป็นคนชั่วช้าเนื่องจากท่านเห็นแก่บุตรมนุษย์ 23ในวันนั้นท่านทั้งหลายจงชื่นชมยินดีและโลดเต้น เพราะบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ บรรพบุรุษของเขาก็ทำอย่างนั้นกับพวกผู้เผยพระวจนะเหมือนกัน
 24“แต่วิบัติแก่พวกท่านที่ร่ำรวย
  เพราะว่าท่านได้รับความสะดวกสบายแล้ว
 25“วิบัติแก่พวกท่านที่อิ่มท้องในเวลานี้
  เพราะว่าท่านจะอดอยาก
 “วิบัติแก่พวกที่หัวเราะในเวลานี้
  เพราะว่าท่านจะเป็นทุกข์และร้องไห้
26“วิบัติเมื่อทุกคนบอกว่าท่านดี เพราะบรรพบุรุษของเขาก็ทำอย่างนั้นกับพวกผู้เผยพระวจนะเท็จเหมือนกัน

ความรักที่พึงมีต่อศัตรู

 27“แต่เราบอกพวกท่านที่กำลังฟังอยู่ว่า จงรักศัตรูของท่าน จงทำดีกับคนที่เกลียดชังท่าน 28จงอวยพรแก่คนที่แช่งด่าท่าน จงอธิษฐานเผื่อคนที่ทำร้ายท่าน 29ใครตบแก้มของท่านข้างหนึ่ง จงหันอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย ใครเอาเสื้อคลุมของท่านไป ถ้าเขาจะเอาเสื้อด้วยก็อย่าหวง 30จงให้แก่ทุกคนที่ขอจากท่าน และถ้าใครเอาสิ่งของของท่านไป ก็อย่าทวงคืน 31จงปฏิบัติต่อคนอื่นเหมือนอย่างที่พวกท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน
 32“ถ้าพวกท่านรักเฉพาะคนที่รักท่าน ควรนับว่าเป็นคุณความดีของท่านด้วยหรือ? เพราะแม้แต่พวกคนบาปก็ยังรักเฉพาะคนที่รักเขาเหมือนกัน 33ถ้าพวกท่านทำดีเฉพาะกับคนที่ทำดีต่อท่าน ควรนับว่าเป็นคุณความดีของท่านหรือ? เพราะแม้แต่พวกคนบาปก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน 34ถ้าท่านทั้งหลายให้ยืมเฉพาะคนที่ท่านหวังจะได้คืน ควรนับว่าเป็นคุณความดีของท่านหรือ? เพราะแม้แต่พวกคนบาปก็ยังให้คนบาปยืมโดยหวังจะได้คืนเหมือนกัน 35แต่จงรักศัตรูของท่านและทำดีต่อเขา จงให้เขายืมโดยไม่หวังที่จะได้คืน แล้วบำเหน็จของท่านทั้งหลายจะมีบริบูรณ์ แล้วท่านจะเป็นบุตรขององค์ผู้สูงสุด เพราะว่าพระองค์ทรงพระกรุณาทั้งต่อคนอกตัญญูและคนชั่ว 36พวกท่านจงมีใจเมตตากรุณาเหมือนอย่างพระบิดาของท่านมีพระทัยเมตตากรุณา

อรรถาธิบาย

จงใจกว้างกับทุกคน

พระเยซูทรงใช้เวลาทั้งคืนในอธิษฐานต่อพระเจ้า พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยสติปัญญาอันเต็มล้นในการเลือกสาวกของพระองค์ ทั้งยังทรงเปี่ยมไปด้วยฤทธิ์เดชในการรักษาคนป่วย ‘ฝูงชนทั้งหมดต่างพยายามที่จะสัมผัสพระองค์ เพราะว่ามีฤทธิ์เดชซ่านออกจากพระองค์และรักษาพวกเขาให้หายได้ทุกคน’ (ข้อ 19)

พระเยซูทรงเปรียบเทียบคนที่สะสมทรัพย์สมบัติเพื่อตนเอง (ผู้รับ) กับคนที่ใจกว้างทางฝ่ายจิตวิญญาณ (ผู้ให้)

เหลือทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าในชีวิตของเหล่า ‘คนรวย’ พวกที่ ‘ที่อิ่มท้อง’ ที่พรั่งพรูไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุขสำราญ (ข้อ 24–26) เพราะนั่นทำให้พวกเขารู้สึกเติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็มและรู้สึก ‘อดอยาก’ ในท้ายที่สุด (ข้อ 25)

แต่หนทางแห่งพระพรที่มาสู่เรานั้นเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง อันเป็นวิธีที่เต็มเปี่ยมด้วยพระเมตตา ซึ่งอาจจะมาพร้อมกับความยากจน ความอดอยาก การร้องไห้ การถูกเกลียดชัง ถูกไล่ ดูประนาม และถูกเหยียดหยาม (ข้อ 20–22) แต่กลับทำให้เราได้รับการเติมเต็มอย่างเต็มล้น (‘ท่านจะได้อิ่มท้อง’, ข้อ 21) และมีความสุข (‘ท่านจะได้หัวเราะ’, ข้อ 21)

พระเยซูทรงเรียกให้เรามีใจกว้างขวางต่อศัตรู ‘จงรักศัตรูของท่าน ... ถ้ามีใครแย่งเสื้อคลุมของคุณไปก็ให้แถม เสื้อตัวข้างในกับเขาไปด้วย...ไม่มีการโต้ตอบแบบตาต่อตา จงอยู่อย่างใจกว้าง’ (ข้อ 27–29, พระคัมภีร์ตอนนี้ จาก The Message โดยผู้แปล)

มีเมตตากับทุกคน ‘ให้ทุกคน’ (ข้อ 30) นี่คือท่าทีของการให้ด้วยใจที่กว้างขวาง ‘โดยไม่หวังที่จะได้คืน’ (ข้อ 35)

เช่นเคยที่พระเยซูเพียงเรียกร้องให้เราเลียนแบบหัวใจแห่งการให้ที่กว้างขวางของพระเจ้า ‘ช่วยเหลือและให้ โดยไม่หวังผลตอบแทน ท่านจะไม่มีวันเสียใจตามที่สัญญาไว้ จงดำเนินชีวิตตามอัตลักษณ์ที่พระเจ้าสร้างขึ้นนี้ ตามวิถีชีวิตที่พระบิดามีต่อเราด้วยความใจกว้างและสง่างาม แม้ว่าเราจะลำบาก พระบิดาของเราทรงพระกรุณา คุณจงมีใจเมตตากรุณา’ (ข้อ 35–36, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

การมีใจที่กว้างขวางต่อศัตรูไม่เพียงแต่หมายถึงการให้อภัยพวกเขาเท่านั้น แต่เป็นการอวยพรพวกเขาด้วย คุณต้องไม่เอ่ยวาจาที่ชั่วร้าย แม้ว่าคุณอาจจะคิดว่าพวกเขาสมควรได้รับก็ตาม คุณต้องอธิษฐานเพื่อพวกเขา อวยพรพวกเขาและพูดถึงพวกเขาในทางที่ดี ดังที่เนลสัน แมนเดลา กล่าวไว้ว่า ‘ความแค้นก็เหมือนกับการดื่มยาพิษและรอให้ศัตรูของคุณตาย' แต่จงมีใจเมตตากรุณาเหมือนอย่างพระบิดาของท่าน (ข้อ 36)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ให้รักศัตรู และทำความดีต่อผู้ที่เกลียดชังข้าพระองค์ อวยพรผู้ที่สาปแช่งข้าพระองค์ และอธิษฐานเผื่อผู้ที่ปฏิบัติไม่ดีต่อข้าพระองค์ ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ด้วยความเมตตากรุณาเช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงพระกรุณา

พันธสัญญาเดิม

กันดารวิถี 21:4-22:20

4พวกเขาออกเดินจากภูเขาโฮร์ตามทางที่ไปทะเลแดง เพื่อจะอ้อมแผ่นดินเอโดม ประชาชนเกิดความท้อแท้ระหว่างทาง 5แล้วประชาชนก็ต่อว่าพระเจ้าและโมเสสว่า “ทำไมพาเราออกจากอียิปต์ให้มาตายในถิ่นทุรกันดาร? เพราะไม่มีอาหารและไม่มีน้ำ เราเกลียดอาหารอันไร้ค่านี้” 6และพระยาห์เวห์ทรงส่งพวกงูพิษมาในหมู่ประชาชน งูก็กัดประชาชน และคนอิสราเอลตายเป็นจำนวนมาก 7และประชาชนมาหาโมเสสกล่าวว่า “เราทำบาปเพราะเราต่อว่าพระยาห์เวห์และต่อว่าท่าน ขอทูลวิงวอนพระยาห์เวห์ให้พระองค์ทรงนำงูไปจากเรา” ดังนั้นโมเสสจึงทูลวิงวอนเพื่อประชาชน 8และพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงทำงูพิษภาษาฮีบรูไม่มีคำว่า งูตัวหนึ่งติดไว้บนเสา และทุกคนที่ถูกงูกัดมองดูงูนั้น ก็จะมีชีวิตอยู่ได้” 9ดังนั้นโมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ตัวหนึ่ง และติดไว้บนเสา และเมื่องูกัดใคร ถ้าคนนั้นมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้น เขาก็มีชีวิตอยู่ได้

การเดินทางไปโมอับ

10แล้วคนอิสราเอลก็ออกเดินทางไปตั้งค่ายอยู่ที่โอโบท 11และพวกเขาออกเดินทางจากโอโบทไปตั้งค่ายอยู่ที่อิเยอาบาริม ซึ่งอยู่ในถิ่นทุรกันดารตรงข้ามโมอับ ทางด้านตะวันออก 12และจากที่นั่นพวกเขาออกเดินทางไปตั้งค่ายอยู่ที่หุบเขาเศเรด 13แล้วพวกเขาออกเดินทางจากที่นั่นไปตั้งค่ายอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของลุ่มแม่น้ำอารโนน ซึ่งอยู่ในถิ่นทุรกันดารที่ยืดมาจากพรมแดนของคนอาโมไรต์ เพราะว่าแม่น้ำอารโนนเป็นพรมแดนของโมอับ ระหว่างโมอับกับคนอาโมไรต์ 14ดังนั้นในหนังสือสงครามของพระยาห์เวห์จึงกล่าวไว้ว่า
 วาเฮบในเมืองสุฟาห์ ทั้งหุบเขา
 แม่น้ำอารโนน 15และที่เชิงลาดของหุบเขา
 ซึ่งยืดไปจนถึงที่ตั้งของเมืองอาร์
 และพาดไปตามพรมแดนของโมอับ
16แล้วจากที่นั่นก็เดินทางต่อไปถึงเมืองเบเออร์ ซึ่งเป็นบ่อน้ำที่พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงรวบรวมประชาชนเข้าด้วยกันและเราจะให้น้ำแก่พวกเขา” 17แล้วอิสราเอลจึงร้องเพลงนี้ว่า
 จงมีน้ำพลุ่งขึ้น บ่อน้ำเอ๋ย จงร้องเพลงให้บ่อน้ำเถิด
 18คือบ่อน้ำที่พวกหัวหน้าขุดไว้
 เป็นบ่อที่เจ้านายของประชาชนเจาะไว้
 ด้วยคทาและไม้เท้าของเขาทั้งหลาย
และจากถิ่นทุรกันดารนั้นพวกเขาก็มาถึงมัทธานาห์ 19และจากมัทธานาห์ถึงตำบลนาหะลีเอล และจากนาหะลีเอลถึงตำบลบาโมท 20และจากบาโมทถึงหุบเขาในถิ่นของโมอับที่อยู่ข้างยอดเขาปิสกาห์ซึ่งมองลงมาเห็นเยชิโมน

อิสราเอลชนะพระราชาสิโหน

 21แล้วอิสราเอลส่งผู้สื่อสารไปเข้าเฝ้าสิโหนกษัตริย์คนอาโมไรต์ทูลว่า 22“ขอให้ข้าพระบาทผ่านดินแดนของฝ่าพระบาท พวกข้าพระบาทจะไม่เลี้ยวเข้าไปในไร่นาหรือในสวนองุ่น จะไม่ดื่มน้ำจากบ่อน้ำ แต่จะเดินไปตามทางหลวงจนเราผ่านพรมแดนของฝ่าพระบาท” 23แต่สิโหนไม่ยอมให้อิสราเอลผ่านดินแดนของพระองค์ พระองค์ทรงรวบรวมประชาชนทั้งหมดของพระองค์ยกออกสู้กับคนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร และมารบกับคนอิสราเอลที่ยาฮาส 24และคนอิสราเอลได้สังหารพระองค์ด้วยคมดาบ และยึดแผ่นดินของพระองค์ตั้งแต่แม่น้ำอารโนนจนถึงแม่น้ำยับบอก ไกลไปจนถึงดินแดนคนอัมโมน เพราะว่าพรมแดนของคนอัมโมนนั้นแข็งแกร่ง 25คนอิสราเอลก็ยึดเมืองทั้งหมด และคนอิสราเอลเข้าอาศัยอยู่ในทุกเมืองของคนอาโมไรต์ในเฮชโบน และตามชนบทของเมืองนั้นๆ 26เพราะว่าเฮชโบนเป็นเมืองของสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ ผู้ทรงต่อสู้กับกษัตริย์โมอับองค์ก่อน และทรงยึดแผ่นดินทั้งหมดของพระองค์ไกลไปถึงแม่น้ำอารโนน 27เพราะฉะนั้น ผู้เขียนบทประพันธ์จึงกล่าวว่า
 จงมาที่เฮชโบน มาสร้างเมืองนี้
  และให้เมืองของสิโหนถูกสร้างขึ้น
 28เพราะว่ามีไฟออกมาจากเฮชโบน
  มีเปลวเพลิงออกมาจากเมืองของสิโหน
 มันได้เผาผลาญเมืองอาร์แห่งโมอับ
  คือบรรดาเจ้าแห่งเนินสูงของแม่น้ำอารโนน
 29วิบัติจงมีแก่โมอับ
  ชนชาติของพระเคโมชจะพินาศ
 พระเคโมชทำให้พวกบุตรชายของตนเป็นผู้ลี้ภัย
  และบรรดาบุตรสาวของตนเป็นเชลย ของสิโหนกษัตริย์คนอาโมไรต์
 30เราทำลายพวกเขาจนพินาศจากเฮชโบนจนถึงดีโบน   เราทำให้โนฟาห์เป็นเมืองร้าง ไกลไปถึงเมเดบา
 31คนอิสราเอลจึงอาศัยอยู่ในแผ่นดินคนอาโมไรต์ 32และโมเสสส่งคนไปสอดแนมที่เมืองยาเซอร์ และเขาทั้งหลายยึดชนบทของเมืองนั้น แล้วขับไล่คนอาโมไรต์ซึ่งอยู่ที่นั่น

อิสราเอลชนะพระราชาโอก

 33และเขาทั้งหลายก็หันขึ้นไปยังทางสู่บาชาน แล้วโอกกษัตริย์บาชานก็ทรงออกมาพร้อมด้วยประชาชนทั้งหมดของพระองค์เพื่อสู้รบที่เอเดรอี 34แต่พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “อย่ากลัวเขาเลย เพราะเราได้มอบเขา และประชาชนทั้งหมดรวมทั้งแผ่นดินของเขาไว้ในมือของเจ้าแล้ว และเจ้าจะทำกับเขาเหมือนอย่างที่ได้ทำกับสิโหนกษัตริย์คนอาโมไรต์ซึ่งอยู่ที่เฮชโบน” 35ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงฆ่าโอกและบรรดาโอรสของพระองค์ รวมทั้งประชาชนทั้งหมดของพระองค์จนไม่เหลือสักคนเดียว และอิสราเอลก็เข้ายึดแผ่นดินของพระองค์

กันดารวิถี 22

บาลาคตรัสเรียกบาลาอัมมาสาปแช่งคนอิสราเอล

 1แล้วคนอิสราเอลก็ยกออกเดินทางไปตั้งค่ายอยู่ ณ ที่ราบโมอับฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนตรงข้ามเมืองเยรีโค 2ส่วนบาลาคบุตรศิปโปร์ทรงเห็นทุกสิ่งที่คนอิสราเอลทำกับคนอาโมไรต์ 3โมอับก็กลัวคนอิสราเอลเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาทั้งหลายมีจำนวนมากมาย โมอับหวาดผวาคนอิสราเอลมาก 4โมอับจึงพูดกับพวกผู้ใหญ่ของคนมีเดียนว่า “ฝูงชนพวกนี้จะมากินทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ เรา เหมือนโคกินหญ้าในทุ่ง” และบาลาคบุตรศิปโปร์เป็นกษัตริย์ของโมอับในเวลานั้น 5พระองค์ทรงใช้พวกผู้สื่อสารไปยังบาลาอัมบุตรเบโอร์ ที่เปโธร์ใกล้แม่น้ำคือแม่น้ำยูเฟรติสในดินแดนที่เป็นบ้านเกิดของเขา เพื่อเรียกตัวเขาโดยกล่าวว่า “นี่แน่ะ ชนชาติหนึ่งออกจากอียิปต์มาแผ่คลุมทั่วแผ่นดิน และพวกเขากำลังพักอยู่ตรงข้ามกับเรา 6บัดนี้ ขอเชิญมาเถิด มาสาปแช่งชนชาตินี้ให้เรา เพราะเขาเข้มแข็งกว่าเรามาก แล้วบางทีเราอาจจะสามารถรบชนะเขาและขับไล่พวกเขาออกไปจากแผ่นดิน เพราะเรารู้ว่า ถ้าท่านอวยพรคนไหน คนนั้นก็จะรับพรตามนั้น และถ้าท่านสาปแช่งคนไหน คนนั้นก็จะถูกสาปแช่ง”
 7ดังนั้นพวกผู้ใหญ่ของโมอับกับพวกผู้ใหญ่ของมีเดียนก็ออกเดินทางพร้อมกับค่าทำอาถรรพ์ที่ถือไปในมือ เมื่อพวกเขามาถึงบาลาอัม ก็แจ้งคำพูดของบาลาคแก่เขา 8บาลาอัมกล่าวกับคนพวกนั้นว่า “คืนนี้จงค้างอยู่ที่นี่ก่อน แล้วข้าจะนำถ้อยคำที่พระยาห์เวห์ตรัสนั้นมาแจ้งแก่ท่านทั้งหลาย” ดังนั้นบรรดาเจ้านายของโมอับจึงพักอยู่กับบาลาอัม 9และพระเจ้าเสด็จมาหาบาลาอัมตรัสว่า “พวกที่มาอยู่กับเจ้าคือใคร? ” 10บาลาอัมทูลพระเจ้าว่า “บาลาคบุตรศิปโปร์กษัตริย์เมืองโมอับส่งพวกเขามาแจ้งกับข้าพระองค์ว่า 11‘นี่แน่ะ ชนชาติหนึ่งออกจากอียิปต์มาแผ่คลุมทั่วแผ่นดิน บัดนี้ ขอเชิญมาสาปแช่งเขาทั้งหลายให้เรา บางทีเราอาจจะรบชนะเขาและขับไล่เขาออกไปได้’ ” 12แต่พระเจ้าตรัสกับบาลาอัมว่า “เจ้าอย่าไปกับเขาทั้งหลาย เจ้าอย่าสาปแช่งชนชาตินั้น เพราะเขาทั้งหลายเป็นคนที่ได้รับพร” 13รุ่งเช้าบาลาอัมก็ลุกขึ้นกล่าวกับบรรดาเจ้านายของบาลาคว่า “จงกลับแผ่นดินของพวกท่านเถิด เพราะพระยาห์เวห์ทรงปฏิเสธที่จะให้ข้าไปกับท่าน” 14ฉะนั้นพวกเจ้านายของโมอับก็กลับไปหาบาลาคกล่าวว่า “บาลาอัมปฏิเสธที่จะมากับเรา”
 15แล้วบาลาคทรงส่งพวกเจ้านายไปอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมีจำนวนมากกว่าและมียศศักดิ์สูงกว่าพวกก่อน 16เขาทั้งหลายมาถึงบาลาอัมและกล่าวกับท่านว่า “บาลาคบุตรศิปโปร์กล่าวดังนี้ว่า ‘ขออย่าให้มีอะไรขัดขวางท่านที่จะไปหาเราเลย 17เพราะเราจะให้เกียรติอย่างสูงแก่ท่านแน่นอน ไม่ว่าท่านจะให้เราทำอะไร เราจะทำตาม ขอเชิญมาสาปแช่งชนชาตินี้ให้แก่เรา’ ” 18แต่บาลาอัมตอบพวกข้าทาสของบาลาคว่า “แม้บาลาคจะประทานเงินและทองเต็มวังของพระองค์แก่ข้า ข้าก็ไม่อาจจะทำอะไรนอกเหนือพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้า ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ 19บัดนี้ขอพวกท่านพักอยู่ที่นี่สักคืนหนึ่งก่อนด้วย เพื่อข้าจะทราบว่าพระยาห์เวห์จะตรัสอะไรเพิ่มเติมกับข้าบ้าง” 20และพระเจ้าเสด็จมาหาบาลาอัมในเวลากลางคืนตรัสกับเขาว่า “เมื่อคนเหล่านี้มาเรียกเจ้า จงไปกับเขาทั้งหลาย เพียงแต่เจ้าต้องทำตามสิ่งที่เราสั่งเจ้าเท่านั้น”

อรรถาธิบาย

จงมีใจกว้าง - แบบพระเจ้า

อีกครั้งในเนื้อหาตอนนี้เราจะเห็นรูปแบบของพระพรและคำสาปแช่ง (22:6) และความแตกต่างระหว่าง ‘การรับ’ และ ‘การให้’ เราจะเห็นว่าพระเจ้ามีพระกรุณาต่อประชาชนของพระองค์อย่างต่อเนื่อง ชีวิตของพวกเขาไม่ง่ายเลย หากคุณเป็นคริสเตียนมานาน คุณคงเคยมีประสบการณ์เช่นนี้ พวกเขาต้องเดินผ่าน ‘ทะเลทราย’ ‘หุบเขา’ และ ‘ที่รกร้างกันดาร’ (21:18–20) สิ่งนี้อาจมองได้ว่าเป็นดั่งภาพแห่งการทดลองในชีวิตที่เข้าสู่ความตกต่ำและดูจะไม่เกิดผล

แต่พระเจ้าทรงประทานน้ำ (ข้อ 16) พระเยซูตรัสว่า ‘คนที่ดื่มน้ำที่เราจะให้กับเขานั้น จะไม่มีวันกระหายอีกเลย น้ำที่เราจะให้เขานั้นจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์’ (ยอห์น 4:13–14)

ซึ่งตรงกันข้ามกับสิโหนที่ไม่ได้เป็นผู้ให้ เขาใจแคบโดยการที่: ‘สิโหนไม่ยอมให้อิสราเอลผ่านดินแดนของพระองค์’ (กันดารวิถี 21:23)

บาลาอัมก็เป็นดั่งผู้สักแต่รับเช่นกัน เขาอาศัย ‘ค่าทำอาถรรพ์’ (22:7) เขาถูกตำหนิในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เพราะเขา ‘โปรดปรานสินจ้างที่ได้มาจากการอธรรม’ (2 เปโตร 2:15) ‘ความผิดพลาด’ ของบาลาอัมคือการ ‘เห็นแก่ได้’ (ยูดา 1:11)

ชาวอิสราเอลเองก็บ่นต่อว่าพระเจ้าและต่อต้านโมเสส (กันดารวิถี 21:4–5) แม้พระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งเพื่อพวกเขา แต่พวกเขาก็เคยไม่พอใจและคิดกบฏต่อพระองค์ การกบฏของพวกเขาไม่ถูกนำมาไต่สวนแต่พระเจ้าทรงทำการพิพากษามายังพวกเขาทั้งหลายโดยตรง (ข้อ 6) แผนการสูงสุดของพระเจ้าคือการไถ่บาป และอวยพรประชาชนของพระองค์และฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพระองค์

พวกเขาสารภาพบาป และ ‘พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “ทำงูทองสัมฤทธิ์ตัวหนึ่งและติดไว้บนเสา และเมื่องูกัดใครถ้าคนนั้นมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้น เขาก็มีชีวิตอยู่ได้” ดังนั้นโมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ตัวหนึ่งและติดไว้บนเสา และเมื่องูกัดใคร ถ้าคนนั้นมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้น เขาก็มีชีวิตอยู่ได้’ (ข้อ 8–9)

เมื่อพูดถึงเหตุการณ์นี้ในทะเลทรายพระเยซูตรัสว่า ‘โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารอย่างไรบุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้นเพื่อทุกคนที่วางใจพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์’ (ยอห์น 3:14–15) แน่นอนว่าพระเยซูหมายถึงการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน (12:32–33)

พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมเครื่องเผาบูชาด้วยพระเมตตาอันล้นพ้นเพื่อให้คุณรู้จักการให้อภัยที่สมบูรณ์ งูทองสัมฤทธิ์บนเสาในสมัยของโมเสสช่วยฟื้นชีวิตทางกายให้แก่ผู้ที่มีความเชื่อ แต่พระคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงกางเขน เป็นผู้นำชีวิตนิรันดร์มาสู่ทุกคนที่แสวงหาความเชื่อ และความวางใจในพระองค์ คุณไม่สามารถเป็นเจ้าของการให้อภัยได้ด้วยตัวเอง แม้ชีวิตนิรันดร์เป็นของประทานที่คุณไม่ต้องเสียอะไร แต่คุณจำเป็นต้องเลือกที่จะรับของประทานนั้นอย่างเต็มใจ เพราะความเชื่อคือการแสดงออกถึงความวางใจที่จะรับเอาของประทานจากพระเจ้าแบบฟรี ๆ (3:15)

ชาร์ล แฮดดอน สเปอร์เจียน เป็นหนึ่งในนักเทศน์ที่ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลมากที่สุดในศตวรรษที่สิบเก้า เขาเล่าถึงการกลับใจใหม่ของตนเองเมื่อตอนเป็นวัยรุ่น เมื่อเขาได้ยินนักเทศน์คนหนึ่งพูดว่า ‘มองไปที่พระเยซูคริสต์ มองซิ! มอง! มอง! คุณไม่มีอะไรต้องทำนอกจาก มองและมีชีวิตอยู่

‘เช่นเดียวกับเมื่องูทองสัมฤทธิ์ถูกยกขึ้น แค่ผู้คนมองตามันเท่านั้นก็จะได้รับการรักษา เช่นเดียวกันกับผม... แค่ได้ยินคำนั้น “มองสิ!” มันช่างเป็นคำที่มีเสน่ห์สำหรับผม! โอ้! ผมมองจนตาแทบจะทะลุออกจากเบ้า... และทันใดนั้นผมก็ได้รับการฟื้นฟูและเปล่งเสียงร้องเพลงออกมาอย่างสุดใจถึงพระโลหิตอันล้ำค่าของพระคริสต์และความเชื่ออันเรียบง่ายในพระองค์เพียงผู้เดียว’

นี่คือพระทัยที่กว้างของพระเจ้าทรงเรียกให้คุณมีใจกว้างอันเนื่องมาจากพระองค์ทรงมีพระทัยที่กว้างต่อคุณ ดังที่อัครสาวกเปาโลบรรยายไว้ว่า ‘ขอขอบพระคุณพระเจ้า เพราะของประทานที่เกินความคาดคิดซึ่งพระองค์ ประทานนั้น!’ (2 โครินธ์ 9:15)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับพระทัยที่กว้างขวางต่อข้าพระองค์ที่ทรงจัดเตรียมหนทางให้ข้าพระองค์กลับมาหาพระองค์ ขอโปรดทรงช่วยข้าพระองค์ให้แสวงหาพระองค์ทุกวันเพื่อขอการให้อภัย ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้ได้ดื่มน้ำแห่งชีวิตที่ค้ำจุนข้าพระองค์อย่างลึกซึ้งขอบคุณพระเจ้าสำหรับของขวัญที่สุดจะพรรณนาจากพระองค์!

เพิ่มเติมโดยพิพพา

กันดารวิถี 21:4-22:20

คนของพระเจ้าดูเหมือนจะมีชีวิตที่ไม่ง่ายนัก พวกเขาไม่มีเวลาทั้งวันสนุกสนานกับการเล่นท่ามกลางแสงแดด เขาล้วนมีความยากลำบากอยู่ทุกหนทุกแห่ง มีความหิวกระหาย เพื่อนบ้านที่ก้าวร้าวและตอนนี้ งู! (ไม่ใช่สิ่งที่ฉันโปรดปรานนัก) ดังที่ มาร์ค ทเวน เคยกล่าวไว้ว่า ‘มีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นในชีวิตไม่จบไม่สิ้น’ ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่ทรงขจัดความยากลำบากออกไป แต่พระองค์ทรงช่วยให้เราผ่านพ้นความยากลำบากเหล่านั้นมาได้

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม