วัน 9

วางใจให้พระเจ้าจัดวางทุกอย่างให้ถูกต้อง

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 7:1-9
พันธสัญญาใหม่ มัทธิว 7:24-8:22
พันธสัญญาเดิม ปฐมกาล 19:1-20:18

เกริ่นนำ

พิพพาและผม สนุกกับการเล่นปริศนาอักษรไขว้ด้วยกันมาก เราไม่ยอมแพ้แม้ติดอยู่ที่ปมใดปมหนึ่ง แต่เราจะเล่นต่อไป เพราะทุกครั้งที่พบคำตอบ มันจะช่วยเราคลี่คลายปมอื่น ๆ ได้ในที่สุด แล้วเราก็สามารถไขปริศนาต่าง ๆ ได้สำเร็จ

เช่นเดียวกัน การอ่านส่วนที่ยากของพระคัมภีร์ ก็เหมือนกับการพยายามไขปริศนาอักษรไขว้ แทนที่จะจมอยู่กับส่วนที่ยาก แต่คุณสามารถใช้ข้อพระคำที่คุณเข้าใจมาช่วยไขบางส่วนบางตอนที่ยากกว่า

บ่อยครั้งผมพบว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะทำความเข้าใจ ไม่เพียงแค่ข้อพระคำยาก ๆ ในพระคัมภีร์ แต่ยังรวมถึงบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ ที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความอยุติธรรมและเรื่องที่หาคำตอบไม่ได้

ผมชอบคำถามปลายปิดอันทรงพลังในข้อที่สอง จากข้อพระธรรมเมื่อวานนี้ ‘พระองค์ผู้พิพากษาสากลโลกจะไม่ทรงทำสิ่งที่ยุติธรรมหรือ?’ (ปฐมกาล 18:25) สิ่งหนึ่งที่คุณมั่นใจได้ก็คือ ในวันสุดท้ายเมื่อทุกสิ่งถูกเปิดเผยคุณจะได้เห็นการพิพากษาที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า และทุกคนจะกล่าวว่า ‘เป็นความจริงแท้แน่นอน’ พระวจนะแต่ละตอนของวันนี้บอกเราบางอย่างเกี่ยวกับความจริงที่ว่า ในท้ายที่สุด พระเจ้าจะทรงจัดวางทุกอย่างให้ถูกต้อง

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 7:1-9

สดุดี 7

คำอธิษฐานขอการช่วยชีวิต

ชิกกาโยนของดาวิดซึ่งท่านร้องถวายพระยาห์เวห์ เกี่ยวกับคูชคนเบนยามิน

1ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ลี้ภัยในพระองค์  ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากบรรดาผู้ตามล่า และขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์
2เกรงว่าเขาจะฉีกข้าพระองค์เสียอย่างสิงห์
 และลากข้าพระองค์ไป โดยไม่มีผู้ใดช่วยกู้ได้
3ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ ถ้าข้าพระองค์ได้ทำเช่นนี้
 คือถ้ามีความผิดในมือของข้าพระองค์
4ถ้าข้าพระองค์ทำความชั่วแก่พันธมิตรของข้าพระองค์
 หรือปล้นคู่อริของข้าพระองค์โดยไม่มีเหตุ
5ก็ขอให้ศัตรูไล่ตามข้าพระองค์ทัน
 และให้เขาเหยียบย่ำชีวิตข้าพระองค์ลงถึงดิน
 และให้เขาวางเกียรติของข้าพระองค์ไว้ในผงคลี

6ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงลุกขึ้นด้วยความกริ้ว
 ขอทรงลุกขึ้นสู้ความเกรี้ยวกราดของคู่อริข้าพระองค์
 ขอทรงตื่นขึ้นเพื่อข้าพระองค์ พระองค์ทรงกำหนดการพิพากษา
7ให้ชาวประเทศทั้งหลายมาชุมนุมอยู่รอบพระองค์
 และขอประทับบนที่สูงเหนือชุมนุมนั้น
8พระยาห์เวห์ทรงพิพากษาชนชาติทั้งหลาย
 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอประทานความเป็นธรรมแก่ข้าพระองค์   ตามความชอบธรรมของข้าพระองค์
 และตามความสัตย์สุจริตซึ่งมีอยู่ในข้าพระองค์
9ข้าแต่พระเจ้าผู้ชอบธรรม
 ผู้ทรงทดลองความคิดและจิตใจ
 ขอให้ความชั่วของคนอธรรมมาถึงที่สิ้นสุด
 แต่ขอทรงสถาปนาคนชอบธรรมขึ้น

อรรถาธิบาย

วางใจในการพิพากษาอย่างยุติธรรม

บางคนอาจคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงพิพากษา จะนำไปสู่ความรุนแรงที่มากขึ้นให้กับโลกปัจจุบันนี้ แต่ความเป็นจริงนั้นตรงกันข้ามกัน เมื่อผู้คนเลิกเชื่อในการพิพากษาของพระเจ้าพวกเขาอาจถูกล่อลวงให้ไว้ใจน้ำมือของตนเอง และหาทางแก้แค้นศัตรูของพวกเขา

ดาวิดวางใจในการพิพากษาของพระเจ้า ว่าพระองค์จะทรงพิพากษาอย่างชอบธรรม ‘คู่อริถูกข้าพระองค์เตรียมห้องพิจารณาคดีแล้ว ถึงเวลาตัดสิน ขอพระองค์ประทับบนบัลลังก์ ยกค้อนแห่งการพิพากษา ขอทรงตัดสินข้าพระองค์ตามความชอบธรรมของข้าพระองค์ ข้าพระองค์มั่นใจในการพิพากษาของพระองค์’ (ข้อ7–8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ดาวิดวางใจว่าพระเจ้าจะเป็นผู้จัดการกับศัตรูของเขา

หากคุณเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาด้วยความชอบธรรม คุณจะสามารถมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตและทำในสิ่งที่พระเยซูทรงดำรัสไว้ได้ ดังนั้นจงรักศัตรูของเรา (ดูมัทธิว 5:43-48, ลูกา 6:27-36)

ในความเป็นจริงนั้นตามที่มิโรสลาฟ โวล์ฟกล่าวไว้ ‘การกระทำที่ปราศจากความรุนแรง จำเป็นต้องเชื่อในการพิพากษาของพระเจ้า’ ดังนั้นปัญหามากมายบนโลกใบนี้จะได้รับการแก้ไข หากผู้คนเชื่อในข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าจะทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม และนั่นเองเราสามารถไว้วางใจให้พระเจ้าจัดวางทุกอย่างให้ถูกต้องได้ในที่สุด

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอลี้ภัยในพระองค์ (สดุดี 7:1) ขอบคุณพระองค์เมื่อข้าพระองค์ได้วางใจในการพิพากษาอันชอบธรรมของพระองค์ ข้าพระองค์ไม่จำเป็นต้องแสวงหาการแก้แค้นที่ไหน แต่ให้รักศัตรูขอข้าพระองค์และอธิษฐานเผื่อผู้ที่ข่มเหงข้าพระองค์ (มัทธิว 5:44)

พันธสัญญาใหม่

มัทธิว 7:24-8:22

รากฐานสองชนิด

 24“เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างบ้านของตนไว้บนศิลา 25แล้วฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะบ้านนั้น แต่บ้านไม่ได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา 26แต่ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนคนที่โง่เขลา สร้างบ้านของตนไว้บนทราย 27แล้วฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะบ้านนั้น บ้านนั้นก็พังทลายลง และการพังทลายนั้นก็ยิ่งใหญ่”

สิทธิอำนาจของพระเยซู

 28เมื่อพระเยซูตรัสคำเหล่านี้เสร็จแล้ว ฝูงชนก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ 29เพราะพระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขาอย่างผู้มีสิทธิอำนาจ ไม่เหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา

มัทธิว 8

พระเยซูทรงรักษาคนโรคเรื้อน

 1เมื่อพระองค์เสด็จลงมาจากภูเขาแล้ว มหาชนติดตามพระองค์ไป 2ขณะนั้นมีคนโรคเรื้อนมากราบไหว้พระองค์ แล้วทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า เพียงแต่พระองค์จะโปรด ก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์หายสะอาดได้” 3พระองค์ยื่นพระหัตถ์และทรงสัมผัสเขา แล้วตรัสว่า “เราพอใจแล้ว จงหายสะอาด” ในทันใดนั้น โรคเรื้อนของเขาก็ได้รับการชำระให้สะอาด 4พระเยซูตรัสสั่งเขาว่า “อย่าเล่าให้ใครฟัง แต่จงไปแสดงตัวกับปุโรหิต และถวายเครื่องบูชาตามซึ่งโมเสสได้สั่งไว้ เพื่อเป็นหลักฐานต่อคนทั้งหลายว่าเจ้าหายโรคแล้ว”

การทรงรักษาบ่าวของนายร้อย

 5เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุม มีนายร้อยคนหนึ่งมาอ้อนวอนพระองค์ 6ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า บ่าวของข้าพระองค์เป็นง่อยอยู่ที่บ้านทนทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง” 7พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราจะไปรักษาเขาให้หาย” 8นายร้อยคนนั้นทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์เป็นคนไม่สมควรที่จะรับเสด็จพระองค์เข้าใต้ชายคาของข้าพระองค์ ขอพระองค์ตรัสเท่านั้น บ่าวของข้าพระองค์ก็จะหายโรค 9เพราะว่าข้าพระองค์อยู่ใต้อำนาจคนอื่น และมีพวกทหารอยู่ใต้อำนาจของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะบอกแก่คนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไป บอกแก่คนนั้นว่า ‘มา’ เขาก็มา บอกทาสของข้าพระองค์ว่า ‘จงทำสิ่งนี้’ เขาก็ทำ” 10เมื่อพระเยซูทรงได้ยินดังนั้นก็ประหลาดพระทัยนัก ตรัสกับบรรดาคนที่ตามพระองค์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่เคยพบศรัทธาที่ไหนมากเท่านี้แม้ในอิสราเอล 11เราบอกพวกท่านว่า คนจำนวนมากที่มาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตกจะมาร่วมงานเลี้ยงกับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบในแผ่นดินสวรรค์ 12แต่ทายาททั้งหลายของแผ่นดินนั้นจะถูกขับไล่ไสส่งออกไปในที่มืด ที่นั่นจะมีเสียงร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน” 13แล้วพระเยซูจึงตรัสกับนายร้อยว่า “จงกลับบ้านเถิด ท่านมีศรัทธาแล้ว จงได้ผลตามศรัทธานั้น” ในทันใดนั้นเอง บ่าวของเขาก็หายเป็นปกติ

การทรงรักษาคนจำนวนมาก

 14เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าไปในบ้านของเปโตร ก็ทอดพระเนตรเห็นแม่ยายของเปโตรนอนป่วยจับไข้อยู่ 15พอพระองค์ทรงสัมผัสมือนาง ไข้ก็หาย นางจึงลุกขึ้นปรนนิบัติพระองค์
 16พอค่ำลง พวกเขาพาคนจำนวนมากที่มีผีสิงมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงขับผีออกด้วยพระดำรัส และบรรดาคนเจ็บป่วยนั้น พระองค์ก็ทรงรักษาให้หาย 17ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสผ่านอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะที่ว่า

“ท่านแบกความเจ็บไข้ของเรา
 และหอบโรคของเราไป”

ผู้ที่จะเป็นสาวกของพระเยซู

 18เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นฝูงชนมาล้อมพระองค์ไว้ พระองค์จึงตรัสสั่งให้ข้ามฟากไป 19ขณะนั้นมีธรรมาจารย์คนหนึ่งมาหาพระองค์ทูลว่า “ท่านอาจารย์ ท่านไปทางไหน ข้าพเจ้าจะตามท่านไปทางนั้น” 20พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “หมาจิ้งจอกยังมีโพรง และนกในอากาศก็ยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ” 21คนหนึ่งในพวกสาวกของพระองค์มาทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้ข้าพระองค์ไปฝังศพพ่อของข้าพระองค์ก่อน” 22พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด ปล่อยให้คนตายฝังคนตายของพวกเขาเองเถิด”

อรรถาธิบาย

วางใจในพระเยซูผู้ได้รับมอบหมายการพิพากษาทั้งหมดจากพระเจ้า

พระเยซูทรงทราบทุกอย่างเกี่ยวกับการสร้างบ้าน ทรงประกอบอาชีพเป็นช่างฝีมือ และเคยทำงานเป็นช่างไม้ อุปมาที่พระองค์แสดงให้เห็น ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและนำใช้ได้จริง เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสองคนสร้างบ้านของตน (7:24–26) ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาอาจจะตั้งใจใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข พวกเขาทั้งคู่กำลังสร้างบางสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยั่งยืน ชีวิตของเราก็เหมือนบ้านเหล่านี้ และสิ่งสำคัญของบ้านคือชีวิตนิรันดร์

องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของบ้าน คือรากฐานของตัวบ้าน บ้านแต่ละหลังอาจมีลักษณะแตกต่างกันไปไม่มากก็น้อย แต่บ้านที่จะไม่พังทลายคือบ้านที่ ‘รากตั้งอยู่บนศิลา’ (ข้อ 25) ในทำนองเดียวกันชีวิตของผู้มีสติปัญญาทั้งสองอาจมีลักษณะคล้ายกัน แต่ความแตกต่างของรากฐานจะปรากฏชัดเจนเมื่อพายุแห่งชีวิตมาถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คุณจะต้องเผชิญกับความท้าทายในชีวิตที่จะเข้ามาในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจผิด ความผิดหวัง ความปรารถนาที่ไม่ได้รับการเติมเต็ม ความสงสัย การทดลอง การล่อลวง ความพ่ายแพ้และการโจมตีของมารซาตาน ความสำเร็จก็สามารถถูกทดลองได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีความกดดัน ความทุกข์ ความเจ็บป่วย การสูญเสียคนรัก ความเศร้าโศก การบาดเจ็บ โศกนาฏกรรม การข่มเหงและความล้มเหลว

แต่ท้ายที่สุดแล้วเราทุกคนจะต้องเผชิญกับความตาย และการพิพากษาจากพระเจ้า ภาพของ ‘ฝน ... ลูกเห็บใหญ่ ... ลมพายุ’ ถูกใช้ในพระธรรมเอเสเคียล เพื่ออ้างถึงการพิพากษาของพระเจ้า (เอเสเคียล 13:11) แต่ภาษาแห่งการพิพากษาไม่ได้จำกัดอยู่ในพันธสัญญาเดิม ที่นี่และที่อื่น ๆ พระเยซูทรงเตือนถึงการพิพากษาที่กำลังจะมาถึงเช่นเดียวกับผู้เขียนในพันธสัญญาใหม่ท่านอื่น ๆ

เมื่อ ‘ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะบ้านนั้น’ (มัทธิว 7:25,27) บ้านที่ไม่ได้พังลงคือบ้านที่ ‘รากตั้งอยู่บนศิลา’ (ข้อ 25) แต่บ้านที่สร้างขึ้นบนทราย ‘บ้านนั้นก็พังทลายลง และการพังทลายนั้นก็ยิ่งใหญ่’ (ข้อ 27) นี่เป็นคำเตือนที่จริงจัง การพิพากษาอาจอยู่ในช่วงชีวิตนี้หรืออาจมาถึงในวันแห่งการพิพากษา แต่สิ่งที่เป็นจริงตามที่พระเยซูตรัส นั่นคือการพิพากษาจะมาถึงแน่นอน

อย่างไรก็ตาม คุณไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว มันอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มั่นใจได้เลยว่าเมื่อฐานรากของบ้านคุณได้รับการทดสอบแล้ว มันก็จะมั่นคง เป็นไปได้ที่จะทราบว่าอนาคตของคุณนั้นมั่นคงแน่นอน

พระเยซูชี้เราให้เห็นความแตกต่างของผู้มีสิติปัญญาที่ไม่เพียงแต่ได้ยินพระวจนะของพระองค์เท่านั้น แต่ยังนำไป ‘ประพฤติตาม’ (ข้อ 24) ในทางกลับกันคนโง่แม้ว่าเขาจะได้ยินพระวจนะของพระเยซู แต่พวกเขา ‘ไม่ประพฤติตาม’ (ข้อ 26)

ความรู้ต้องนำไปสู่การปฏิบัติตาม หลักศาสนศาสตร์ต้องส่งผลต่อชีวิตของเรา ไม่เช่นนั้นเรากำลังสร้างชีวิตไว้บนทราย

พระวจนะของพระเยซูประการแรก คือการเรียกให้เราเชื่อและวางใจในพระองค์ (ยอห์น 6:28–29) เราได้รับความรอดผ่านทางความเชื่อในพระเยซูซึ่งต้องอาศัยการเชื่อฟัง

คุณสามารถมั่นใจได้อย่างเต็มที่ในการพิพากษาของพระเยซู เพราะพระองค์มีสิทธิอำนาจของพระเจ้า พระเยซูประหลาดใจกับความเชื่อของนายร้อยที่มีต่อพระองค์ ทรงตรัสว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่เคยพบศรัทธาที่ไหนมากเท่านี้แม้ในอิสราเอล’ (มัทธิว 8:10)

สิ่งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ความเชื่อของนายร้อย เนื่องจากเขาเชื่อว่าแค่คำตรัสของพระเยซูเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะรักษาบ่าวของเขาให้หาย (ข้อ 8) การที่นายร้อยมีความเชื่ออย่างลึกซึ้งเช่นนี้เป็นเพราะว่าเขาตระหนักว่าในกองทัพ สิทธิอำนาจได้รับมาจากการอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจอีกที ดังนั้นสิทธิอำนาจของพระเยซูจึงได้มาจากการอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระบิดา นายร้อยเห็นว่าเมื่อพระเยซูตรัสก็เท่ากับพระเจ้าทรงตรัส

แต่ในพระธรรมตอนนี้เราจะเห็นว่าพระองค์ก็ประสบกับการไร้บ้านด้วยเช่นกัน (ข้อ 20) และทรงแบกเอาความเจ็บป่วยและความทุกข์ยากของเราไว้บนกางเขน (ข้อ 17)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ขอบคุณพระองค์ที่พระเยซูไม่เพียงแต่เข้าใจในความอ่อนแอของข้าพระองค์เท่านั้น แต่พระองค์ยังสิ้นพระชนม์เพราะบาปของข้าพระองค์ และแบกการพิพากษาทั้งหมดของข้าพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้ไม่ต้องหวาดกลัวอีกต่อไป

พันธสัญญาเดิม

ปฐมกาล 19:1-20:18

ปฐมกาล 19

ความเสื่อมทรามของโสโดม

 1ฝ่ายทูตสวรรค์สององค์นั้นมาถึงเมืองโสโดมในเวลาเย็น โลทกำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมืองโสโดม เมื่อโลทเห็นท่านทั้งสอง เขาก็ลุกขึ้นไปต้อนรับและโน้มตัวลงหน้าซบดิน 2กล่าวว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน ขอท่านแวะไปบ้านข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน ค้างสักคืนหนึ่ง ล้างเท้าของท่าน แล้วค่อยลุกขึ้นแต่เช้า เดินทางต่อไป” ทั้งสองตอบว่า “อย่าเลย เราจะค้างคืนที่ลานเมือง” 3แต่โลทก็รบเร้าชักชวนท่านทั้งสอง ท่านจึงแวะไปกับเขา เข้าไปในบ้านของเขา โลทก็จัดงานเลี้ยงท่านทั้งสอง ปิ้งขนมปังไร้เชื้อ ท่านทั้งสองก็รับประทาน 4ท่านทั้งสองยังไม่ทันเข้านอน พวกผู้ชายเมืองนั้น คือชายชาวเมืองโสโดมทั้งหนุ่มและแก่ทั้งหมดจากทุกมุมเมืองพากันมาล้อมบ้านนั้นไว้ 5พวกเขาร้องเรียกโลทว่า “พวกผู้ชายที่มาหาเจ้าคืนนี้อยู่ที่ไหน? จงส่งพวกเขาออกมาให้เรา เราจะได้มีเพศสัมพันธ์กับพวกเขา” 6 โลทก็ออกทางประตูไปหาชายเหล่านั้น แล้วปิดประตูข้างหลังเขา 7กล่าวว่า “พี่น้องของข้าเอ๋ย ข้าขอเถอะ อย่าทำชั่วเลย 8นี่แน่ะ ข้ามีลูกสาวสองคนยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับชายเลย ข้าจะส่งออกมาให้พวกท่าน พวกท่านจะทำแก่พวกนางอย่างไรก็ได้ตามใจชอบเถิด แต่ขออย่าทำอะไรพวกผู้ชายเหล่านี้เลย เพราะพวกเขามาอยู่ใต้ร่มชายคาของข้าแล้ว” 9แต่พวกนั้นร้องว่า “ถอยไป” และขู่ว่า “เจ้าคนนี้มาขออาศัยอยู่ แล้วยังมาตั้งตัวเป็นผู้พิพากษา เราจะทำชั่วต่อเจ้าให้หนักกว่าที่จะทำแก่คนเหล่านั้นอีก” พวกนั้นผลักโลทโดยแรง และเข้ามาใกล้เพื่อพังประตู 10แต่ชายทั้งสองนั้นยื่นมือออกไปดึงตัวโลทเข้ามาในบ้านแล้วปิดประตูเสีย 11ท่านทั้งสองทำให้พวกผู้ชายที่อยู่หน้าประตูบ้านนั้นตาบอด ทั้งคนหนุ่มและคนแก่ก็เที่ยวคลำหาประตูจนอ่อนใจ

เมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ถูกทำลาย

 12แล้วท่านทั้งสองจึงพูดกับโลทว่า “ที่นี่ท่านมีใครอีกหรือ? บุตรเขย บุตรชาย บุตรหญิง คนของท่านทั้งหมดในเมืองนี้ จงนำออกไปจากที่นี่ 13เพราะเรากำลังจะทำลายที่นี่แล้ว เพราะเสียงร้องกล่าวโทษพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ดังนักหนา และพระยาห์เวห์ทรงใช้เรามาทำลายเมืองนี้เสีย” 14โลทจึงออกไปพูดกับบุตรเขยทั้งสอง ที่จะแต่งงานกับบุตรหญิงทั้งสองของเขาว่า “ลุกขึ้น ออกจากที่นี่เถอะ เพราะพระยาห์เวห์กำลังจะทำลายเมืองนี้” แต่บุตรเขยทั้งสองของเขากลับหาว่าโลทล้อเล่น
 15เมื่อเวลารุ่งเช้า ทูตสวรรค์ทั้งสองจึงเร่งโลทว่า “ลุกขึ้นพาภรรยาของท่าน และบุตรหญิงทั้งสองของท่านผู้อยู่ที่นี่ไปเสีย เกรงว่าพวกท่านจะถูกทำลายเพราะความชั่วของเมืองนี้” 16แต่โลทยังรีรอ ดังนั้นท่านทั้งสองจึงคว้ามือเขาและภรรยา และบุตรหญิงทั้งสอง ด้วยพระเมตตาของพระยาห์เวห์ที่มีต่อเขา ท่านทั้งสองนำเขาออกมาอยู่ที่นอกเมือง 17เมื่อท่านทั้งสองพาพวกเขาออกมานอกเมืองแล้ว ท่านพูดว่า “หนีเอาชีวิตรอดเถิด อย่าเหลียวหลังและอย่าหยุดที่ไหนในที่ลุ่มทั้งหมด หนีไปที่เนินเขา มิฉะนั้นท่านจะถูกทำลาย” 18โลทพูดกับท่านทั้งสองว่า “อย่าเลยเจ้านายของข้าพเจ้า 19ดูเถิด ผู้รับใช้ของท่านเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่านแล้ว และท่านได้สำแดงความกรุณาอันยิ่งใหญ่ในการช่วยชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถหนีไปที่เนินเขา เกรงว่าภัยพิบัตินั้นจะตามทัน และข้าพเจ้าจะตายเสีย 20ดูซิ เมืองโน้นอยู่ใกล้พอที่จะหนีไปถึงได้ และเป็นเมืองเล็ก ขอให้ข้าพเจ้าหนีไปที่นั่น เมืองนั้นเป็นเมืองเล็กๆ ไม่ใช่หรือ? แล้วชีวิตของข้าพเจ้าจะรอด” 21ทูตสวรรค์พูดกับเขาว่า “นี่แน่ะ เราอนุญาตเรื่องนี้ด้วย คือเราจะไม่ทำลายเมืองที่ท่านพูดถึงนั้นเสีย 22เร็วเข้า หนีไปที่นั่น เพราะเราจะทำอะไรไม่ได้จนกว่าท่านจะไปถึงที่นั่น” ฉะนั้นเขาจึงเรียกชื่อเมืองนั้นว่าโศอาร์ 23เมื่อโลทมาถึงเมืองโศอาร์ ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว
 24แล้วพระยาห์เวห์ทรงให้กำมะถันและไฟจากพระยาห์เวห์ ตกจากฟ้าลงมาบนเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ 25และพระองค์ทรงทำลายล้างเมืองเหล่านั้น ที่ลุ่มทั้งหมด ชาวเมืองทั้งสิ้นและพืชที่งอกบนดิน 26ส่วนภรรยาของโลท ผู้ซึ่งอยู่ข้างหลังโลท มองกลับไป นางจึงกลายเป็นเสาเกลือ 27เวลาเช้ามืดอับราฮัมออกไปยังที่ที่ท่านยืนเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 28ท่านมองลงไปทางเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ และที่ดินแดนทั้งหมดในที่ลุ่ม ก็เห็นแผ่นดินลุกเป็นควันพลุ่งขึ้นเหมือนควันเตาเผา 29ดังนั้น เมื่อพระเจ้าทรงทำลายเมืองต่างๆ ในที่ลุ่ม พระเจ้าจึงทรงระลึกถึงอับราฮัม และทรงส่งโลทออกไปจากท่ามกลางการทำลายล้าง เมื่อพระองค์ทรงทำลายล้างเมืองทั้งสองที่โลทอาศัยอยู่

กำเนิดของคนโมอับและคนอัมโมน

 30โลทก็ขึ้นไปจากเมืองโศอาร์ และไปอาศัยอยู่บนเนินเขากับบุตรหญิงสองคน เพราะเขากลัวที่จะอยู่ในเมืองโศอาร์ เขาจึงเข้าไปอยู่ในถ้ำกับบุตรหญิงสองคนของเขา 31คนหัวปีพูดกับน้องว่า “พ่อของเราแก่แล้ว ไม่มีชายใดในโลกที่จะมาสู่ขอเราตามประเพณีของโลก 32มาเถิดให้เราชวนพ่อของเราดื่มเหล้าองุ่น แล้วเราจะนอนกับท่าน เพื่อเราจะสงวนพงศ์พันธุ์ของพ่อของเรา” 33ในคืนวันนั้นนางทั้งสองจึงให้พ่อดื่มเหล้าองุ่น แล้วคนหัวปีเข้าไปนอนกับพ่อของนาง เขาไม่ทราบว่านางมานอนด้วยเมื่อไรและลุกขึ้นไปเมื่อไร 34วันรุ่งขึ้นคนหัวปีจึงพูดกับน้องว่า “ดูซิ เมื่อคืนข้านอนกับพ่อ ให้เราจัดการให้ท่านดื่มเหล้าองุ่นในคืนนี้อีก แล้วเจ้าจงเข้าไปนอนกับท่าน เพื่อเราจะได้สงวนพงศ์พันธุ์ของพ่อของเรา” 35นางทั้งสองจึงให้พ่อของพวกนางดื่มเหล้าองุ่นในคืนนั้นด้วย แล้วคนน้องลุกขึ้นไปนอนกับโลท โลทก็ไม่ทราบว่านางมานอนด้วยเมื่อไรและลุกขึ้นไปเมื่อไร 36ดังนั้นบุตรหญิงทั้งสองของโลทจึงตั้งครรภ์กับบิดาของพวกนางเอง 37คนหัวปีคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และตั้งชื่อว่าโมอับ เขาเป็นบรรพบุรุษของคนโมอับจนทุกวันนี้ 38ส่วนคนน้องคลอดบุตรชายคนหนึ่งด้วย และตั้งชื่อว่า เบนอัมมี เขาเป็นบรรพบุรุษของคนอัมโมนจนทุกวันนี้

ปฐมกาล 20

อับราฮัมกับซาราห์ที่เก-ราร์

 1อับราฮัมเดินทางจากที่นั่นไปยังดินแดนเนเกบ และอาศัยอยู่ระหว่างคาเดชและชูร์ ท่านไปอาศัยอยู่ในเก-ราร์ 2อับราฮัมพูดถึงภรรยาของท่านว่า “นางเป็นน้องสาวของฉัน” อาบีเมเลคพระราชาแห่งเก-ราร์ก็ใช้คนมานำซาราห์ไป 3แต่พระเจ้าเสด็จมาหาอาบีเมเลคทางพระสุบินในเวลากลางคืน และตรัสกับอาบีเมเลคว่า “เจ้าจะต้องตาย เพราะหญิงซึ่งเจ้านำมานั้นมีสามีแล้ว” 4ฝ่ายอาบีเมเลคยังไม่ได้เข้าใกล้นาง ท่านจึงทูลว่า “ข้าแต่องค์เจ้านาย พระองค์จะทรงประหารประชาชาติที่ไม่มีความผิดหรือ? 5ตัวเขาเองบอกข้าพระองค์ไม่ใช่หรือว่า ‘นางเป็นน้องของฉัน’ และนางเองก็พูดเช่นกันว่า ‘เขาเป็นพี่ของฉัน’ ข้าพระองค์ทำดังนี้ด้วยใจซื่อ และด้วยมือนี้ที่ไม่มีความผิด” 6แล้วพระเจ้าตรัสกับท่านในพระสุบินอีกว่า “เราเองรู้แล้วว่าเจ้าทำดังนี้ด้วยใจซื่อ ยิ่งกว่านั้นอีก เราเองเป็นผู้ที่ป้องกันเจ้าไม่ให้ทำบาปต่อเรา เหตุฉะนี้ เราจึงไม่ให้เจ้าแตะต้องหญิงนั้น 7บัดนี้ จงคืนภรรยาของชายนั้นไปเสีย เพราะเขาเป็นผู้เผยพระวจนะ เขาจะอธิษฐานเพื่อเจ้า แล้วเจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าเจ้าไม่คืน ก็จงรู้เถิดว่าเจ้าจะต้องตายแน่ ทั้งเจ้าเอง และทุกคนที่เป็นของเจ้า”
\t 8อาบีเมเลคตื่นบรรทมแต่เช้ามืด ทรงเรียกบรรดาข้าราชการทั้งหมดของพระองค์มา และทรงรับสั่งเรื่องเหล่านี้ทั้งหมดให้พวกเขาฟัง คนเหล่านั้นก็กลัวยิ่งนัก 9อาบีเมเลคตรัสเรียกอับราฮัมมาเข้าเฝ้า และตรัสกับท่านว่า “เจ้าทำอะไรแก่เรานี่ เราได้ทำบาปต่อเจ้าอย่างไร? เจ้าจึงนำบาปใหญ่โตมายังเราและราชอาณาจักรของเรา เจ้าทำสิ่งซึ่งไม่น่าทำแก่เราเลย” 10อาบีเมเลคตรัสกับอับราฮัมว่า “เจ้าคิดอะไร เจ้าจึงทำเช่นนี้” 11อับราฮัมทูลว่า “เพราะข้าพระบาทคิดว่า ในที่นี้ไม่มีความยำเกรงพระเจ้าเสียเลย พวกเขาจะฆ่าข้าพระบาทเสียเพราะเหตุภรรยาของข้าพระบาท  12นอกจากนั้นเธอก็เป็นน้องสาวของข้าพระบาทจริงๆ เป็นบุตรหญิงของบิดาข้าพระบาท แต่ไม่ใช่บุตรหญิงของมารดาข้าพระบาท และนางได้มาเป็นภรรยาข้าพระบาท 13เมื่อพระเจ้าโปรดให้ข้าพระบาทต้องเดินทางจากบ้านบิดาของข้าพระบาท ข้าพระบาทพูดกับนางว่า ‘นี่เป็นความเมตตาที่เจ้าจะทำเพื่อเรา คือทุกที่ที่พวกเราจะไปนั้นจงพูดถึงเราว่า ‘เขาเป็นพี่ชายของข้าพเจ้า’ ” 14อาบีเมเลคจึงทรงนำแกะ โคและทาสชายหญิงประทานให้แก่อับราฮัม แล้วทรงคืนซาราห์ภรรยาของท่านให้ท่าน 15แล้วอาบีเมเลคตรัสว่า “ดูนี่ แผ่นดินของเราก็อยู่ต่อหน้าเจ้า จงอาศัยอยู่ที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ” 16พระองค์ตรัสกับซาราห์ว่า “นี่แน่ะ เราให้เงินหนึ่งพันแผ่นแก่พี่ชายของเจ้า เป็นค่าชดใช้ต่อหน้าทุกคนที่อยู่กับเจ้า เจ้ารับการแก้ไขในทุกเรื่องแล้ว” 17อับราฮัมก็อธิษฐานต่อพระเจ้า พระเจ้าทรงรักษาอาบีเมเลคและมเหสีของพระองค์และทาสหญิงให้หาย สตรีเหล่านั้นก็คลอดบุตร 18เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงปิดครรภ์สตรีทั้งหมดในราชสำนักของอาบีเมเลค เพราะเรื่องซาราห์ภรรยาของอับราฮัม

อรรถาธิบาย

จงเชื่อว่าในท้ายที่สุดแล้วผู้พิพากษาของแผ่นดินโลกจะทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม

เมื่อวานนี้เราได้เห็นวิธีที่อับราฮัมวิงวอนเพื่อเมืองโสโดมและโกโมราห์ เราไม่รู้แน่ชัดว่าบาปของพวกเขาคืออะไร แต่ ‘พระเจ้าตรัสว่า “เสียงร้องกล่าวโทษเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์นั้นดังเหลือเกิน และบาปของเขาก็หนักมาก”’ (18:20)

จากพระธรรมในวันนี้ปรากฏให้เห็นบาปที่แสนหน้าสะพรึงกลัว เกี่ยวกับวัฒนธรรมรวมถึงการรุมข่มขืนของพวกเขา (19:3,5) ในเอเสเคียล 16 ยังกล่าวว่า บาปของพวกเขายังรวมถึง ‘ความจองหองนี่แหละคือความผิดบาปของโสโดมน้องสาวเจ้า นางและลูกสาวมีอาหารเหลือเฟือ ทั้งมีความสุขและความสงบ แต่ไม่ยอมช่วยเหลือคนยากจนและคนขัดสน’ (เอเสเคียล 16:49) นี่อาจเป็นคำอธิบายเกี่ยวกับสังคมตะวันตกของเราก็เป็นได้

พระเจ้าตรัสว่าถ้ามีคนชอบธรรมสิบคนในเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์พระองค์จะละชีวิตเพื่อเห็นแก่พวกเขา ‘เราจะไม่ทำลายเพราะเห็นแก่สิบคนนั้น’ (ปฐมกาล 18:32) พระองค์ประทานโอกาสให้คนที่ ‘ชอบธรรม’ ให้รอดพ้น ‘เมื่อโลทยังรีรอ ทูตสวรรค์จึงคว้ามือเขาและภรรยา และบุตรหญิงทั้งสอง ด้วยพระเมตตาของพระยาห์เวห์ที่มีต่อเขา ท่านทั้งสองนำเขาออกมาอยู่ที่นอกเมือง’ (19:16)

ส่วนการพิพากษาภรรยาของโลทนั้นรุนแรงมาก (ข้อ 26) ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม (และผมก็ไม่มั่นใจว่าผมรู้คำตอบ) แต่นี่เป็นดั่งตัวอย่าง เพราะพระเยซูตรัสว่า ‘จงระลึกถึงภรรยาของโลท!’ (ลูกา 17:32) เราจะไม่มองย้อนกลับไป หากเราละชีวิตจากบาปแล้วเราต้องไม่หันกลับไปหาชีวิตนั้นอีก ทูตสวรรค์บอกโลทว่า ‘หนีเอาชีวิตรอดเถิด!’ (ปฐมกาล 19:17) ในทำนองเดียวกันเราได้รับคำสั่งให้หนีจากความปรารถนาของมาร (2 ทิโมธี 2:22)

แม้แต่อับราฮัมก็ไม่ใช่ผู้ที่ไร้บาป ที่จริงเขาทำบาปแบบเดิมซ้ำอีกครั้ง เมื่อโกหกว่าซาราห์เป็นน้องสาวของเขาและเกือบทำให้เธอเข้าสู่การล่วงประเวณี พระวจนะในพระคัมภีร์ไม่เพียงแต่พระเจ้าจะช่วยคนบาปเท่านั้น แต่พระองค์ยังใช้คนบาปด้วย ทรงอวยพรอับราฮัมและตอบคำอธิษฐานของเขาเช่นกัน (ปฐมกาล 20:7) พระเจ้าทรงใช้เราแม้เราจะทำบาป เพราะพระองค์ทรงเมตตาและพระเยซูทรงรับการพิพากษามาที่พระองค์เอง

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับความแตกต่างบนไม้กางเขนของพระคริสต์ในวันแห่งการพิพากษานี้ ที่ข้าพระองค์มั่นใจได้ว่า ในท้ายที่สุดแล้ว พระผู้พิพากษาโลกนี้จะทรงพิพากษาอย่างชอบธรรม

เพิ่มเติมโดยพิพพา

มัทธิว 8:6

‘องค์พระผู้เป็นเจ้า บ่าวของข้าพระองค์เป็นง่อยอยู่ที่บ้านทนทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง’

นายร้อยไม่เพียงแค่เป็นห่วงเป็นใยครอบครัวและพวกพ้องของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นห่วงบ่าวของเขาด้วย แม้ว่านายร้อยจะเป็นคนนอกและไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเหล่าผู้เชื่อแต่เขาก็ตามหาพระเยซูความเชื่อสามารถพบได้ในสถานที่ทุกประเภท

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม