วัน 99

หยุดความกังวลได้อย่างไร

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 42:6ข-11
พันธสัญญาใหม่ ลูกา 12:1-34
พันธสัญญาเดิม เฉลยธรรมบัญญัติ 9:1-10:22

เกริ่นนำ

ผมจำชื่อของชายคนนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำและผมก็นึกถึงคำพูดของเขาได้ไม่มากนัก เราทั้งคู่อายุสิบแปดปี เขาเพิ่งเข้าร่วมในกองทัพ ขณะที่เขายืนขึ้นเพื่อกล่าวคำบรรยาย เขาได้หยิบรองเท้าบูททหารขึ้นมาเพื่อประกอบการเล่าเรื่องให้เห็นภาพมากขึ้น เขาได้เรียกรองเท้าบูทข้างหนึ่งว่า ‘วางใจ’ และอีกข้างหนึ่ง ‘เชื่อฟัง’ เขาพรรณาว่าสิ่งนี้เปรียบเสมือนรองเท้าบูทข้างซ้ายและขวาของชีวิตคริสเตียน ถึงแม้เขาพูดเพียงแค่เจ็ดนาที แต่ภาพตัวอย่างนั้นตราตรึงใจและผมไม่อาจลืมมันได้เลย

คำว่า ‘วางใจ’ และ ‘เชื่อฟัง’ เป็นบทสรุปที่ดีมากของชีวิตคริสเตียน เราจะเห็นในเนื้อหาสำหรับวันนี้ว่านี่คือทางออกสำหรับการล่อลวง การทดลอง ความกระวนกระวาย ความวิตกกังวล ความกลัว การล้มลงต่อบาปและการต่อสู้ดิ้นรนอื่น ๆ ในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเยซูทรงสำแดงให้เราเห็นถึงวิธีหยุดความกังวลและดำเนินชีวิตต่อไป

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 42:6ข-11

จากดินแดนแห่งแม่น้ำจอร์แดนและภูเขาเฮอร์โมน

ตั้งแต่เนินมิซาร์

7ที่ลึกกู่เรียกที่ลึก
 ในเสียงน้ำตกของพระองค์ คลื่นและระลอกคลื่นทั้งสิ้นของพระองค์
 โถมทับข้าพระองค์แล้ว
8กลางวัน พระยาห์เวห์ทรงบัญชาความรักมั่นคงของพระองค์
 และกลางคืน เพลงของพระองค์อยู่กับข้าพเจ้า
 เป็นคำอธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งชีวิตของข้าพเจ้า
9ข้าพเจ้าทูลพระเจ้า พระศิลาของข้าพเจ้าว่า
 “ไฉนพระองค์ทรงลืมข้าพระองค์?
ไฉนข้าพระองค์ต้องดำเนินไปอย่างทุกข์โศก
 เพราะการบีบบังคับของศัตรู?”
10พวกคู่อริเยาะเย้ยข้าพระองค์
 ดุจจะให้กระดูกของข้าพระองค์แหลกละเอียด
เมื่อพวกเขาพูดกับข้าพระองค์วันแล้ววันเล่าว่า
 “พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
11จิตใจของข้าเอ๋ย ไฉนเจ้าจึงฝ่ออยู่?
 ไฉนเจ้าจึงกระสับกระส่ายอยู่ภายใน?
จงหวังในพระเจ้า เพราะข้าจะยกย่องพระองค์อีก
 ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและพระเจ้าของข้า

อรรถาธิบาย

การล่อลวงและการทดลอง

บ่อยครั้งที่เราหยั่งรากลึกลงไปในช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก ผู้เขียนพระธรรมสดุดีบรรยายสิ่งนี้ออกมาด้วยคำที่ลึกซึ้งกินใจ ‘ที่ลึกกู่เรียกที่ลึก’ (ข้อ 7) สิ่งใดที่ไม่ได้มาจากส่วนลึกในตัวเราจะมิอาจไปถึงส่วนลึกในตัวผู้อื่นได้

จิตใจของผู้เขียนพระธรรมสดุดีนั้นกำลัง ‘ฝ่ออยู่ภายใน’ (ข้อ 6ข) เขารู้สึกราวกับว่าพระเจ้าลืมเขาเสียแล้ว (ข้อ 9) เขา ‘ทุกข์โศกเพราะการบีบบังคับของศัตรู’ (ข้อ 9ข) เขาทรมานดั่งกระดูกที่ ‘แหลกละเอียด’ (ข้อ 10ก) ผู้คนกำลังเยาะเย้ยเขาโดยพูดว่า ‘พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ไหน?’ (ข้อ 10ข) สิ่งนี้คลับคล้ายคลับคลากับวิธีที่บางคนเหน็บแนมคริสเตียนในทุกวันนี้

การล่อลวงและการทดลองของชีวิตปกคลุมเขาได้เหมือนดั่งเสียงน้ำตกของพระองค์ (ข้อ 7) ถึงกระนั้นเขาก็รู้ว่าแม้จะจมอยู่ใต้คลื่นแห่งชีวิต เขาก็วางใจในพระเจ้า เพราะ ‘พระยาห์เวห์ทรงบัญชาความรักมั่นคงของพระองค์ทั้งกลางวัน’ (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ต่อด้วยภาพของสายน้ำที่เชี่ยว เขาได้ร้องเรียกพระเจ้าว่าเป็น ‘พระศิลาของข้าพเจ้า’ (ข้อ 9) แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าพระเจ้าลืมเขาไปแล้ว แต่เขาก็รู้ถึงความจริงว่าพระเจ้าคือความมั่นคงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้

แต่ใจกลางของเรื่องราวทั้งหมดนี้ เขาได้กล่าวกับตัวเองว่า ‘จิตใจของข้าเอ๋ย ไฉนเจ้าจึงฝ่ออยู่? ไฉนเจ้าจึงกระสับกระส่ายอยู่ภายใน? จงหวังในพระเจ้า เพราะข้าจะยกย่องพระองค์อีก ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและพระเจ้าของข้า’ (ข้อ 11) โดยการต่อสู้ การล่อลวงและการทดลองทั้งหมดนี้ ให้สายตาของเราจับจ้องที่พระเจ้า ไว้วางใจและเชื่อฟังพระองค์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงประทานความรักของพระองค์มาสู่ข้าพระองค์ โปรดช่วยข้าพระองค์ที่จะคงไว้ซึ่งความวางใจและเชื่อฟังพระองค์ ‘พระผู้ช่วยให้รอดและพระเจ้าของข้า’ (ข้อ 11)

พันธสัญญาใหม่

ลูกา 12:1-34

คำเตือนเรื่องความหน้าซื่อใจคด

 1ในช่วงนั้นมีฝูงชนนับเป็นพันๆ ชุมนุมเบียดเสียดกันอยู่ พระเยซูทรงเริ่มตรัสกับบรรดาสาวกของพระองค์ก่อนว่า “ท่านทั้งหลายจงระวังเชื้อของพวกฟาริสี คือความหน้าซื่อใจคด 2แต่ไม่มีอะไรที่ปิดบังไว้ที่จะไม่เปิดเผย หรือความลับที่จะไม่เผยให้ประจักษ์ 3ถ้าอย่างนั้น สิ่งสารพัดซึ่งท่านทั้งหลายกล่าวในที่มืดจะได้ยินในที่แจ้ง และซึ่งกระซิบในหูที่ห้องส่วนตัวจะประกาศบนดาดฟ้าหลังคาบ้าน

ผู้ที่เราควรกลัว

 4“มิตรสหายของเราเอ๋ย เราบอกพวกท่านว่า อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย เสร็จแล้วไม่มีอะไรที่จะทำได้อีก 5แต่เราจะเตือนให้ท่านรู้ก่อนว่าควรจะกลัวใคร จงกลัวพระองค์ผู้ที่เมื่อทรงฆ่าแล้วก็ยังมีสิทธิอำนาจที่จะทิ้งลงในนรกได้ แท้จริง เราบอกพวกท่านว่าจงกลัวพระองค์นั้นแหละ 6นกกระจาบห้าตัวเขาขายสองอาส์ซาริอันหนึ่งอาส์ซาริอัน เท่ากับ 1 ใน 16 ของหนึ่งเดนาริอัน ซึ่งหนึ่งเหรียญเดนาริอัน เป็นจำนวนเงินที่จ้างคนงานให้ทำงานวันหนึ่งไม่ใช่หรือ? และนกนั้นแม้สักตัวเดียวพระเจ้าก็ไม่ได้ทรงลืมเลย 7ถึงผมของพวกท่านก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น อย่ากลัวเลย ท่านก็มีค่ามากกว่านกกระจาบหลายตัว

การรับพระคริสต์ต่อหน้ามนุษย์

 8“และเราบอกท่านทั้งหลายว่า ทุกคนที่รับเราต่อหน้ามนุษย์ บุตรมนุษย์จะรับคนนั้นต่อหน้าบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้า 9แต่คนที่ปฏิเสธเราต่อหน้ามนุษย์ คนนั้นจะถูกปฏิเสธต่อหน้าทูตสวรรค์ของพระเจ้า 10ทุกคนที่กล่าวร้ายบุตรมนุษย์จะได้รับการยกโทษ แต่คนที่กล่าวหมิ่นประมาทต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะไม่ได้รับการยกโทษ 11เมื่อเขาทั้งหลายพาพวกท่านเข้าไปอยู่ต่อหน้าธรรมศาลา หรือต่อหน้าเจ้าเมืองและผู้ที่มีอำนาจ อย่ากระวนกระวายว่าจะตอบอย่างไร หรือจะกล่าวอะไร 12เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสอนท่านในเวลานั้นเองว่าควรจะพูดอะไรบ้าง”

อุปมาเรื่องเศรษฐีโง่

 13มีคนหนึ่งในฝูงชนนั้นทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ ช่วยบอกพี่ชายของข้าพเจ้าให้แบ่งมรดกแก่ข้าพเจ้าด้วย” 14แต่พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “พ่อหนุ่ม ใครตั้งเราให้เป็นผู้พิพากษาหรือเป็นผู้แบ่งมรดกให้ท่าน?” 15แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ระวังให้ดี จงหลีกเลี่ยงจากความโลภทุกอย่าง เพราะว่าชีวิตของคนไม่ได้อยู่ที่การมีของฟุ่มเฟือย” 16แล้วพระองค์ตรัสอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาฟังว่า “ไร่นาของเศรษฐีคนหนึ่งเกิดผลบริบูรณ์มาก 17เศรษฐีคนนั้นจึงคิดในใจว่า ‘ข้าจะทำอย่างไรดี? เพราะว่าข้าไม่มีที่ที่จะเก็บพืชผลของข้า’ 18เขาจึงคิดว่า ‘ข้าจะทำอย่างนี้ คือจะรื้อยุ้งฉางของข้าและจะสร้างใหม่ให้ใหญ่โตขึ้น แล้วข้าจะรวบรวมข้าวและสมบัติทั้งหมดของข้าไว้ที่นั่น 19แล้วจะบอกกับจิตใจของข้าว่า “จิตใจเอ๋ย เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากเก็บไว้พอหลายปี จงอยู่สบาย กิน ดื่ม และรื่นเริงเถิด” ’ 20แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘โอ คนโง่ ในคืนวันนี้ชีวิตของเจ้าจะต้องเรียกเอาไปจากเจ้า แล้วของที่เจ้ารวบรวมไว้นั้นจะเป็นของใคร?’ 21คนที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัว และไม่ได้มั่งมีฝ่ายพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้นแหละ”

ความกังวลและความกระวนกระวาย

 22พระเยซูตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “เพราะเหตุนี้เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตว่าจะเอาอะไรกิน และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม 23เพราะว่าชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่ม 24จงพิจารณาดูอีกา มันไม่ได้หว่าน ไม่ได้เกี่ยว และไม่ได้มียุ้งหรือฉาง แต่พระเจ้ายังทรงเลี้ยงมันไว้ พวกท่านประเสริฐกว่านกมากทีเดียว 25มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวายสามารถต่ออายุของตนให้ยืนนานอีกนิดหนึ่งได้? 26เพราะฉะนั้นถ้าสิ่งเล็กน้อยยังทำไม่ได้ ท่านยังจะกระวนกระวายถึงสิ่งอื่นทำไมอีกเล่า? 27จงพิจารณาดูดอกไม้ว่ามันเติบโตขึ้นอย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย แต่เราบอกพวกท่านว่า แม้แต่กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อบริบูรณ์ด้วยศักดิ์ศรี ก็ไม่ได้ทรงแต่งพระองค์คำราชาศัพท์หมายถึง แต่งตัวงามเท่าดอกไม้เหล่านี้สักดอกหนึ่ง 28และถ้าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ โอ พวกที่มีความเชื่อน้อย พระองค์จะทรงตกแต่งท่านยิ่งกว่านั้นมากนัก 29ท่านอย่าเสาะหาว่าจะกินอะไรดีหรือจะดื่มอะไร และอย่ามีใจกังวล 30เพราะว่าพวกต่างชาติทั่วโลกเสาะหาสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด แต่ว่าพระบิดาของท่านทั้งหลายทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการสิ่งเหล่านี้ 31แต่จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งเหล่านี้ให้
 32“ฝูงแกะเล็กน้อยเอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะว่าพระบิดาของพวกท่านชอบพระทัยจะประทานแผ่นดินนั้นให้แก่ท่าน 33จงขายของที่ท่านมีอยู่และทำทาน จงทำถุงใส่เงินสำหรับตนซึ่งไม่รู้จักเก่า คือมีทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ซึ่งไม่รู้จักหมดสิ้น ที่ขโมยไม่ได้เข้ามาใกล้ และที่ตัวแมลงไม่ได้ทำลาย 34เพราะว่าทรัพย์สมบัติของพวกท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย

อรรถาธิบาย

ความกังวลและความกระวนกระวาย

คุณกังวลมากไหม? คุณเคย ‘จมอยู่กับความหวาดกลัว’ หรือ ‘ตื่นตระหนก’ (ข้อ 7,32, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) หรือไม่? คุณเคย ‘กระวนกระวายถึงปัญหา’ (ข้อ 22, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) หรือไม่?

พระเยซูไม่เคยตรัสว่า ‘อย่ากังวลเพราะไม่มีอะไรต้องกังวล’ แต่พระองค์ตรัสว่า ‘อย่ากังวลแม้ว่าจะมีเรื่องให้ต้องกังวลมากมายก็ตาม’ หลายครั้งพระเยซูตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า ‘อย่ากลัว’ (ข้อ 4,7,32) และ ‘อย่ากระวนกระวาย’ (ข้อ 11,22,29) ทางออกสำหรับความกลัวและความกังวลคือการวางใจและเชื่อฟัง พระเยซูทรงประทานเจ็ดวิธีในการจัดการกับความกังวล ความกระวนกระวายและความหวาดกลัว

  1. ยำเกรงพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว
    หากคุณมีความยำเกรงพระเจ้าอย่างถูกต้องและมั่นคง คุณก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว (ข้อ 5) ‘อย่าเงียบหรือนิ่งเฉยต่อการข่มเหงของศัตรู ... ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำกับจิตวิญญาณของท่านได้ มอบความยำเกรงของท่านต่อพระเจ้าผู้ทรงครอบครองชีวิต ร่างกายและจิตวิญญาณ ไว้ในพระหัตถ์ทรงฤทธิ์ของพระองค์’ (ข้อ 5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

  2. รู้จักคุณค่าในตัวคุณที่มีในองค์พระผู้เป็นเจ้า
    พระเยซูทรงตรัสให้คุณไม่ต้องกังวลหรือกลัว เพราะคุณมีค่าอย่างไร้ขีดจำกัดต่อพระเจ้า พระองค์ทรงรักคุณ ‘ท่านก็มีค่ามากกว่านกกระจาบหลายตัว’ (ข้อ 7ข) พระองค์รู้จักคุณอย่างใกล้ชิดสนิทสนม ‘ถึงผมของพวกท่านก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น' (ข้อ 7ก)

  3. เชื่อในฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
    พระองค์ทรงตรัสให้คุณไม่ต้องกังวลเพราะคุณสามารถวางใจในการช่วยกู้ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ เมื่อคุณเผชิญการต่อต้านจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก การชุมนุมและอื่น ๆ พระเยซูตรัสว่า ‘อย่ากระวนกระวายว่าจะตอบอย่างไร หรือจะกล่าวอะไร เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสอนท่านในเวลานั้นเองว่าควรจะพูดอะไรบ้าง’ (ข้อ 11–12)

  4. อย่าพลาดสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต
    พระเยซูตรัสว่าความกระวนกระวายจะทำให้คุณพลาดสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตไป ‘ชีวิตของท่านไม่ได้ถูกกำหนดโดยสิ่งที่ท่านมี แม้ว่าท่านจะมีมากแล้วก็ตาม’ (ข้อ 15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

พระองค์ทรงเล่าเรื่องของเศรษฐีที่มีกิจการที่ประสบความสำเร็จและทำเงินได้มากมายมหาศาล โลกน่าจะต้องชื่นชมเขามาก อย่างไรก็ตามพระเยซูกลับเรียกว่าเขาเป็นคนโง่และคนที่ล้มลงต่อบาป (ข้อ 20) เศรษฐีคนนั้นตั้งสมมติฐานผิด ๆ ว่าเขาอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายปี (ข้อ 19–20) เขาไม่มีความเข้าใจอะไรเกี่ยวกับชีวิตเอาเสียเลย (ข้อ 20)

ชีวิตของเขาจดจ่ออยู่แต่กับตัวเอง คำว่า ‘ข้า’ หรือ ‘ของข้า’ ปรากฏขึ้นถึงสิบเอ็ดครั้ง (ข้อ17–19) ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ‘คนที่ห่อหุ้มเอาไว้แต่ตัวเอง ก็ทำให้ห่อของเขาเล็กน้อยลงตาม’ เขาคิดว่าเขาคู่ควรกับสิ่งที่ทรัพย์สมบัติอันมีค่าของเขา แต่เขากลับล้มเหลวในการเข้าใจหนทางที่จะมั่งมีอย่างแท้จริง เขาไม่ได้ ‘มั่งมีฝ่ายพระเจ้า’ เลย (ข้อ 21) คุณเป็นใครในแบบตัวตนของคุณเองสำคัญยิ่งไปกว่าคุณทำอะไรเพื่อให้มีชีวิตอยู่

  1. ตระหนักว่าความกระวนกระวายเป็นเรื่องไร้ผล
    พระเยซูหนุนใจให้คุณมองข้ามทรัพย์สินทางวัตถุและความต้องการทางกายภาพ ‘อย่ากระวนกระวายว่ามีอะไรวางอยู่บนโต๊ะอาหารหรือจะเอาอะไรนุ่งห่มร่างกาย' (ข้อ 22, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรผิด แต่ไม่ควรให้ความสำคัญมากเกินไป ‘เพราะว่าชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่ม’ (ข้อ 23)

  2. วางใจในการทรงเลี้ยงดูและการทรงจัดเตรียมของพระเจ้า
    พระเยซูชี้ให้เห็นว่า ความกังวลนั้นตรงกันข้ามกับความเชื่อ (ข้อ 28) ถ้าคุณเชื่อคุณจะไม่กังวล 'และถ้าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ โอ พวกที่มีความเชื่อน้อย พระองค์จะทรงตกแต่งท่านยิ่งกว่านั้นมากนัก!’ (ข้อ 28) ความเชื่อเกี่ยวข้องกับความวางใจในการทรงเลี้ยงดูและการทรงจัดเตรียมของพระเจ้า

  3. แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า
    ความวางใจมาพร้อมกับการเชื่อฟัง แทนที่จะสะสมทรัพย์สมบัติไว้ใช้เอง คุณต้อง ‘มั่งมีฝ่ายพระเจ้า’ (ข้อ 21) แทนที่จะกังวลเกี่ยวกับสิ่งของวัตถุ คุณควร ‘แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า’ (ข้อ 31) ซึ่งพระเจ้าทรงประทานให้คุณด้วยเต็มใจ (ข้อ 32) นี่ควรเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของคุณ ‘เพราะว่าทรัพย์สมบัติของพวกท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย’ (ข้อ 34)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับการย้ำเตือนของพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ไม่ต้องกังวลและไม่ต้องกลัว โปรดช่วยข้าพระองค์แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและวางใจว่า ‘พระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งเหล่านี้ให้ (ข้าพระองค์)’ (ข้อ 31)

พันธสัญญาเดิม

เฉลยธรรมบัญญัติ 9:1-10:22

ผลลัพธ์ของการกบฏต่อพระเจ้า

 1“โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิด ท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปในวันนี้ เพื่อจะเข้ายึดครองประชาชาติที่ใหญ่กว่าและมีกำลังมากกว่าท่าน ทั้งเมืองก็ใหญ่และมีกำแพงสูงเทียมฟ้า 2ประชาชนก็สูงใหญ่ เป็นลูกหลานของอานาคผู้ที่ท่านรู้จักแล้ว และท่านได้ยินคำกล่าวถึงพวกเขาว่า ‘ใครจะยืนหยัดต่อสู้กับลูกหลานของอานาคได้?’ 3วันนี้ท่านจงทราบเถิดว่า ผู้ที่ไปดุจเพลิงเผาผลาญข้างหน้าท่านนั้นคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน พระองค์จะทรงทำลายพวกเขาและทรงทำให้เขาพ่ายแพ้ต่อหน้าท่าน ดังนั้นท่านจะขับไล่เขาออกไป และทำลายเขาอย่างรวดเร็ว ดังที่พระยาห์เวห์ทรงสัญญาไว้กับท่านแล้ว
 4“เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงขับไล่เขาออกไปต่อหน้าท่านแล้ว ท่านอย่านึกในใจว่า ‘เพราะความชอบธรรมของข้า พระยาห์เวห์จึงทรงนำข้าให้มายึดครองแผ่นดินนี้’ แต่เพราะความชั่วของประชาชาติเหล่านี้ พระยาห์เวห์จึงทรงขับไล่พวกเขาออกไปต่อหน้าท่าน 5ที่ท่านกำลังจะเข้ายึดครองแผ่นดินของพวกเขานั้น ไม่ใช่เพราะความชอบธรรมของท่าน หรือความซื่อตรงในใจของท่าน แต่เพราะความชั่วช้าของประชาชาติเหล่านี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจึงทรงขับไล่พวกเขาออกเสียต่อหน้าท่าน และเพื่อพระองค์จะทรงให้เป็นจริงตามพระวจนะซึ่งพระยาห์เวห์ทรงปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของท่าน คือต่ออับราฮัม ต่ออิสอัค และต่อยาโคบ
 6“เพราะฉะนั้นท่านพึงทราบเถิดว่า ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแผ่นดินดีนี้ให้ท่านยึดครองนั้น ไม่ใช่เพราะความชอบธรรมของท่าน เพราะว่าท่านเป็นชนชาติที่หัวแข็ง 7จงจำไว้และอย่าลืมว่า ท่านได้ทำให้พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงพระพิโรธที่ในถิ่นทุรกันดาร ตั้งแต่วันที่ท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ จนกระทั่งพวกท่านมาถึงสถานที่นี้ พวกท่านมักกบฏต่อพระยาห์เวห์อยู่เรื่อยมา 8แม้ที่โฮเรบ ท่านก็ทำให้พระยาห์เวห์ทรงพระพิโรธ และพระยาห์เวห์ก็กริ้วมากถึงกับจะทรงทำลายท่านทั้งหลายเสีย 9เมื่อข้าพเจ้าขึ้นไปบนภูเขาเพื่อจะรับศิลาจารึก คือแผ่นจารึกพันธสัญญาซึ่งพระยาห์เวห์ทรงกระทำกับพวกท่าน ข้าพเจ้าอยู่บนภูเขาสี่สิบวันสี่สิบคืน ข้าพเจ้าไม่ได้รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ 10และพระยาห์เวห์ได้ประทานศิลาจารึกสองแผ่นที่ทรงจารึกด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้าแก่ข้าพเจ้า บนแผ่นจารึกนั้นมีพระวจนะทั้งสิ้นซึ่งพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับท่านทั้งหลายบนภูเขาจากท่ามกลางเพลิงในวันที่ประชุมกันอยู่ 11เมื่อสิ้นสี่สิบวันสี่สิบคืนแล้ว พระยาห์เวห์ประทานศิลาจารึกสองแผ่นเป็นแผ่นจารึกพันธสัญญา 12แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงลุกขึ้นรีบลงไปจากที่นี่เถิด เพราะชนชาติของเจ้าซึ่งเจ้านำออกจากอียิปต์ได้ทำเรื่องเสื่อมเสีย พวกเขาได้หันจากทางซึ่งเราบัญชาเขาไว้นั้นอย่างรวดเร็ว เขาได้หล่อรูปเคารพไว้สำหรับตัวเอง’
 13“และพระยาห์เวห์ยังตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เราได้เห็นชนชาตินี้แล้ว และดูสิ เขาเป็นชนชาติที่หัวแข็ง 14ขออย่ายับยั้งเรา ให้เราทำลายพวกเขา และลบชื่อของเขาเสียจากใต้ฟ้า และเราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติที่มีกำลังและมีจำนวนมากกว่าเขา’ 15ข้าพเจ้าจึงกลับลงมาจากภูเขา และภูเขานั้นก็มีเพลิงลุกอยู่ และศิลาพันธสัญญาสองแผ่นนั้นก็อยู่ในมือทั้งสองของข้าพเจ้า 16เมื่อข้าพเจ้ามองดู นี่แน่ะ ท่านทั้งหลายได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านแล้ว ท่านทั้งหลายได้หล่อรูปลูกโคไว้สำหรับตัวเอง ท่านได้หันจากพระมรรคาซึ่งพระยาห์เวห์ทรงบัญชาท่านอย่างรวดเร็ว 17ข้าพเจ้าจึงยกศิลาทั้งสองแผ่นขึ้นและเหวี่ยงเสียจากมือทั้งสองของข้าพเจ้าและทำมันแตกต่อหน้าต่อตาของพวกท่าน 18แล้วข้าพเจ้าก็หมอบกราบลงเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์อย่างครั้งก่อน ไม่ได้รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำสี่สิบวันสี่สิบคืน เพราะบาปทั้งสิ้นที่ท่านทั้งหลายทำ คือได้ทำชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ทำให้พระองค์ทรงพระพิโรธ 19เพราะข้าพเจ้ากลัวพระพิโรธและความเกรี้ยวกราดอย่างรุนแรง ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงมีต่อท่าน จนถึงกับจะทรงทำลายท่านอยู่แล้ว แต่พระยาห์เวห์ทรงฟังข้าพเจ้าในครั้งนั้นด้วย 20พระยาห์เวห์ทรงพระพิโรธอาโรนมาก พระองค์จะทรงทำลายเขาเช่นกัน ในเวลานั้นข้าพเจ้าก็อธิษฐานเผื่ออาโรนด้วย 21แล้วข้าพเจ้าจึงเอาบาปของพวกท่าน คือรูปลูกโคซึ่งพวกท่านสร้างขึ้นนั้นเผาไฟเสีย แล้วทุบและบดให้เป็นผงละเอียดอย่างกับฝุ่น แล้วก็ทิ้งผงนั้นลงในลำธารซึ่งไหลลงมาจากภูเขา
 22“ท่านทั้งหลายได้ทำให้พระยาห์เวห์ทรงพระพิโรธที่ทาเบ-ราห์ และที่มัสสาห์ และที่ขิบโรทหัทธาอาวาห์ 23และเมื่อพระยาห์เวห์ทรงใช้พวกท่านไปจากคาเดชบารเนีย พระองค์ตรัสว่า ‘จงขึ้นไปยึดครองแผ่นดินซึ่งเราได้ให้เจ้า’ แต่ท่านกลับกบฏต่อพระบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ไม่ยอมเชื่อฟังหรือประพฤติตามพระสุรเสียงของพระองค์ 24ท่านทั้งหลายกบฏต่อพระยาห์เวห์ตั้งแต่วันที่ข้าพเจ้ารู้จักท่าน
 25“ข้าพเจ้าจึงหมอบกราบลงเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์สี่สิบวันสี่สิบคืน เพราะพระยาห์เวห์ตรัสว่าจะทรงทำลายท่านทั้งหลายเสีย 26ข้าพเจ้าได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย ขออย่าทรงทำลายประชากรของพระองค์และมรดกของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงไถ่มาด้วยความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ผู้ที่พระองค์ทรงนำออกมาจากอียิปต์ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ 27ขอทรงระลึกถึงบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ คือ อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ขออย่าใส่พระทัยในความดื้อดึง ความชั่วร้าย หรือบาปของชนชาตินี้ 28เกรงว่าชาวแผ่นดินซึ่งพระองค์ทรงนำพวกข้าพระองค์จากมานั้นจะว่า “เพราะพระยาห์เวห์ไม่ทรงสามารถจะนำเขาทั้งหลายเข้าไปในแผ่นดินซึ่งทรงสัญญากับเขาไว้ และเพราะพระองค์ทรงเกลียดชังเขา พระองค์จึงทรงนำเขาออกมาเพื่อจะฆ่าเสียในถิ่นทุรกันดาร” 29แต่เขาทั้งหลายเป็นประชากรของพระองค์และเป็นมรดกของพระองค์ ซึ่งทรงนำออกมาด้วยฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์และด้วยพระกรที่เหยียดออกของพระองค์’

เฉลยธรรมบัญญัติ 10

แผ่นศิลาชุดที่สอง

 1“ในเวลานั้นพระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงสกัดศิลาสองแผ่นให้เหมือนอย่างเดิม แล้วขึ้นมาหาเราบนภูเขาและทำหีบไม้ไว้ด้วย 2แล้วเราจะจารึกบนศิลานั้นด้วยถ้อยคำที่อยู่ในศิลาชุดเดิมที่เจ้าทำแตก และจงเก็บมันไว้ในหีบ’ 3ข้าพเจ้าจึงทำหีบด้วยไม้กระถินเทศ และสกัดศิลาสองแผ่นเหมือนอย่างเดิม และขึ้นไปบนภูเขา มีศิลาสองแผ่นอยู่ในมือของข้าพเจ้า 4แล้วพระองค์จึงทรงจารึกพระบัญญัติสิบประการลงบนศิลาอย่างครั้งก่อน ซึ่งเป็นพระวจนะที่พระยาห์เวห์ตรัสกับพวกท่านบนภูเขาจากท่ามกลางเพลิงในวันที่ประชุมนั้น และพระยาห์เวห์ประทานศิลานั้นแก่ข้าพเจ้า 5แล้วข้าพเจ้าก็กลับลงมาจากภูเขา และเก็บศิลานั้นไว้ในหีบที่ข้าพเจ้าทำขึ้นและศิลาก็ยังอยู่ในหีบนั้น ดังที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาข้าพเจ้าไว้
 6(คนอิสราเอลเดินทางจากเบเอโรทเบเนยาอะคันมาถึงโมเสราห์ อาโรนก็สิ้นชีวิต และฝังไว้ที่นั่น และเอเลอาซาร์บุตรของเขาจึงปฏิบัติหน้าที่ปุโรหิตแทนเขา 7เขาทั้งหลายเดินทางออกจากที่นั่นมาถึงกุดโกดาห์และจากกุดโกดาห์ถึงโยทบาธาห์ เป็นแผ่นดินที่มีลำธารหลายสาย 8ในเวลานั้นพระยาห์เวห์ทรงแยกเผ่าเลวีออกมาให้หามหีบพันธสัญญาแห่งพระยาห์เวห์ ให้ยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เพื่อปรนนิบัติพระองค์ และให้อวยพรในพระนามของพระองค์ จนถึงทุกวันนี้ 9เพราะฉะนั้นคนเลวีจึงไม่มีส่วนแบ่งหรือมรดกกับพวกพี่น้องของตน พระยาห์เวห์เองทรงเป็นมรดกของเขา ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านตรัสแก่เขานั้น)
 10“ข้าพเจ้าก็อยู่บนภูเขาอย่างครั้งก่อนสี่สิบวันสี่สิบคืน ในเวลานั้นพระยาห์เวห์ทรงสดับฟังข้าพเจ้าด้วย พระยาห์เวห์ไม่พอพระทัยที่จะทรงทำลายท่าน 11พระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงลุกขึ้นเดินทางนำหน้าประชาชนต่อไปเถิด เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เข้ายึดแผ่นดิน ซึ่งเราปฏิญาณไว้แก่บรรพบุรุษของพวกเขาว่าจะให้เขานั้น’

สาระสำคัญของพระบัญญัติ

 12“และบัดนี้ คนอิสราเอล พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านมีพระประสงค์อะไรจากท่าน? นอกจากให้ยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ให้ดำเนินตามทางทั้งสิ้นของพระองค์ ให้รักพระองค์ ให้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน 13และให้รักษาพระบัญญัติของพระยาห์เวห์และกฎเกณฑ์ของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้ากำลังบัญชาท่านในวันนี้ เพื่อประโยชน์ของท่าน 14ดูสิ ฟ้าสวรรค์และฟ้าสวรรค์อันสูงสุด และโลกกับทุกสิ่งที่อยู่ในโลกเป็นของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน 15แต่พระยาห์เวห์ทรงผูกพันกับบรรพบุรุษของท่าน และทรงรักพวกเขา และทรงเลือกลูกหลานของเขาคือพวกท่านจากชนชาติทั้งหลาย ดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 16เพราะฉะนั้นจงมีใจเชื่อฟังภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า จงให้ใจของท่านเข้าสุหนัต อย่าหัวแข็งอีกต่อไป 17เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเป็นพระเจ้าของพระทั้งปวง และทรงเป็นจอมเจ้านาย ทรงเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ทรงฤทธิ์และน่าเกรงกลัว ทรงปราศจากอคติ และไม่ทรงรับสินบน 18พระองค์ประทานความยุติธรรมแก่ลูกกำพร้าและแม่ม่าย และทรงรักคนต่างด้าว จึงประทานอาหารและเครื่องนุ่งห่มแก่เขา 19เพราะฉะนั้นพวกท่านจงรักคนต่างด้าว เพราะท่านก็เคยเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์ 20ท่านจงยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน จงปรนนิบัติพระองค์และติดสนิทกับพระองค์ จงสาบานโดยพระนามของพระองค์ 21พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญของท่าน พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของท่าน ผู้ทรงทำการใหญ่และน่าเกรงกลัวซึ่งนัยน์ตาของท่านได้เห็นนี้ 22บรรพบุรุษของท่านลงไปอียิปต์เจ็ดสิบคน และบัดนี้พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงทำให้ท่านมีจำนวนมากดังดวงดาวในท้องฟ้า

อรรถาธิบาย

ความกลัวและการล้มลงต่อบาป

พระพรของพระเจ้าเป็นพระคุณอันแสนบริสุทธิ์ ‘ไม่ใช่เพราะความชอบธรรมของท่าน หรือความซื่อตรงในใจของท่าน’ (9:5) โมเสสเตือนคนของพระเจ้าถึงสิ่งที่ผิดพลาดไปของพวกเขาในอดีต โมเสสบอกพวกเขาถึงสาเหตุที่มาจากการ ‘ไม่ยอมเชื่อฟังหรือประพฤติตามพระสุรเสียงของพระองค์’ (ข้อ 23)

โมเสสเรียกร้องให้พวกเขาวางใจและเชื่อฟังพระเจ้า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านมีพระประสงค์อะไรจากท่าน? นอกจากให้ยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ให้ดำเนินตามทางทั้งสิ้นของพระองค์ ให้รักพระองค์ ให้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน และให้รักษาพระบัญญัติของพระยาห์เวห์และกฎเกณฑ์ของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้ากำลังบัญชาท่านในวันนี้ เพื่อประโยชน์ของท่าน’ (10:12–13)

เมื่อเราถูกทดลองให้ไม่เชื่อฟังพระเจ้า นั่นเป็นเพราะเราไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงประทานผลดีต่อจิตใจของเรา เรามักคิดว่าเรารู้ดีกว่าพระเจ้าว่าอะไรดีที่สุดสำหรับตัวเอง อย่างไรก็ตามความจริงก็คือพระมหาบัญชาทั้งหมดของพระเจ้านั้นก็ ‘เพื่อประโยชน์ของท่าน’ พระเจ้ารักคุณ ทรงห่วงใยคุณและทรงรู้จักคุณ และนั่นคือเหตุผลที่พระองค์ปรารถนาให้คุณเชื่อฟังพระองค์

ความจริงก็คือคุณสามารถวางใจพระเจ้าได้แม้ว่าคุณจะพบว่าพระบัญญัติของพระองค์ยากหรือเข้มงวดมากเพียงใดก็ตาม พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์อำนาจ ทรงเป็นพระเจ้าแห่ง ‘ฟ้าสวรรค์และฟ้าสวรรค์อันสูงสุด และโลกกับทุกสิ่งที่อยู่ในโลกเป็นของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน’ พระองค์ ‘ทรงผูกพัน’ คุณ ‘และทรงรัก’ คุณ ‘และพระองค์ทรงเลือกคุณ’ (ข้อ 14–15)

ความเชื่อนี้อยู่ภายในไม่ใช่แค่ภายนอก ‘จงมีใจเชื่อฟัง’ (ข้อ 16) กระนั้นนี่เป็นความเชื่อที่นำไปสู่การกระทำ คุณถูกเรียกให้ทำตามแบบอย่างของพระเจ้าและประทานความยุติธรรมแก่ลูกกำพร้า และหญิงม่าย และทรงรักคนต่างด้าว จึงประทานอาหารและเครื่องนุ่งห่มแก่เขา (ข้อ 18) จะไม่มีการเหยียดเชื้อชาติเกิดขึ้น เราควรมีความรักและการให้เป็นพิเศษสำหรับคนยากจนและคนต่างด้าว

พระเจ้าทรงสัญญาว่าหากคุณวางใจและเชื่อฟังพระองค์คุณจะเห็นการเติบโตและการทวีคูณ ‘เมื่อบรรพบุรุษของท่านลงไปอียิปต์นั้นมีเพียงเจ็ดสิบคน แต่เดี๋ยวนี้พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงให้ท่านมีจำนวนมากมายดุจดวงดาวในท้องฟ้า’ (ข้อ 22)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงประทานความรักให้กับข้าพระองค์ พระองค์ทรงรัก และทรงเลือกข้าพระองค์ ขอโปรดช่วยข้าพระองค์ในวันนี้ให้ยำเกรงและดำเนินชีวิตในทางของพระองค์ รักและรับใช้พระองค์ด้วยสุดใจและสุดชีวิตของข้าพระองค์ ข้าพระองค์อธิษฐานให้คริสตจักรของพระองค์ทวีคูณมากมายเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ลูกา 12:22

‘อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตว่าจะเอาอะไรกิน และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม’

มันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะหมกมุ่นอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอก สุขภาพและโภชนาการ ฉันต้องยอมรับว่าเมื่อนึกถึงงานเลี้ยงที่กำลังจะมาถึง สิ่งแรกที่ต้องนึกถึงเลยคือฉันจะใส่อะไรดี?!

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม