วัน 89

จะเป็นผู้มีปัญญาได้อย่างไร

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 8:12-21
พันธสัญญาใหม่ ลูกา 7:36-50
พันธสัญญาเดิม กันดารวิถี 26:12-27:11

เกริ่นนำ

โอปราห์ วินฟรีย์กล่าวว่า ‘ทำตามสัญชาตญาณของคุณ นั่นคือจุดที่แสดงให้เห็นถึงปัญญาที่แท้จริง’ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ปัญญามาจากภายในและเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง เนื่องจากคุณถูกสร้างตามพระฉายาของ พระเจ้าเป็นความจริงในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ดังที่เราจะได้เห็นในบทความของวันนี้คือ ปัญญาที่แท้จริงมาจากพระเจ้าและมาจากความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้า ดังที่เราได้เห็นแล้วว่าความรู้เป็นแนวนอน แต่ปัญญาเป็นแนวดิ่ง มันลงมาจากเบื้องบน คุณจะเติบโตขึ้นในปัญญาถ้าคุณเรียนรู้ สะท้อน และใช้ชีวิตในสัมพันธภาพกับพระเจ้า

เราทุกคนต้องการสติปัญญา ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมมีพระธรรมหลายเล่มเกี่ยวกับ ‘ปัญญา’ ไม่ว่าจะเป็นพระธรรมสุภาษิต โยบ ปัญญาจารย์ และเพลงซาโลมอน นอกเหนือจากนี้ยังมีงานเขียนต่าง ๆ ทั่วทั้งพระคัมภีร์ซึ่งอาจอธิบายได้อย่างคร่าว ๆ ว่าเป็น ‘บทประพันธ์แห่งปัญญา’ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่หลากหลายเช่น อำนาจของลิ้น พระพรแห่งความซื่อสัตย์ อันตรายของการล่วงประเวณี อันตรายของ การมึนเมา ความไม่เท่าเทียมกันของชีวิต การทนทุกข์ของผู้ชอบธรรม ทักษะของการเป็นผู้นำ และศิลปะของการเป็นบิดามารดา

สติปัญญาเป็นสามัญสำนึกที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ มันนำไปสู่การเข้าใจตนเองมากขึ้น และทำให้คุณสามารถรับมือกับปัญหาในชีวิต ก้าวผ่าน และควบคุมความท้าทายของมันได้ มันเป็นมรดกตกทอดที่พ่อแม่ที่ดีต้องการมอบให้ลูก ๆ ในที่สุดปัญญานั้นพบได้ในพระเยซูคริสต์ผู้เป็น ‘พระปัญญาของพระเจ้า’ (1 โครินธ์ 1:24)

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 8:12-21

12ข้าพเจ้าคือปัญญา อยู่กับความสุขุม
 และข้าพเจ้าพบความรู้และความเฉลียวฉลาด
13ความยำเกรงพระยาห์เวห์คือการเกลียดชังความชั่วร้าย
 ข้าพเจ้าเกลียดความเย่อหยิ่งและความจองหอง
 และทางของความชั่วร้ายกับวาจาตลบตะแลง
14ข้าพเจ้ามีคำแนะนำและสติปัญญา
 ข้าพเจ้าเองเป็นความรอบรู้ ข้าพเจ้ามีพลัง
15โดยข้าพเจ้า กษัตริย์จึงครองราชย์
 และผู้ครอบครองจึงตรากฎหมายที่ยุติธรรม
16โดยข้าพเจ้า เจ้านายจึงครอบครอง
 รวมทั้งขุนนาง คือทุกคนที่วินิจฉัยอย่างยุติธรรม
17ข้าพเจ้ารักคนที่รักข้าพเจ้า
 และคนที่เสาะหาข้าพเจ้าอย่างตั้งใจก็จะพบข้าพเจ้า
18ความมั่งคั่งและเกียรติอยู่กับข้าพเจ้า
 ทั้งทรัพย์สินที่ทนทานและความชอบธรรม
19ผลของข้าพเจ้าดีกว่าทองคำ ดีกว่าทองบริสุทธิ์
 และผลผลิตของข้าพเจ้าดีกว่าเงินเนื้อดี
20ข้าพเจ้าดำเนินในทางแห่งความชอบธรรม
 ในท่ามกลางวิถีแห่งความยุติธรรม
21ข้าพเจ้าจะให้คนที่รักข้าพเจ้าได้ครอบครองทรัพย์สิน
 ข้าพเจ้าจะบรรจุคลังทรัพย์ของเขาให้เต็ม

อรรถาธิบาย

แสวงหาพระปัญญาของพระเจ้า

ปัญญามีค่ามหาศาล ‘ผลประโยชน์ของข้าพเจ้ามีค่ามากกว่าเงินเดือนก้อนโต หรือแม้แต่เงินเดือนมหาศาล ผลตอบแทนของข้าพเจ้ามากเกินกว่าโบนัสใด ๆ ที่จะจินตนาการได้’ (ข้อ 18-19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ปัญญามีค่ามากกว่าความมั่งคั่งทางวัตถุทั้งสิ้นในโลกนี้ นอกเหนือจากนี้ปัญญาแตกต่าง จากความมั่งคั่งทางวัตถุ เพราะปัญญาคงอยู่ชั่วนิรันดร์ (ข้อ 18)

ในบทความนี้ เราจะได้เห็นว่าทำไมปัญญาจึงมีค่ามาก และเราจะแสวงหาปัญญานั้นจากพระเจ้าได้อย่างไร:

1.\tปัญญามาจากพระเจ้า

ปัญญาเริ่มต้นจากความสัมพันธ์กับพระเจ้าซึ่งเริ่มต้นด้วย ‘ความยำเกรงพระยาห์เวห์’ (ข้อ 13) ‘ยำเกรง’ หมายถึง ‘เคารพ’ และการตระหนักรู้อย่างลึกซึ้งว่าพระเจ้าเป็นรากฐานของปัญญาทั้งสิ้น

2.\tปัญญานั้นบริสุทธิ์และงดงาม

ผู้เขียนพระธรรมสุภาษิตกล่าวว่า ‘ความยำเกรงพระยาห์เวห์คือการเกลียดชังความชั่วร้าย ข้าพเจ้าเกลียดความเย่อหยิ่งและความจองหอง และทางของความชั่วร้ายกับวาจาตลบตะแลง... ข้าพเจ้าดำเนินในทางแห่งความชอบธรรม ในท่ามกลางวิถีแห่งความยุติธรรม (ข้อ 13,20) นี่เป็นบททดสอบของสติปัญญาที่แท้จริงที่มาจากพระเจ้า ดังที่อัครสาวกยากอบเขียนไว้ว่า ‘แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข การผ่อนหนักเป็นเบา การยอมรับฟัง การเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาและผลดีต่าง ๆ ไม่มีการลำเอียง ไม่มีการหน้าซื่อใจคด’ (ยากอบ 3:17)

3.\tปัญญาช่วยให้คุณเป็นผู้นำที่ดี

ปัญญามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้นำ ถ้าคุณต้องการเป็นผู้นำที่ดี คุณต้องมีสติปัญญาและสามัญสำนึก ‘โดยความช่วยเหลือของข้าพเจ้า ผู้นำจึงได้ปกครอง และผู้บัญญัติกฎหมายออกกฎหมาย อย่างยุติธรรม โดยความช่วยเหลือของข้าพเจ้า ผู้ปกครองจึงครอบครองรวมทั้งผู้มีอำนาจตามกฎหมาย’ (สุภาษิต 8:15-16,พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

4.\tปัญญามีไว้สำหรับคุณ

พระเจ้าทรงสัญญาจะประทานสติปัญญาให้กับผู้ที่เสาะแสวงหา ‘ข้าพเจ้ารักคนที่รักข้าพเจ้า และคนที่เสาะหาข้าพเจ้าอย่างตั้งใจก็จะพบข้าพเจ้า’ (ข้อ 17) ดังที่อัครสาวกยากอบได้กล่าวว่า ‘แต่ถ้าใครในพวกท่านขาดสติปัญญา ให้คนนั้นทูลขอจากพระเจ้าผู้ประทานให้กับทุกคนด้วยพระทัย กว้างขวางและไม่ทรงตำหนิ แล้วเขาก็จะได้รับตามที่ทูลขอ’ (ยากอบ 1:5) นี่เป็นคำอธิษฐานที่คุณ สามารถมั่นใจได้ว่าจะได้รับคำตอบ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการพระปัญญาของพระองค์เป็นอย่างมากในวันนี้ ขอโปรดทรงประทานสติปัญญาที่บริสุทธิ์ เป็นความสงบสุข การผ่อนหนักเป็นเบา การยอมรับฟัง การเต็มเปี่ยมด้วยเมตตา และผลดีต่าง ๆ ไม่มีการลำเอียง ไม่มีความหน้าซื่อใจคดให้กับข้าพระองค์

พันธสัญญาใหม่

ลูกา 7:36-50

หญิงที่เคยทำบาปได้รับการยกโทษ

 36มีคนหนึ่งในพวกฟาริสีเชิญพระองค์ไปรับประทานอาหารกับเขา พระองค์ก็เสด็จเข้าไปในบ้านของฟาริสีคนนั้น แล้วเอนพระกายที่โต๊ะอาหาร 37นี่แน่ะ มีหญิงคนหนึ่งในเมืองนั้นซึ่งเป็นคนบาป เมื่อรู้ว่าพระองค์กำลังเสวยอาหารอยู่ในบ้านของฟาริสีคนนั้น นางจึงนำผอบน้ำมันหอมมา 38ยืนอยู่ข้างหลังใกล้พระบาทของพระองค์ แล้วร้องไห้น้ำตานองเปียกพระบาท นางจึงใช้ผมเช็ด จูบพระบาทของพระองค์แล้วเอาน้ำมันชโลม 39ฟาริสีคนที่เชิญพระองค์มาเมื่อเห็นแล้วก็นึกในใจว่า “ถ้าท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะ ก็น่าจะรู้ว่าผู้หญิงที่แตะต้องตัวของท่านเป็นใครและเป็นคนอย่างไร เพราะนางเป็นคนบาป” 40พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ซีโมน เรามีอะไรจะบอกท่าน” เขาทูลว่า “ท่านอาจารย์ เชิญพูดไปเถิด” 41พระองค์จึงตรัสว่า “เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าร้อยเดนาริอันหนึ่งเหรียญเดนาริอัน เป็นจำนวนเงินที่จ้างคนงานให้ทำงานวันหนึ่ง อีกคนหนึ่งเป็นหนี้ห้าสิบ 42เมื่อเขาไม่สามารถใช้หนี้ได้ ท่านจึงยกหนี้ให้เขาทั้งสองคน ในสองคนนั้น คนไหนจะรักนายมากกว่า?” 43ซีโมนจึงทูลว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะเป็นคนที่นายยกหนี้ให้มาก” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านตัดสินได้ถูกต้อง” 44พระองค์จึงทรงเหลียวหลังดูหญิงคนนั้น แล้วตรัสกับซีโมนว่า “ท่านเห็นหญิงคนนี้ใช่ไหม? เมื่อเราเข้ามาในบ้านของท่าน ท่านไม่ได้เอาน้ำมาล้างเท้าให้เรา แต่นางเอาน้ำตาล้างเท้าของเรา และเอาผมของนางเช็ด 45ท่านไม่ได้จูบเรา แต่หญิงคนนี้ไม่ได้หยุดจูบเท้าของเราเลยนับตั้งแต่เราเข้ามา 46ท่านไม่ได้เอาน้ำมันมาชโลมศีรษะของเรา แต่นางเอาน้ำมันหอมมาชโลมเท้าของเรา 47เพราะฉะนั้นเราบอกท่านว่าบาปต่างๆ ของนางซึ่งมีมากมายนั้นได้รับการยกโทษแล้วเพราะนางรักมาก แต่คนที่ได้รับการยกโทษน้อยก็รักน้อย” 48พระองค์จึงตรัสกับนางว่า “บาปของเธอได้รับการยกโทษแล้ว” 49บรรดาคนที่ร่วมเอนกายที่โต๊ะอาหารด้วยก็พูดกันว่า “คนนี้เป็นใครกันถึงยกโทษบาปได้?” 50พระองค์จึงตรัสกับหญิงคนนั้นว่า “ความเชื่อของเธอทำให้เธอรอด จงไปเป็นสุขเถิด”

อรรถาธิบาย

มองดูผู้คนด้วยสายตาอันมีปัญญา

คุณเคยตัดสินใครแบบผิด ๆ เพียงแค่มองจากรูปลักษณ์ภายนอกหรือไม่?

ในพระธรรมวันนี้เราจะเห็นถึงอดีตของหญิงคนหนึ่งซึ่งขายความรักของเธอเป็นชั่วโมงในฐานะที่เป็นโสเภณีในเมือง หญิงนั้นได้ล้างพระบาทพระเยซูด้วยผมของเธอ จูบพระบาทและเทผอบน้ำมันหอมชโลม ปฏิกิริยาตอบสนองของพวกฟาริสีเป็นไปตามธรรมชาติคือ: ‘ถ้าท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะ ก็น่าจะรู้ว่าผู้หญิงที่แตะต้องตัวของท่านเป็นใครและเป็นคนอย่างไร เพราะนางเป็นคนบาป’ (7:39)

แต่พระเยซูทรง ‘เต็มเปี่ยมด้วยสติปัญญา’ (2:40) ตั้งแต่แรก พระองค์สามารถมองเห็นภายใต้รูปลักษณ์ภายนอก พระองค์ทรงเห็นความจริงว่าหญิงนั้นแสดงออกถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของตนที่มีต่อพระองค์ เพราะเธอรู้ว่าเธอได้รับการอภัยมากมายเพียงใด คุณอาจเคยมีอดีตในด้านลบ แต่คุณสามารถมีอนาคตที่ดี และได้รับพระพรได้

เราได้เห็นพระปัญญาของพระเยซูทั้งในด้านความเข้าใจลึกซึ้งที่มีต่อผู้อื่น และในวิธีที่พระองค์เลือกที่จะสั่งสอน พระองค์กล่าวถึงอุปมาเกี่ยวกับเจ้าหนี้ เขามีลูกหนี้สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้ 5,000 ปอนด์ อีกคนหนึ่งเป็นหนี้ 50,000 ปอนด์ เขายกหนี้ทั้งหมดให้ทั้งสองคน ไม่มีมนุษย์คนไหนที่เป็นเจ้าหนี้จะสามารถทำแบบนั้นได้ แต่นั่นคือความรักของพระเยซูอย่างแท้จริง ความบาปทั้งสิ้นของคุณถูกลบล้าง คุณได้รับการอภัยโดยสิ้นเชิง ยิ่งมีหนี้มากเท่าไร คุณก็จะรู้สึกขอบคุณมากขึ้นเท่านั้นและความรักของคุณที่มีต่อพระเยซูก็จะมากขึ้นเท่านั้นด้วย

คำอุปมานี้ทำให้ซีโมนผู้เป็นฟาริสีตอบข้อสงสัยของตนเองโดยไม่เจตนา (7:43) พระเยซูทรงชี้ให้เห็นอย่างทรงปัญญาและสุภาพว่า ซีโมนไม่ได้ให้การต้อนรับพระองค์อย่างอบอุ่น และไม่แสดงความรักอย่างมาก ปัญหาของซีโมน คือ เขาไม่ตระหนักว่าเขาต้องการการยกโทษมากแค่ไหน

ในทางกลับกัน หญิงผู้นี้รักพระเยซูมากเพราะเธอรู้ว่าเธอได้รับการยกโทษเป็นอย่างมาก (ข้อ 47) เธอเต็มใจที่จะเสี่ยงต่อการถูกปฏิเสธ และมอบตัวเธอเองให้ทั้งหมดทั้งทางปฏิบัติ ทางอารมณ์ และทางการเงิน

เธอร้องไห้มากเสียจนเธอ ‘น้ำตานองเปียกพระบาท’ (ข้อ 38) เพื่อที่จะเช็ดพระบาทของพระองค์ เธอปล่อยผมในที่สาธารณะ (เป็นสิ่งที่ถือว่าน่าอับอาย) เธออยู่ในห้วงอารมณ์ของเธอ และไม่สนใจสิ่งที่คนอื่นคิด เธอไม่หยุดจูบลงที่พระบาทของพระองค์ด้วยความยำเกรงอย่างสุดซึ้ง

จากนั้นเธอเทผอบน้ำมันหอมซึ่งหายากและราคาแพงมา (ปกติแล้วเอาไว้ใช้สำหรับศีรษะ) ลงบนพระบาทของพระองค์ เธอรักพระเยซูด้วยทั้งหมดของหัวใจ พระเยซูทรงมองเห็นหัวใจของคุณมากกว่าอดีตของคุณ พระองค์จึงตรัสกับหญิงคนนั้นว่า ‘ความเชื่อของเธอทำให้เธอรอด จงไปเป็นสุขเถิด’ (ข้อ 50) ความรักของคุณ เป็นผลจากความเชื่อของตัวคุณเอง ดังที่อัครสาวกเปาโลได้เขียนไว้ว่า ‘แต่ความเชื่อซึ่งแสดงออกเป็นการ กระทำด้วยความรักนั้นสำคัญ’ (กาลาเทีย 5:6)

คุณอาจจะไม่ได้มีจุดเริ่มต้นที่ดีในชีวิต แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่สามารถมีจุดจบที่ดีได้ ไม่ว่าชีวิตในอดีตของคุณจะเป็นเช่นไร โดยพระเยซูคุณสามารถเริ่มต้นใหม่ได้อย่างสมบูรณ์และมีอนาคตที่ดีได้ คุณไม่จำเป็นต้อง แบกภาระของความผิดพลาดจากความสัมพันธ์ครั้งเก่าหรือจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีต ทันทีที่คุณกลับใจ และเชื่อในพระเยซู ความบาปทั้งสิ้นของคุณถูกลบล้างแล้ว สิ่งสำคัญคืออะไรก็ตามที่คุณรู้ด้วยสมองของคุณได้ตกลงมาสู่หัวใจของคุณ

พระเยซูต้องการให้คุณยอมรับว่าคุณเป็นคนบาป คุณไม่สามารถชดใช้หนี้ได้ แต่พระเยซูให้อภัยคุณ ทูลขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะเติมเต็มคุณในวันนี้ด้วยความรักที่เต็มล้นต่อพระเจ้าและความรักต่อผู้อื่น

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอโปรดทรงประทานสติปัญญาแก่ข้าพระองค์เหมือนกับพระเยซู เพื่อข้าพระองค์จะไม่ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก แต่จะมองเห็นลึกถึงหัวใจ ขอโปรดทรงเติมเต็มข้าพระองค์ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันนี้ ขอให้ข้าพระองค์เต็มล้นด้วยความรักต่อพระองค์และต่อผู้อื่น

พันธสัญญาเดิม

กันดารวิถี 26:12-27:11

 12บุตรของสิเมโอนตามตระกูลของเขาคือ เนมูเอลคนตระกูลเนมูเอล ยามีนคนตระกูลยามีน ยาคีนคนตระกูลยาคีน 13เศ-ราห์คนตระกูลเศ-ราห์ ชาอูลคนตระกูลชาอูล
 14เหล่านี้เป็นตระกูลของคนสิเมโอน มีจำนวน 22,200 คน
 15บุตรของกาดตามตระกูลของเขา คือเศโฟนคนตระกูลเศโฟน ฮักกีคนตระกูลฮักกี ชูนีคนตระกูลชูนี 16โอสนีคนตระกูลโอสนี เอรีคนตระกูลเอรี 17อาโรดคนตระกูลอาโรด อาเรลีคนตระกูลอาเรลี
 18เหล่านี้เป็นตระกูลบุตรกาด พวกเขามีจำนวน 40,500 คน
 19บุตรของยูดาห์ คือ เอร์และโอนัน เอร์กับโอนันตายในแผ่นดินคานาอัน 20และบุตรของยูดาห์ตามตระกูลของเขา คือเช-ลาห์คนตระกูลเช-ลาห์ เปเรศคนตระกูลเปเรศ เศ-ราห์คนตระกูลเศ-ราห์ 21และบุตรของเปเรศ คือ เฮสโรนคนตระกูลเฮสโรน ฮามูลคนตระกูลฮามูล
 22เหล่านี้เป็นตระกูลของยูดาห์ พวกเขามีจำนวน 76,500 คน
 23บุตรของอิสสาคาร์ตามตระกูลของเขาคือ โทลาคนตระกูลโทลา ปูวาห์คนตระกูลปูวาห์ 24ยาชูบคนตระกูลยาชูบ ชิมโรนคนตระกูลชิมโรน
 25เหล่านี้เป็นตระกูลของอิสสาคาร์ พวกเขามีจำนวน 64,300 คน
 26บุตรของเศบูลุนตามตระกูลของเขาคือ เสเรดคนตระกูลเสเรด เอโลนคนตระกูลเอโลน ยาเลเอลคนตระกูลยาเลเอล
 27เหล่านี้เป็นตระกูลของคนเศบูลุน พวกเขามีจำนวน 60,500 คน
 28บุตรของโยเซฟตามตระกูลของเขาคือ มนัสเสห์และเอฟราอิม 29บุตรของมนัสเสห์ คือ มาคีร์คนตระกูลมาคีร์ มาคีร์เป็นบิดาของกิเลอาด กิเลอาดคนตระกูลกิเลอาด 30บุตรของกิเลอาด คือ อีเยเซอร์คนตระกูลอีเยเซอร์ เฮเลคคนตระกูลเฮเลค 31และอัสรีเอลคนตระกูลอัสรีเอล เชเคมคนตระกูลเชเคม 32และเชมิดาคนตระกูลเชมิดา เฮเฟอร์คนตระกูลเฮเฟอร์ 33ส่วนเศโลเฟหัดบุตรเฮเฟอร์ไม่มีบุตรชายมีแต่บุตรหญิง ชื่อบุตรหญิงทั้งหลายของเศโลเฟหัดคือ มาลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์
 34เหล่านี้เป็นตระกูลของมนัสเสห์ พวกเขามีจำนวน 52,700 คน
 35และนี่คือบุตรของเอฟราอิมตามตระกูลของเขาคือ ชูเธลาห์คนตระกูลชูเธลาห์ เบเคอร์คนตระกูลเบเคอร์ ทาหานคนตระกูลทาหาน 36บุตรของชูเธลาห์คือ เอรานคนตระกูลเอราน
 37เหล่านี้เป็นตระกูลบุตรเอฟราอิม พวกเขามีจำนวน 32,500 คน เหล่านี้เป็นบุตรของโยเซฟตามตระกูลของเขา
 38บุตรของเบนยามินตามตระกูลของเขาคือ เบ-ลาคนตระกูลเบ-ลา อัชเบลคนตระกูลอัชเบล อาหิรัมคนตระกูลอาหิรัม 39เชฟูฟามคนตระกูลเชฟูฟาม หุฟามคนตระกูลหุฟาม 40และบุตรของเบ-ลาคือ อาร์ด และนาอามาน อาร์ดภาษาฮีบรูไม่มีคำนี้คนตระกูลอาร์ด นาอามานคนตระกูลนาอามาน
 41เหล่านี้เป็นบุตรของเบนยามินตามตระกูลของเขา พวกเขามีจำนวน 45,600 คน
 42และนี่คือบุตรของดานตามตระกูลของเขาคือ ชูฮัมคนตระกูลชูฮัม
 นี่คือตระกูลของดานตามตระกูลของเขา 43ตระกูลทั้งหมดของชูฮัมมีจำนวน 64,400 คน
 44บุตรของอาเชอร์ตามตระกูลของเขา คืออิมนาห์คนตระกูลอิมนาห์ อิชวีคนตระกูลอิชวี เบรีอาห์คนตระกูลเบรีอาห์ 45บุตรของเบรีอาห์คือ เฮเบอร์คนตระกูลเฮเบอร์ มัลคีเอล คนตระกูลมัลคีเอล 46บุตรหญิงของอาเชอร์ คือเสราห์
 47เหล่านี้เป็นตระกูลบุตรอาเชอร์ พวกเขามีจำนวน 53,400 คน
 48บุตรของนัฟทาลีตามตระกูลของเขาคือ ยาเซเอลคนตระกูลยาเซเอล กูนีคนตระกูลกูนี 49เยเซอร์คนตระกูลเยเซอร์ ชิลเลมคนตระกูลชิลเลม
 50เหล่านี้เป็นตระกูลของนัฟทาลีตามตระกูลของเขา พวกเขามีจำนวน 45,400 คน
 51นี่เป็นจำนวนของคนอิสราเอล คือ 601,730 คน
 52พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 53“ให้แบ่งแผ่นดินนั้นเป็นมรดกแก่คนเหล่านี้ตามจำนวนรายชื่อ 54จงให้มรดกก้อนใหญ่แก่เผ่าใหญ่ และมรดกก้อนเล็กแก่เผ่าเล็ก แต่ละเผ่าจะได้รับมรดกตามจำนวนคนของเขา 55แต่ให้แบ่งแผ่นดินด้วยการจับฉลากรับมรดกตามรายชื่อเผ่าต่างๆ ของบรรพบุรุษของเขา 56ให้แบ่งมรดกของเขาระหว่างเผ่าใหญ่กับเผ่าเล็กด้วยการจับฉลาก”
 57คนเหล่านี้เป็นคนเลวีที่นับตามตระกูลของเขาคือเกอร์โชนคนตระกูลเกอร์โชน โคฮาทคนตระกูลโคฮาท เมรารีคนตระกูลเมรารี 58คนเหล่านี้เป็นตระกูลของเลวี คือคนตระกูลลิบนี คนตระกูลเฮโบรน คนตระกูลมาลี คนตระกูลมูชี คนตระกูลโคราห์
 และโคฮาทเป็นบิดาของอัมราม 59ภรรยาของอัมรามคือโยเคเบดบุตรหญิงของเลวีที่เกิดแก่เลวีในอียิปต์ และนางมีบุตรกับอัมรามชื่ออาโรนและโมเสส รวมทั้งมิเรียมพี่สาวของเขาทั้งสอง 60ส่วนอาโรนมีบุตรชื่อนาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์ 61แต่นาดับและอาบีฮูนั้นเสียชีวิตเมื่อเขาทั้งสองบูชาด้วยไฟต้องห้ามเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 62และพวกเขามีจำนวน 23,000 คน ล้วนเป็นผู้ชายที่มีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไป เนื่องจากไม่ได้นับพวกเขารวมไว้กับคนอิสราเอล เพราะเขาไม่ได้รับมรดกท่ามกลางคนอิสราเอล
63คนเหล่านี้คือคนที่โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตนับไว้ เมื่อเขาทั้งสองนับคนอิสราเอล ณ ที่ราบโมอับข้างแม่น้ำจอร์แดนตรงข้ามเมืองเยรีโค 64แต่ในรายชื่อเหล่านี้ไม่มีผู้ชายแม้แต่คนเดียวที่โมเสสและอาโรนปุโรหิตนับไว้ เมื่อเขาทั้งสองนับคนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดารซีนาย 65เพราะพระยาห์เวห์ได้ตรัสเกี่ยวกับพวกเขาว่า “เขาทั้งหลายจะต้องตายในถิ่นทุรกันดารแน่” และไม่มีผู้ชายแม้แต่คนเดียวที่เหลืออยู่ นอกจากคาเลบบุตรเยฟุนเนห์และโยชูวาบุตรนูน

กันดารวิถี 27

บุตรหญิงของเศโลเฟหัด

 1บุตรหญิงทั้งหลายของเศโลเฟหัดมาเข้าพบ (เศโลเฟหัดเป็นบุตรของเฮเฟอร์ ผู้เป็นบุตรของกิเลอาด ผู้เป็นบุตรของมาคีร์ ผู้เป็นบุตรของมนัสเสห์ จากตระกูลของมนัสเสห์บุตรของโยเซฟ ชื่อบุตรหญิงทั้งหลายของเขาคือมาลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์) 2พวกเขามายืนอยู่ต่อหน้าโมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิต ต่อหน้าบรรดาผู้นำ และต่อหน้าชุมนุมชนทั้งหมดที่ประตูเต็นท์นัดพบ กล่าวว่า 3“พ่อของเราตายในถิ่นทุรกันดาร แต่ท่านไม่ได้อยู่ในกลุ่มชนที่ชุมนุมกันต่อสู้พระยาห์เวห์ในกลุ่มของโคราห์ ท่านเสียชีวิตเพราะบาปของตน และท่านไม่มีลูกชาย 4ทำไมจึงลบชื่อพ่อของเราจากตระกูลของท่านเพราะเหตุที่ท่านไม่มีลูกชาย? ขอโปรดให้มรดกแก่เราท่ามกลางพี่น้องของพ่อเราด้วย”
 5โมเสสจึงนำเรื่องของพวกเขาทูลเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 6และพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 7“บุตรหญิงของเศโลเฟหัดพูดถูกแล้ว เจ้าจงให้กรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นมรดกแก่เขาทั้งหลายท่ามกลางพี่น้องบิดาของเขา และให้มรดกบิดาของพวกเขาตกทอดมาถึงเขา 8และเจ้าจงกล่าวกับคนอิสราเอลว่า ‘ถ้าชายคนหนึ่งตายและไม่มีบุตรชาย ก็ให้มรดกของเขาตกทอดไปยังบุตรหญิงของเขา 9และถ้าเขาไม่มีบุตรหญิง จงให้มรดกของเขาแก่พี่น้องของเขา 10และถ้าเขาไม่มีพี่น้อง จงให้มรดกของเขาแก่พี่น้องบิดาของเขา 11และถ้าบิดาของเขาไม่มีพี่น้อง จงให้มรดกแก่ญาติที่ถัดจากเขาไปในตระกูลของเขา และญาติคนนั้นจะถือกรรมสิทธิ์ ให้เป็นกฎเกณฑ์และกฎหมายแก่ประชาชนอิสราเอลตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสสไว้”

อรรถาธิบาย

แสดงสติปัญญาในการตัดสินใจที่เหมาะสม

โมเสสแสดงให้เห็นถึงปัญญาที่เหมาะสมโดยการจัดสรรขนาดของที่ดินตามขนาดของเผ่า (26:54)

น่าเศร้าที่ไม่ใช่ทุกคนจะมีปัญญาเหมือนโมเสส เมื่อพวกเขาอยู่ในถิ่นทุรกันดารพวกเขากบฏและบ่นว่าพระเจ้า ผลก็คือพระเจ้าตรัสว่าพวกเขาจะไม่ได้เข้าในดินแดนแห่งพระสัญญา นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง รายชื่อที่ถูกนับใน ถิ่นทุรกันดารซีนาย ‘ไม่มีผู้ชายแม้แต่คนเดียวเหลืออยู่ นอกจากคาเลบบุตรเยฟุนเนห์และโยชูวาบุตรนูน’ (ข้อ 64-65)

มีเพลงเก่าที่ร้องสั้น ๆ ว่า

โยชูวาบุตรนูน
และคาเลบ
บุตรเยฟุนเนห์
เป็นเพียงแค่สองคนเท่านั้น
ที่เคยเข้าไป
ในดินแดนแห่งน้ำนมและน้ำผึ้ง

บุตรหญิงทั้งหลายของเศโลเฟหัดก็ได้แสดงถึงสติปัญญาอันดีเยี่ยมในความกล้าและพูดออกไป พวกนางยืนหยัดเพื่อสิทธิสตรี (27:1-11) ถ้าหญิงเหล่านี้ไม่ได้ทำเช่นนั้น ผลลัพธ์อาจจะแตกต่างจากนี้มาก พวกนางทำถูกต้องแล้วที่มีความกล้าที่จะพูดออกไป

โมเสสจัดการกับสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยสติปัญญาอันยอดเยี่ยม เขาไม่ได้เพียงแค่ทำตามประเพณีในยุคของเขา แต่เปิดใจกว้างอย่างไม่น่าเชื่อ เขามีสติปัญญาที่จะไม่ตัดสินใจอย่างเร่งรีบด้วยกำลังของเขาเอง หรือทำให้พระ ประสงค์ของพระเจ้าสอดคล้องกับประเพณีโบราณโดยอัตโนมัติ

แต่หัวใจของสติปัญญาของโมเสสอยู่ที่การรับรู้ว่าปัญญาที่แท้จริงมาจากพระเจ้า ครั้งแล้วครั้งเล่าที่โมเสสนำปัญหา และความท้าทายของประชาชนทูลต่อพระเจ้า เขาแสวงหาความช่วยเหลือและการทรงนำจากพระเจ้า และเป็นเพราะสิ่งนี้ที่ทำให้เขามีปัญญา

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการพระปัญญาของพระองค์ในการตัดสินใจทั้งสิ้นที่ข้าพระองค์ต้องทำในแต่ละวัน ขอโปรดทรงช่วยข้าพระองค์ที่จะไม่มองทุกสิ่งด้วยสัญชาตญาณของข้าพระองค์เอง แต่แสวงหาสติปัญญาที่มาจากเบื้องบน เพื่อทำตามตัวอย่างของพระปัญญาของพระเยซู และได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงประทานสติปัญญาในหัวใจของข้าพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ลูกา 7:36-50

มันไม่ง่ายที่จะตัดสิน ฉันจำได้ว่าอยู่บนรถไฟใต้ดินลอนดอนกับลูกสาวเมื่อเธอยังเล็กมาก เมื่อเราเดินผ่านที่กั้น ฉันเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังโต้เถียงกับผู้ตรวจสอบ และฉันก็ได้ตัดสินเธอไปแล้ว

ในขณะเดียวกัน ฉันได้นำลูกสาวออกจากรถเข็นเพื่อลงบันไดเลื่อน และหญิงสาวคนนั้นก็นำหน้าเราไป ลูกสาวของฉันยืนอยู่บนขั้นบันไดที่ต่ำกว่าฉันและเธอก็ล้มลง ฉันถือรถเข็นและกระเป๋ามากมายในมือ และฉันไม่สามารถจะรับเธอไว้ได้ ด้วยความหวาดกลัวของฉัน ฉันเห็นด้านล่างปรากฏขึ้นลาง ๆ และฉันแน่ใจว่าเธออาจจะเข้าไปติดในกลไกของบันไดเลื่อน

มีคนอื่นอยู่รอบ ๆ แต่เป็นหญิงสาวคนนี้ที่หันวิ่งกลับมาและรับลูกของฉันไว้ก่อนที่เธอจะตกถึงด้านล่าง และนำเธอกลับมาให้ฉันอย่างปลอดภัย ฉันรู้สึกสำนึกผิดอย่างสุดซึ้งต่อทัศนคติที่ฉันมีต่อหญิงสาวคนนี้ ฉันรู้สึกขอบคุณเธอ และขอบคุณพระเจ้าสำหรับการจัดเตรียมคนแปลกหน้าที่ใจดีคนนี้

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม