วัน 101

เจ็ดวิธีในการจำเริญขึ้นในสติปัญญา

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 9:1-12
พันธสัญญาใหม่ ลูกา 13:1-30
พันธสัญญาเดิม เฉลยธรรมบัญญัติ 13:1-14:29

เกริ่นนำ

Lawrence of Arabia (ลอเรนซ์แห่งอาราเบีย) เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาล เนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกดัดแปลงมาจากเรื่องราวของ ที.อี. ลอเรนซ์ ในช่วงเวลาที่ เขาอยู่ในอาระเบีย เขาเป็นนักวิชาการด้านโบราณคดีชาวอังกฤษ และนักยุทธศาสตร์การทหาร (ดำรงตำแหน่งผู้พันเมื่ออายุได้สามสิบปี) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในการทำภารกิจในตะวันออกกลางในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 1 ลอเรนซ์ได้ใคร่ครวญถึงแก่นของสติปัญญาและบันทึกลงในหนังสือของเขา ซึ่งเขียนขึ้นในปี 1926 โดยมีชื่อเรื่องว่า The Seven Pillars of Wisdom (เสาเจ็ดต้นแห่งสติปัญญา)

สันนิษฐานว่าลอเรนซ์ได้แนวคิดนี้มาจากพระธรรมของวันนี้ที่ว่า ‘ปัญญาได้สร้างบ้านของเธอแล้วเธอได้ทำเสาเจ็ดต้นของเธอไว้’ (สุภาษิต 9:1)ในพระคัมภีร์มักใช้เลขเจ็ดเพื่อแสดงถึงความบริบูรณ์ หรือความสมบูรณ์ ในหนังสือพระธรรมสุภาษิตนั้นเราจะพบวิธีต่าง ๆ ที่จะได้มาและจำเริญขึ้นในสติปัญญาโดยมา จากคำสอนของพระเยซูและข้อพระคำต่าง ๆ เจ็ดสิ่งเหล่านี้สามารถเห็นได้ในเนื้อหาของวันนี้

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 9:1-12

งานเลี้ยงของปัญญา

1ปัญญาได้สร้างบ้านของเธอแล้ว
 เธอได้ทำเสาเจ็ดต้นของเธอไว้
2เธอได้ฆ่าสัตว์ของเธอ ได้ผสมเหล้าองุ่นของเธอ
 ได้จัดโต๊ะของเธอแล้วด้วย
3เธอได้ส่งสาวใช้ของเธอออกไป เธอร้องเรียก
 จากที่สูงในเมือง ว่า
4“ใครเป็นคนรู้น้อย ให้เขาหันเข้ามาที่นี่”
 เธอพูดกับผู้ที่ไม่มีสามัญสำนึก ว่า
5“มาเถอะ มารับประทานขนมปังของฉัน
 และดื่มเหล้าองุ่นที่ฉันได้ผสม
6จงทิ้งความรู้น้อยเสีย และมีชีวิตอยู่
 ดำเนินในทางของความรอบรู้นั้นเถิด”

หลักปฏิบัติทั่วไป

7ผู้ที่ว่ากล่าวคนที่ชอบเยาะเย้ยจะได้ความอัปยศ
 และผู้ที่ตักเตือนคนอธรรมจะถูกกล่าวหยาบช้า
8อย่าตักเตือนคนชอบเยาะเย้ย เพราะเขาจะเกลียดเจ้า
 จงตักเตือนคนมีปัญญา และเขาจะรักเจ้า
9จงให้คำสั่งสอนแก่คนมีปัญญาและเขาจะมีปัญญายิ่งขึ้น
 จงสอนคนชอบธรรมและเขาจะเพิ่มพูนการเรียนรู้
10ความยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นที่เริ่มต้นของปัญญา
 และการรู้จักองค์บริสุทธิ์เป็นความรอบรู้
11เพราะโดยปัญญาวันคืนของเจ้าจะทวีขึ้น
 และปีเดือนแห่งชีวิตของเจ้าจะเพิ่มพูน
12ถ้าเจ้ามีปัญญา เจ้าก็มีปัญญาเพื่อตนเอง
 ถ้าเจ้าเยาะเย้ย เจ้าก็จะทนแต่ลำพัง

อรรถาธิบาย

1. การจัดการกับความคิดเห็น

เมื่อเราถูกกล่าวหา ไม่เป็นการดีที่จะโต้ตอบคนที่ชอบเยาะเย้ยเรา (ข้อ 7) เพราะถ้าเราทำอย่างนั้นพวกเขา จะเกลียดเรามากยิ่งขึ้น แต่มันกลับก็คุ้มค่ากว่าที่จะโต้ตอบกับคนที่ ‘มีสติปัญญา’

การตอบสนองต่อคำวิพากวิจารณ์ของเราไม่ควรเป็นการ ‘เยาะเย้ย’ ‘กล่าวหยาบช้า’ หรือ ‘เกลียด’ (ข้อ 7–8) แต่เราต้องเรียนรู้จากสิ่งนั้นเพื่อที่จะ ‘มีปัญญา’ และ ‘เพิ่มพูนการเรียนรู้’ (ข้อ 9) อันที่จริงการ ตอบสนองต่อคำดูถูกของเราควรเพิ่มความ ‘รัก’ เข้าไป (ข้อ 8ข)

นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติของผมต่อคำวิจารณ์มักถูกล่อลวงให้สาดด้วยวาจาคำพูด หรือพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง แต่หนทางของสติปัญญาคือการพยายามเรียนรู้จากการตำหนิติชม หรือคำสั่งสอนไม่ว่าจะยากแค่ไหนก็ตาม

ตัวอย่างเช่น ผมสังเกตเห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาว่าผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเขาพูด มักจะไม่ค่อยพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น แต่ผู้ที่ยอมรับข้อเสนอแนะและไม่ฉุนเฉียวต่อความคิดเห็นที่ เสริมสร้างมักจะได้รับการปรับปรุงตัวอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นคนประสิทธิภาพมากขึ้น ความสัมพันธ์ที่ ถูกต้องกับพระเจ้าจะเพิ่มพูนสติปัญญาของคุณ (ข้อ 10) และทำให้คุณสามารถรับฟังความคิดเห็นที่ เสริมสร้างและเติบโตผ่านมันไปได้

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานสติปัญญาแก่ข้าพระองค์เมื่อข้าพระองค์ให้ข้อเสนอแนะผู้อื่นและขอที่ ข้าพระองค์ยอมรับการเสริมสร้างจากผู้อื่นด้วยเช่นกัน

พันธสัญญาใหม่

ลูกา 13:1-30

จงกลับใจใหม่ไม่เช่นนั้นจะพินาศ

 1ขณะนั้นบางคนซึ่งอยู่ที่นั่นเล่าเรื่องชาวกาลิลีที่ปีลาตเอาเลือดและเครื่องบูชาของพวกเขามาคละเคล้าด้วยกันให้พระเยซูทรงฟัง 2พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายคิดว่าชาวกาลิลีเหล่านั้นเป็นคนบาปยิ่งกว่าชาวกาลิลีอื่นๆ ทั้งหมด เพราะพวกเขาต้องทนทุกข์อย่างนั้นหรือ? 3เราบอกพวกท่านว่า ไม่ใช่ แต่ท่านเองถ้าไม่กลับใจใหม่ก็จะต้องพินาศเหมือนกัน 4สิบแปดคนนั้นที่ถูกหอรบสิโลอัมพังทับตาย ท่านคิดว่าพวกเขาทำผิดมากกว่าคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มทั้งหมดหรือ? 5เราบอกพวกท่านว่า ไม่ใช่ แต่ถ้าท่านทุกคนไม่กลับใจใหม่ก็จะต้องพินาศเช่นกัน”

อุปมาเรื่องต้นมะเดื่อที่ไม่มีผล

 6พระองค์ตรัสอุปมาต่อไปนี้ว่า “ชายคนหนึ่งปลูกต้นมะเดื่อต้นหนึ่งไว้ในสวนองุ่นของตน และเขามาหาผลที่ต้นนั้นแต่ไม่พบ 7เขาจึงพูดกับผู้ที่รักษาเถาองุ่นว่า ‘นี่แน่ะ เรามาหาผลที่ต้นมะเดื่อนี้สามปีแล้ว แต่ไม่พบ จงโค่นมันทิ้งไป จะให้ดินจืดไปเปล่าๆ ทำไม?’ 8แต่ผู้รักษาเถาองุ่นตอบเขาว่า ‘นายเจ้าข้า ขอเก็บเอาไว้อีกปี ลองให้ข้าพเจ้าพรวนดินใส่ปุ๋ยดู 9ถ้าปีหน้ามันเกิดผลก็ดีไป แต่ถ้าไม่ ท่านจะโค่นมันทิ้งก็ได้’ ”

การทรงรักษาหญิงหลังโกงในวันสะบาโต

 10ขณะที่พระเยซูทรงสั่งสอนอยู่ที่ธรรมศาลาแห่งหนึ่งในวันสะบาโต 11มีผู้หญิงคนหนึ่งที่มีผีเข้าสิงซึ่งทำให้นางเป็นโรคมาสิบแปดปีแล้วอยู่ที่นั่นด้วย หลังของนางก็โกง ยืดตัวขึ้นไม่ได้เลย 12เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นจึงทรงเรียกและตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เธอได้รับการปลดปล่อยให้พ้นจากโรคของเธอแล้ว” 13เมื่อพระองค์วางพระหัตถ์บนตัวนาง ทันใดนั้นนางก็ยืดตัวตรงได้ และสรรเสริญพระเจ้า 14แต่นายธรรมศาลาไม่พอใจ เพราะพระเยซูทรงรักษาโรคในวันสะบาโต จึงพูดกับฝูงชนว่า “มีถึงหกวันสำหรับทำงาน จงมาและรับการรักษาโรคภายในหกวันนั้น อย่าทำในวันสะบาโต” 15แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบเขาว่า “โอ พวกหน้าซื่อใจคด พวกท่านทุกคนก็ปล่อยวัวปล่อยลาออกจากคอกของมันพาไปกินน้ำในวันสะบาโตไม่ใช่หรือ? 16ผู้หญิงคนนี้เป็นบุตรสาวของอับราฮัมซึ่งถูกซาตานผูกมัดไว้ถึงสิบแปดปีแล้ว ไม่ควรหรือที่จะให้นางหลุดพ้นจากเครื่องจำจองนี้ในวันสะบาโต?” 17เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว พวกที่เป็นศัตรูกับพระองค์ก็ได้รับความอับอาย แต่ฝูงชนทั้งหมดชื่นชมยินดีกับคุณความดีทุกประการที่พระองค์ทรงทำ

อุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ดและเชื้อขนม

 18พระองค์ตรัสว่า “แผ่นดินของพระเจ้าเหมือนสิ่งใด? และเราจะเปรียบแผ่นดินนั้นกับอะไรดี? 19ก็เป็นเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดเล็กๆ ชนิดหนึ่งซึ่งมีในปาเลสไตน์ ต้นของมันขึ้นสูงถึงสาม สี่เมตรและมีกิ่งก้านเล็กๆ ที่คนหนึ่งเอาไปปลูกในสวน มันงอกขึ้นเป็นต้นใหญ่ และนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้น”
 20พระองค์ตรัสอีกว่า “เราจะเปรียบแผ่นดินของพระเจ้ากับอะไร? 21ก็เป็นเหมือนเชื้อซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถังจนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด”

ประตูคับแคบ

 22พระเยซูเสด็จไปตามบ้านเมืองต่างๆ ทรงสั่งสอนระหว่างทางที่มุ่งไปสู่กรุงเยรูซาเล็ม 23มีคนหนึ่งมาทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า คนที่รอดนั้นมีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นหรือ?” พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า 24“จงเพียรพยายามเข้าไปทางประตูที่คับแคบ เราบอกท่านทั้งหลายว่า แม้คนจำนวนมากพยายามจะเข้าไป แต่จะเข้าไม่ได้ 25เมื่อเจ้าของบ้านลุกขึ้นปิดประตูแล้ว และพวกท่านยืนอยู่ภายนอกเคาะที่ประตูว่า ‘นายเจ้าข้า ช่วยเปิดให้เราด้วย’ แต่เจ้าของบ้านนั้นจะตอบท่านว่า ‘เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากไหน’ 26แล้วท่านจะกล่าวว่า ‘เราเคยกินดื่มกับนาย และนายก็เคยสั่งสอนที่ถนนของเรา’ 27แต่เจ้าของบ้านนั้นจะกล่าวว่า ‘เราไม่รู้ว่าพวกเจ้าที่ทำความชั่วมาจากไหน จงไปให้พ้นหน้าเรา’ 28แล้วจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในเวลาที่พวกท่านเห็นอับราฮัม อิสอัค ยาโคบ และบรรดาผู้เผยพระวจนะในแผ่นดินของพระเจ้า แต่ตัวพวกท่านเองก็จะถูกขับไล่ออกไปอยู่ข้างนอก 29และจะมีคนจากทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ มานั่งร่วมโต๊ะในแผ่นดินของพระเจ้า 30และแน่นอนว่า ผู้ที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับกลายเป็นคนแรก และผู้ที่เป็นคนแรกจะกลับกลายเป็นคนสุดท้าย”

อรรถาธิบาย

2. ตอบสนองความทุกข์ยาก

ในเนื้อหาตอนนี้เราจะเห็นพระเยซูทรงตอบสนองต่อความทุกข์ยากในสองวิธีที่แตกต่างกัน การตอบสนองของพระเยซูต่อผู้คนที่กำลังทุกข์ยากคือทรงตอบสนองด้วยความสงสารอยู่เสมอ ดังที่เราเห็นในการรักษาหญิงหลังโกง (ข้อ 10–16) เรายังเห็นการตอบสนองของพระองค์ที่มี ต่อคำถามเกี่ยวกับ ‘ความทุกข์ยาก’ อีกด้วย

‘ปีลาตฆ่าชาวกาลิลีบางคนในขณะที่พวกเขากำลังนมัสการโดยเอาเลือดและเครื่องบูชาของพวกเขามาคละเคล้าด้วยกัน’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) มีบางคนมาถามพระเยซูตรง ๆ ว่า ‘ทำไมพระเจ้าจึงยอมให้มีความทุกข์?’ ‘ความทุกข์ของพวกเขาเป็นผลมาจากบาปหรือไม่?’

แน่นอนพระเยซูทรงสำแดงสติปัญญาที่เกินคาดผ่านการตอบสนองของพระองค์ ความทุกข์ยากมากมายในโลกเกิดจากความบาปของมนุษย์ และเราทุกคนต่างมีส่วนในความผิดบาปนั้นด้วย กระนั้นพระเยซูทรงสำแดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างบาปกับความทุกข์โดยอัตโนมัติ พวกเขาไม่ได้รับความทุกข์ทรมานเพราะเป็นคนบาปหนายิ่งกว่าชาวกาลิลีอื่น ๆ ทั้งหมด (ข้อ 1–2) พระเยซูคริสต์ยังทรงชี้ให้เห็นด้วยว่า เมื่อมีภัยธรรมชาติทั้งหลายเกิดขึ้นก็ไม่ได้จำเป็นว่านั่น คือ การลงโทษที่มาจากพระเจ้าเสมอไป (ข้อ 1-5)

ถึงแม้จะเป็นการเหมาะสมที่เราจะตรวจสอบท่าทีภายในเมื่อเกิดความทุกข์ แต่เราต้องระมัดระวังอย่างมาก ในการตัดสินว่าเหตุใดคนอื่นจึงทุกข์ พระเยซูไม่สนใจคำอธิบายทางปรัชญาเกี่ยวกับความทุกข์มากนัก แต่พระองค์สนใจการตอบสนองของเราเมื่อพระองค์เตือนถึงอันตรายที่ตามมา เว้นแต่จะ: ‘กลับใจใหม่…’ (ข้อ 3)

3. การโค่นทิ้งและการปลูก

อุปมาเรื่องต้นมะเดื่อ (ข้อ 6–9) เมล็ดมัสตาร์ดและเชื้อขนม (ข้อ 18–20) มอบสติปัญญาให้แก่เราว่าสิ่งต่าง ๆ จำเริญขึ้นในแผ่นดินพระเจ้าอย่างไร เรามาดูกันว่าเมื่อใดคือช่วงเวลาแห่งการดูแลเอาใจใส่ เมื่อใดควรหยุดภารกิจต่าง ๆ และควรเริ่มแผนการต่าง ๆ

พระเจ้าทรงอดทน ทรงประทานเวลาผู้คนได้มีโอกาสกลับใจให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ แทนที่จะตอบ สนองต่อความปรารถนาที่ต้องการโค่นต้นมะเดื่อทันที ชายคนนั้นกลับให้โอกาสมันอีกครั้งหนึ่ง: ‘ถ้าปีหน้ามันเกิดผลก็ดีไป! แต่ถ้าไม่ ท่านจะโค่นมันทิ้งก็ได้’ (ข้อ 9)

กุญแจสำคัญคือ ‘หาผลที่ต้น’ (ข้อ 6) ตัวอย่างเช่นเมื่อเราดูพันธกิจมากมายในคริสตจักร บางพันธกิจเกิด ผลอย่างมาก บางพันธกิจเกิดผลน้อย การทดลองอย่างหนึ่งคือการตัดสิ่งที่เกิดผลน้อยออกทันที อย่างไรก็ตามพระเยซูทรงสนับสนุนให้เราอดทน ‘ถ้าปีหน้ามันเกิดผลก็ดีไป!’ (ข้อ 9ก) แต่ความอดทนนี้ ไม่ได้คงอยู่ตลอดไป บางครั้งอาจถึงเวลาหยุดงานรับใช้ที่ไม่เกิดผล เพื่อ ‘โค่นมันทิ้ง’ (ข้อ 9ข)

อุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด (ข้อ 18–19) และเชื้อขนมปัง (ข้อ 20) เตือนเราว่าแม้ว่าแผ่นดินของพระเจ้า จะเริ่ม ต้นเล็ก ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะเติบโตอย่างเกิดผลมาก เมื่อเมล็ดพืชได้รับการปลูกมันจะ ‘มันงอกขึ้นเป็นต้นใหญ่ และนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้น’ (ข้อ 19) สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงคุณค่ามหาศาลในการปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งอาณาจักร (รวมถึงการบุกเบิกคริสตจักร) นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นว่าเราต้องอดทนรอเพื่อที่จะเห็นการเกิดผลนี้เป็นจริง

4. การจัดการกับความขัดแย้ง

โดยส่วนตัวแล้วผมพบว่าการเผชิญหน้านั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก พระเยซูทรงมีสติปัญญาในการทราบว่า เมื่อใดควรเผชิญหน้า พระองค์ทรงเปิดเผยความหน้าซื่อใจคดและสองมาตรฐานของผู้ที่กล่าวหาพระองค์ ในการรักษาผู้หญิงที่หลังโกงมาสิบแปดปีเพียงเพราะพระองค์กระทำเช่นนั้นในวันสะบาโต ทรงเตือนพวก เขาถึงความสำคัญของความมีเมตตาต่อผู้อื่นเหนือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ หากนั้นเป็นวิธีการที่พวกเขากระทำตาม ในการดูแลฝูงสัตว์ พวกเขาก็ควรกระทำตามเช่นในการดูแลผู้คนด้วยเช่นกัน (ข้อ 15–16)!

พระเยซูทรงตอบสนองด้วยสติปัญญาที่ล้ำเลิศ อันเป็นที่น่า ‘ชื่นชมยินดี’ ของผู้คนมากมาย (ข้อ 17)

5. เข้าเฝ้าพระเยซู

เมื่อมีคนถามคำถามพระเยซูว่า ‘ท่านเจ้าข้า คนที่รอดนั้นมีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นหรือ?’ (ข้อ 23) พระองค์ทรงให้คำตอบที่นำไปปฏิบัติใช้ได้จริง ทรงกล่าวว่า ‘จงเพียรพยายามเข้าไปทางประตูที่คับแคบ’ (ข้อ 24) กล่าวอีกนัยหนึ่งคืออย่ามัวแต่สนใจคนอื่น ๆ ก่อน แต่ต้องมั่นใจว่าคุณเองได้เข้าสู่แผ่นดินของ พระเจ้าแล้ว คุณไม่สามารถรู้เกี่ยวกับคนอื่น ๆ ได้ แต่คุณมั่นใจในตัวเองได้

ในคำอุปมานี้ หลายคนพบว่าตัวเองเข้าไปในบ้านไม่ได้ ซึ่งบ้านนั้นหมายถึงแผ่นดินของพระเจ้า เป็นผลมา จากการขาดความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเยซู เจ้าของบ้านซึ่งเป็นตัวแทนของพระเยซูกล่าวกับคนที่ไม่ได้ เปิดประตูให้ถึงสองครั้งว่า ‘เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากไหน’ (ข้อ 25,27) การเป็นส่วนหนึ่งในแผ่นดินของ พระเจ้าคือการได้เข้าเฝ้าและรู้จักองค์พระเยซู

ดูเหมือนว่าคนที่คิดว่าตัวเองจะได้เป็นส่วนหนึ่งกลับไม่เป็นส่วนหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนได้เข้าในแผ่นดิน ของพระเจ้ามามากกว่าที่คาดไว้เสียอีก ‘จะมีคนจากทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ มานั่งร่วมโต๊ะในแผ่นดินของพระเจ้า’ (ข้อ 29) การเข้าเฝ้าและติดตามพระเยซูเป็นสิ่งที่ควรทำแม้ว่าจะรู้สึก ว่าเราเป็นชนกลุ่มน้อยก็ตาม

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อธิษฐานทูลขอสติปัญญาทั้งในการพูดและการตัดสินใจทั้งหมดที่ข้าพระองค์ทำ ทุกอย่างในวันนี้ โปรดเติมพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์และโปรดประทานสติปัญญาของพระเยซูลง มาเหนือข้าพระองค์

พันธสัญญาเดิม

เฉลยธรรมบัญญัติ 13:1-14:29

 1“ถ้าในท่ามกลางท่านเกิดมีผู้เผยพระวจนะหรือผู้ฝันเห็นเหตุการณ์ขึ้น และสำแดงหมายสำคัญหรือการอัศจรรย์แก่ท่าน 2และหมายสำคัญหรือการอัศจรรย์ซึ่งเขาบอกท่านนั้นสำเร็จจริง ถ้าเขากล่าวว่า ‘ให้เราติดตามพระอื่นๆ กันเถิด (ซึ่งเป็นพระที่ท่านไม่รู้จัก) และให้เรามาปรนนิบัติพระเหล่านั้น’ 3ท่านอย่าเชื่อฟังคำของผู้เผยพระวจนะหรือผู้ฝันเห็นเหตุการณ์คนนั้น เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงลองใจพวกท่านดู เพื่อจะได้ทรงทราบว่าพวกท่านรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจของท่านหรือไม่? 4ท่านทั้งหลายจงดำเนินตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านและยำเกรงพระองค์ และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ และเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และท่านจงปรนนิบัติพระองค์และติดสนิทอยู่กับพระองค์ 5แต่ผู้เผยพระวจนะหรือผู้ฝันเห็นเหตุการณ์คนนั้นต้องมีโทษถึงตาย เพราะเขาได้พูดให้กบฏต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านผู้ทรงนำท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ และทรงไถ่ท่านออกจากแดนทาส เพื่อผลักดันท่านออกไปจากทางซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงบัญชาให้ท่านดำเนิน โดยวิธีนี้ท่านจึงจะขจัดความชั่วไปจากท่ามกลางท่าน
 6“ถ้าพี่ชายน้องชายร่วมมารดาเดียวกันกับท่าน หรือบุตรชายบุตรสาวของท่าน หรือภรรยาที่อยู่ในอ้อมอกของท่าน หรือมิตรสหายร่วมใจของท่าน ชักชวนท่านอย่างลับๆ ว่า ‘ให้เราไปปรนนิบัติพระอื่นๆ กันเถิด’ ซึ่งเป็นพระที่ท่านเองหรือบรรพบุรุษของท่านไม่รู้จัก 7เป็นบรรดาพระของชนชาติทั้งหลายซึ่งอยู่รอบท่าน ไม่ว่าใกล้หรือไกล จากสุดปลายแผ่นดินโลกข้างนี้ถึงสุดปลายแผ่นดินโลกข้างโน้น 8ท่านอย่ายอมตามหรือเชื่อฟังเขา อย่าให้นัยน์ตาของท่านสงสารเขา ท่านอย่าไว้ชีวิตเขา หรืออย่าซ่อนเขาไว้เลย 9ท่านจงประหารเขาเสีย ท่านควรลงมือเป็นคนแรกในการประหารชีวิตเขา และต่อไปให้ประชาชนทั้งหมดลงมือด้วย 10ท่านจงเอาหินขว้างเขาให้ตาย เพราะเขาได้หาทางผลักดันท่านออกไปจากพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ผู้ทรงนำท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ จากแดนทาส 11และคนอิสราเอลทั้งสิ้นจะฟังและยำเกรง ไม่ทำความชั่วเช่นนี้ท่ามกลางท่านอีกเลย
 12“ถ้าท่านได้ยินว่าในเมืองหนึ่งเมืองใดของท่าน ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานให้ท่านอาศัยอยู่นั้น 13มีคนเลวบางคนจากท่ามกลางท่าน ออกไปชักชวนชาวเมืองนั้นว่า ‘ให้เราไปปรนนิบัติพระอื่นๆ กันเถิด’ ซึ่งเป็นพระที่พวกท่านไม่รู้จัก 14ท่านจงสอบถามและอุตส่าห์ค้นคว้า และถามดู และนี่แน่ะ ถ้าเป็นความจริงและแน่นอนว่าสิ่งพึงรังเกียจนั้นยังทำกันอยู่ในท่ามกลางท่าน 15ท่านจงฆ่าชาวเมืองนั้นเสียด้วยคมดาบ ทำลายเสียให้สิ้นเชิงด้วยคมดาบ ทุกอย่างในนั้นรวมทั้งฝูงสัตว์ด้วย 16ท่านจงเก็บของริบในเมืองนั้นไปกองไว้ที่ลานเมือง และเผาเมืองนั้นกับของริบทั้งหมดในเมืองนั้นเสียด้วยไฟถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ให้เป็นเมืองร้างอยู่เป็นนิตย์ ห้ามสร้างขึ้นมาใหม่ 17ห้ามสิ่งที่ต้องทำลายถวายนั้นติดมือท่านไป เพื่อว่าพระยาห์เวห์จะทรงหันจากพระพิโรธยิ่งของพระองค์ และทรงสำแดงพระกรุณาต่อท่าน และทรงรักเอ็นดูท่าน และให้ท่านทวีมากขึ้น ดังที่พระองค์ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่านนั้น 18ถ้าท่านเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน คือรักษาพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้ากำลังบัญชาท่านในวันนี้ และทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน

เฉลยธรรมบัญญัติ 14

พิธีกรรมต้องห้ามของพวกต่างชาติ

 1“ท่านทั้งหลายเป็นบุตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ห้ามเชือดเนื้อตัวเอง หรือทำหน้าผากให้โล้นเพื่อคนตาย 2เพราะท่านเป็นชนชาติบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และเป็นผู้ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงเลือกจากประชาชาติทั้งสิ้นที่อยู่บนพื้นโลก ให้เป็นชนชาติของพระองค์ เป็นของล้ำค่าของพระองค์

อาหารที่สะอาดและที่มลทิน

 3“ห้ามรับประทานสิ่งพึงรังเกียจ 4สัตว์ต่อไปนี้พวกท่านรับประทานได้ คือ โค แกะ แพะ 5กวาง ละมั่ง อีเก้ง แพะป่า สมัน เลียงผา และแกะป่า 6ท่านรับประทานสัตว์ทุกชนิด ที่แยกกีบและกีบผ่าออกเป็นสองและเคี้ยวเอื้องได้ 7แต่ในจำพวกสัตว์เคี้ยวเอื้อง หรือมีกีบผ่านั้น ห้ามรับประทานสัตว์ต่อไปนี้ คือ อูฐ กระต่าย กระจงผา เพราะว่าสัตว์เหล่านี้เคี้ยวเอื้อง แต่กีบไม่ผ่า จึงเป็นสัตว์มลทินแก่ท่าน 8และหมูด้วย เพราะหมูมีกีบผ่าแต่ไม่เคี้ยวเอื้อง จึงเป็นสัตว์มลทินแก่ท่าน ห้ามรับประทานเนื้อของมัน และห้ามแตะต้องซากของมัน
 9“สัตว์เหล่านี้ที่ถูกแยกจากสัตว์ที่อยู่ในน้ำทั้งหมด ท่านรับประทานได้ คือ ทุกสิ่งที่มีครีบและเกล็ด ท่านรับประทานได้ 10แต่ทุกสิ่งที่ไม่มีครีบและเกล็ด ห้ามรับประทาน เป็นสัตว์มลทินแก่ท่าน
 11“นกสะอาดทุกชนิดท่านรับประทานได้ 12แต่นกเหล่านี้ห้ามรับประทานคือ นกอินทรี นกแร้งหนวดแพะ นกออก 13เหยี่ยวหางยาว เหยี่ยวดำ ตามชนิดของมัน 14นกกาทั้งหมดตามชนิดของมัน 15นกกระจอกเทศ นกเค้าโมง นกนางนวล เหยี่ยวนกเขาตามชนิดของมัน 16นกเค้าแมวเล็ก นกทึดทือ นกอีโก้ง 17นกกระทุง แร้ง และนกอ้ายงั่ว 18นกกระสาดำ นกกระสาตามชนิดของมัน นกหัวขวานและค้างคาว 19แมลงมีปีกซึ่งคลานทุกชนิดเป็นสัตว์มลทินแก่ท่าน ห้ามรับประทาน 20สัตว์มีปีกที่สะอาดทุกชนิดท่านรับประทานได้
 21“ห้ามรับประทานสัตว์ทุกชนิดที่ตายเอง ท่านจะให้แก่คนต่างด้าวที่อยู่ภายในเมืองของท่านรับประทานก็ได้ หรือท่านจะขายให้แก่คนต่างชาติก็ได้ เพราะว่าท่านเป็นชนชาติบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย
“ห้ามต้มลูกแพะด้วยน้ำนมแม่ของมัน

กฎเกณฑ์เรื่องทศางค์

 22“ท่านจงถวายทศางค์ของผลิตผลจากพืชพันธุ์ที่ได้ในนาของท่านแต่ละปี 23ท่านจงรับประทานทศางค์ที่ได้จากข้าว เหล้าองุ่น และน้ำมันของท่าน และผลรุ่นแรกจากฝูงโคและฝูงแพะแกะของท่าน เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านในสถานที่ซึ่งพระองค์ทรงเลือกไว้ เพื่อให้พระนามของพระองค์ประทับที่นั่นเพื่อท่านจะได้เรียนรู้ที่จะยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเสมอ 24ถ้าระยะทางไกลเกินไป จนท่านไม่สามารถนำทศางค์มาได้ เพราะสถานที่ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกเพื่อเป็นที่สถาปนาพระนามของพระองค์นั้นอยู่ห่างไกลจากท่านเกินไป เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงอวยพรแก่ท่าน 25ท่านจงขายของนั้นเอาเงินและห่อเงินถือไว้ และไปยังสถานที่ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงเลือกไว้ 26และเอาเงินนั้นซื้อสิ่งใดๆ ที่ท่านปรารถนา จะเป็นโค แกะ หรือเหล้าองุ่น หรือสุรา และสิ่งใดๆ ที่ท่านอยากรับประทาน และท่านจงรับประทานที่นั่นเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และจงยินดีทั้งตัวท่านและครอบครัวของท่านด้วย 27ห้ามทอดทิ้งคนเลวีซึ่งอยู่ในเมืองของท่าน เพราะเขาไม่มีส่วนแบ่งหรือมรดกกับท่าน
 28“เมื่อครบทุกสามปีท่านจงนำทศางค์ทั้งหมดจากพืชผลที่ได้ในปีนั้นมาสะสมไว้ในเมืองของท่าน 29คนเลวี เพราะเขาไม่มีส่วนแบ่งหรือมรดกอย่างท่าน และคนต่างด้าวและลูกกำพร้า และแม่ม่าย ผู้ซึ่งอยู่ภายในเมืองของท่าน จะได้มารับประทานอย่างอิ่มหนำ เพื่อว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงอวยพรแก่บรรดากิจการซึ่งมือของท่านได้ทำนั้น

อรรถาธิบาย

6. ตรวจสอบการเผยพระวจนะ

เราต้องการสติปัญญาในการแยกแยะระหว่างการเผยพระวจนะจริงและเท็จ ‘ผู้เผยพระวจนะ’ ในปัจจุบัน อาจไม่ได้รวมถึงผู้ที่มี ‘ของประทานแห่งการพยากรณ์’ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงใครก็ตามที่เอ่ยถ้อยคำ ‘ในนามของพระเจ้า’ ด้วย เช่น ศิษยาภิบาล นักเทศนา ครู และผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ในทุกกรณีเหล่านี้ เราจำเป็นต้องแยกแยะความจริงออกจากความเท็จให้ได้

หนึ่งในการตรวจสอบผู้เผยพระวจนะว่าจริงหรือไม่ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมปรากฏอยู่ในพระธรรมตอนนี้ แม้ว่าผู้เผยพระวจนะจะสำแดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์มากมาย แต่หากเขากล่าวว่า ‘ให้เราติดตามพระอื่น ๆ กันเถิด’ ผู้คนได้รับคำเตือนว่า: ‘ท่านอย่าเชื่อฟังคำของผู้เผยพระวจนะหรือผู้ฝัน เห็นเหตุการณ์คนนั้น’ (13:2–3) กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพวกเขาต้องตรวจสอบผู้เผยพระวจนะผ่านคำสอนของเขา ไม่ว่าเขาจะนำผู้คนไปหาพระเจ้า หรือห่างจากพระองค์ก็ตาม พระเยซูตรัสว่า ‘พวกท่านจะรู้จักเขา ได้เพราะผลของพวกเขา’ (มัทธิว 7:15–23)

7. ยำเกรงพระเจ้า

คุณเป็นลูกของ ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน’ (เฉลยธรรมบัญญัติ 14:1) และคนของพระเจ้าถูกเรียกให้ เป็นคนบริสุทธิ์ต่อพระองค์ (ข้อ 2ก) คุณถูกเลือกให้เป็น ‘ของล้ำค่าของพระองค์’ (ข้อ 2ข) ภายใต้พันธสัญญาเดิมสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดถึงสิ่งที่กินได้ และไม่สามารถกินได้ ภายใต้พันธสัญญาใหม่พระเยซูทรงประกาศว่าอาหารทุกอย่างสะอาดแล้ว (มาระโก 7:19)

ภายใต้ทั้งพันธสัญญาทั้งเดิมและใหม่วิธีหนึ่งที่คุณสามารถ ‘ยำเกรง’ พระเจ้าได้คือ ผ่านทางการถวาย (เฉลยธรรมบัญญัติ 14:22–23) การให้ถือเป็นพรอย่างยิ่ง พระเจ้าเทพระพรมาสู่คุณเพื่อ ให้คุณอวยพรผู้อื่นได้ และเพื่อให้คุณสามารถเป็นพรกับผู้อื่นต่อไปได้ด้วย (ข้อ 29ค) และพระเจ้าทรง สัญญาว่าจะเทพระพรมาเหนือกิจการงานของเรา (ข้อ 29) นิมิตของพระเจ้าที่มีต่อประชาชนของพระองค์ คือ ให้เป็นสังคมที่มีจุดยืนในการให้ซึ่งกันและกัน ดังที่เมื่อเราได้ใคร่ครวญพระธรรมสุภาษิตในวันนี้ การยำเกรงพระเจ้าเป็น ‘ที่เริ่มต้นของสติปัญญา’ (สุภาษิต 9:10) และ ‘ถ้าเจ้ามีปัญญา เจ้าก็มีปัญญาเพื่อตนเอง’ (ข้อ 12)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณที่ข้าพระองค์เป็นสมบัติล้ำค่าของพระองค์ โปรดช่วยข้าพระองค์ให้จำเริญขึ้นในสติปัญญาทุก ๆ วัน

เพิ่มเติมโดยพิพพา

เพราะไม่ได้มีวุฒิทางการศึกษาที่มากมายอะไร ฉันเลยรู้สึกสบายใจจากข้อพระคำเหล่านี้มาก

‘ใครเป็นคนรู้น้อย ให้เขาหันเข้ามาที่นี่!... จงทิ้งความรู้น้อยเสีย และมีชีวิตอยู่ ดำเนินในทางของความรอบรู้นั้นเถิด.. ความยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นที่เริ่มต้นของปัญญา’ (สดุดี 9:4,6,10)

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม