วัน 104

พระเจ้าทรงมีพระลักษณะอย่างไร?

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 45:1-9
พันธสัญญาใหม่ ลูกา 15:1-32
พันธสัญญาเดิม เฉลยธรรมบัญญัติ 19:1-20:20

เกริ่นนำ

วันหนึ่งเด็กหญิงอายุ 6 ขวบได้วาดรูป ๆ หนึ่ง คุณครูของเธอกล่าวว่า ‘หนูวาดรูปอะไรจ๊ะ?’ เด็กน้อยตอบว่า ‘หนูวาดรูปพระเจ้าค่ะ’ คุณครูก็ประหลาดใจและกล่าวว่า ‘แต่ไม่มีใครรู้ว่าพระเจ้าหน้าตาเป็นอย่างไรนะจ๊ะ!’ เด็กน้อยยังคงวาดต่อไปและตอบว่า ‘เดี๋ยวพวกเขาจะได้รู้ในอีกไม่กี่นาทีนี้ค่ะ’

ข้อดีอย่างหนึ่งของการอ่านพระคัมภีร์ใน 1 ปี คือ เราได้เห็นภาพรวมของธรรมชาติและพระลักษณะของพระเจ้า และได้เข้าใจมากยิ่งขึ้นว่าพระเจ้าทรงมีพระลักษณะเป็นอย่างไร

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 45:1-9

บทขับร้องในพระราชพิธีอภิเษกสมรส

ถึงหัวหน้านักร้อง ตามทำนองพลับพลึง มัสคิลบทหนึ่งของตระกูลโคราห์ บทเพลงรัก

1ใจข้าพเจ้าเต็มล้นด้วยแนวคิดดี
 ข้าพเจ้าเล่าบทประพันธ์ของข้าพเจ้าถวายพระราชา
 ลิ้นของข้าพเจ้าเหมือนปากกาของอาลักษณ์ผู้ชำนาญ
2พระองค์งามสง่ายิ่งกว่ามนุษย์คนใด
 พระคุณไหลหลั่งมายังริมฝีปากของพระองค์
 เพราะฉะนั้น พระเจ้าทรงอวยพรพระองค์เป็นนิตย์
3ข้าแต่กษัตริย์ผู้ทรงอำนาจ ขอทรงคาดดาบไว้ที่บั้นพระองค์
 โดยพระสิริและความสง่างามของพระองค์
4ขอทรงม้าอย่างสง่างามเสด็จไปอย่างมีชัย
 เพื่อเห็นแก่ความจริง ความสุภาพอ่อนโยนและความชอบธรรม
 ให้พระหัตถ์ขวาของพระองค์สอนกิจอันน่าครั่นคร้ามแก่พระองค์
5ลูกธนูของพระองค์ก็คมอยู่ในจิตใจศัตรูของพระราชา
 ชนชาติทั้งหลายล้มอยู่ใต้พระองค์
6พระที่นั่งของพระองค์ซึ่งพระเจ้าประทานนั้นดำรงอยู่เป็นนิตย์นิรันดร์
 พระคทาแห่งราชอาณาจักรของพระองค์เป็นพระคทาเที่ยงธรรม
7พระองค์ทรงรักความชอบธรรมและทรงเกลียดการอธรรม
 ฉะนั้น พระเจ้าคือพระเจ้าของพระองค์ทรงเจิมพระองค์ไว้
 ด้วยน้ำมันแห่งความยินดีเหนือบรรดาพระสหายของพระองค์
8ฉลองพระองค์ทั้งหมดของพระองค์ก็หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นมดยอบ
 กฤษณาส่วนของเนื้อไม้ซึ่งมีสีดำ มีกลิ่นหอม ใช้ทำยาได้ และว่านน้ำ
 จากพระราชวังงาช้าง มีเครื่องสายเครื่องดนตรีประเภทสายทำให้พระองค์ยินดี
9ราชธิดาของกษัตริย์ต่างๆ ประทับท่ามกลางสตรีสูงศักดิ์ของพระองค์
 พระราชินีประดับทองแห่งโอฟีร์ทรงยืนที่ข้างขวาพระหัตถ์พระองค์

อรรถาธิบาย

พระเยซูองค์กษัตริย์

ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูเห็นว่าสดุดีนี้เป็นการพยากรณ์ที่พรรณนาถึงพระเยซู เขาเขียนว่า ‘แต่ส่วนพระบุตรนั้น พระองค์ตรัสว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระที่นั่งของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์...”’ (ดูใน ฮีบรู 1:8-9, อ้างถึงข้อ 6-7 ของบทเพลงสดุดีนี้)

นี่เป็นหนึ่งในกรณีที่ชัดเจนที่สุดในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เกี่ยวกับพระเยซูที่ถูกกล่าวถึงในฐานะที่เป็น ‘พระเจ้า’ และในฐานะที่ทรงเป็นผู้ที่สมควรได้รับนมัสการอย่างแท้จริง พระเยซูทรงเป็นผู้ที่ทำให้ความคาด หวังใน ‘กษัตริย์ผู้ถูกเจิม’ นั้นสำเร็จที่รู้จักในนามของพระเมสสิยาห์ พระเยซูทรงทำให้คำพยากรณ์เหล่านี้สำเร็จ

พระเยซูตรัสว่า ‘คนที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา’ (ยอห์น 14:9) อีกนัยหนึ่งคือ ถ้าคุณต้องการที่จะรู้ว่าพระเจ้า ทรงมีพระลักษณะเป็นอย่างไร ให้ดูที่พระเยซู

‘พระคุณไหลหลั่งมายังริมฝีปากของพระองค์’ (สดุดี 45:2) เราได้เห็นการบอกเป็นนัยเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพใน ข้อพระคำเหล่านี้คือ พระเจ้าพระบิดา (‘พระเจ้าคือพระเจ้าของพระองค์’ สดุดี 45:7) พระเยซูพระบุตร (‘พระที่นั่งของพระองค์’ ข้อ 6ก) และพระวิญญาณบริสุทธิ์ (‘น้ำมันแห่งความยินดี’ ข้อ 7ข, ดูใน อิสยาห์ 61:1, 3)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเยซู กษัตริย์ของข้าพระองค์ ‘ขอทรงม้าอย่างสง่างามเสด็จไปอย่างมีชัยเพื่อเห็นแก่ความจริง ความสุภาพอ่อนโยน และความชอบธรรม ให้พระหัตถ์ขวาของพระองค์สอนกิจอันน่าครั่นคร้าม’ (สดุดี 45:4ก)

พันธสัญญาใหม่

ลูกา 15:1-32

ลูกา 15

อุปมาเรื่องแกะหาย

 1ในเวลานั้นบรรดาคนเก็บภาษีและพวกคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อจะฟังพระองค์ 2พวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์ก็บ่นว่า “คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินด้วยกันกับเขา”
3พระเยซูจึงตรัสอุปมาต่อไปนี้ให้พวกเขาฟังว่า 4“ใครในพวกท่านที่มีแกะร้อยตัวและตัวหนึ่งหลงหายไป จะไม่ทิ้งเก้าสิบเก้าตัวนั้นไว้ที่กลางทุ่งหญ้าแล้วออกไปตามหาตัวที่หายไปนั้นจนกว่าจะพบหรือ? 5และเมื่อพบแล้ว เขาจะยกขึ้นใส่บ่าแบกมาด้วยความชื่นชมยินดี 6เมื่อมาถึงบ้าน เขาก็เชิญมิตรสหายและเพื่อนบ้านให้มาพร้อมกัน แล้วพูดกับพวกเขาว่า ‘มาร่วมยินดีกับข้า เพราะข้าพบแกะของข้าที่หายไปนั้นแล้ว’ 7เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในทำนองเดียวกัน จะมีความชื่นชมยินดีในสวรรค์เรื่องคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่ มากกว่าเรื่องคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ยอมกลับใจ

อุปมาเรื่องเงินเหรียญหาย

 8“หญิงคนใดที่มีเหรียญเงินสิบเหรียญและเหรียญหนึ่งหายไป จะไม่จุดตะเกียงกวาดบ้านค้นหาอย่างละเอียดถี่ถ้วนจนกว่าจะพบหรือ? 9เมื่อพบแล้วนางจะเชิญมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพร้อมกัน แล้วพูดกับพวกเขาว่า ‘มาร่วมยินดีกับฉัน เพราะฉันพบเหรียญเงินที่หายไปนั้นแล้ว’ 10ในทำนองเดียวกัน เราบอกท่านทั้งหลายว่า จะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าเรื่องคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่”

อุปมาเรื่องบุตรหายไป

 11พระเยซูตรัสว่า “ชายคนหนึ่งมีบุตรสองคน 12บุตรคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘พ่อ ขอแบ่งทรัพย์สินส่วนที่ตกเป็นของลูกให้ลูกด้วย’ บิดาจึงแบ่งสมบัติให้แก่บุตรทั้งสอง 13ต่อมาไม่กี่วัน บุตรคนเล็กนั้นก็รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเดินทางไปยังเมืองไกล และผลาญทรัพย์สินของตนที่นั่นด้วยการใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือย 14เมื่อใช้จ่ายจนหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว ก็เกิดกันดารอาหารอย่างรุนแรงทั่วเมืองนั้น เขาจึงเริ่มขาดแคลน 15เขาไปอาศัยอยู่กับชาวเมืองนั้นคนหนึ่ง และคนนั้นก็ใช้เขาไปเลี้ยงหมูที่ทุ่งนา 16เขาอยากจะอิ่มท้องด้วยฝักถั่วที่หมูกินนั้น แต่ไม่มีใครให้อะไรเขาเลย 17เมื่อเขาสำนึกตัวได้ จึงพูดว่า ‘ลูกจ้างของพ่อไม่ว่าจะมีมากสักแค่ไหนก็ยังมีอาหารเหลือเฟือ แต่ข้ากลับต้องมาอดตายที่นี่ 18ข้าน่าจะลุกขึ้นไปหาพ่อ และพูดกับท่านว่า “พ่อ ลูกผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย 19ไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีกต่อไป ขอโปรดให้ลูกอยู่ในฐานะของลูกจ้างคนหนึ่งของท่านเถิด” ’ 20แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปหาบิดา แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาก็เห็นเขาและมีใจสงสาร จึงวิ่งออกไปกอดคอและจูบแก้มของเขา 21บุตรคนนั้นจึงกล่าวกับบิดาว่า ‘พ่อ ลูกผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย ไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีกต่อไป’ 22แต่บิดาสั่งพวกบ่าวของตนว่า ‘จงรีบไปเอาเสื้อที่ดีที่สุดออกมาสวมให้เขา เอาแหวนมาสวมที่นิ้วมือ และเอารองเท้ามาสวมให้ด้วย 23และจงไปเอาลูกวัวตัวที่อ้วนพีมาฆ่าเลี้ยงกันเพื่อความรื่นเริง 24เพราะว่าลูกของเราคนนี้ตายแล้วแต่กลับเป็นขึ้นอีก หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก’ พวกเขาต่างก็มีความรื่นเริง
 25“ส่วนบุตรคนโตนั้นอยู่ที่ทุ่งนา เมื่อเขากลับมาใกล้จะถึงบ้าน ก็ได้ยินเสียงดนตรีและการเต้นรำ 26เขาจึงเรียกบ่าวคนหนึ่งมาถามว่า ‘นี่มันอะไรกัน?’ 27บ่าวจึงตอบว่า ‘น้องของท่านกลับมาแล้ว และพ่อของท่านให้ฆ่าลูกวัวตัวที่อ้วนพีเพราะท่านได้ลูกกลับมาอย่างปลอดภัย’ 28พี่ชายก็โกรธไม่ยอมเข้าไป บิดาจึงออกมาชวนเขา 29แต่เขาบอกบิดาว่า ‘พ่อ ดูซิ ลูกรับใช้พ่อมากี่ปีแล้ว และไม่เคยละเมิดคำบัญชาของพ่อสักข้อหนึ่ง แต่พ่อก็ไม่เคยให้แม้แต่ลูกแพะสักตัวหนึ่งแก่ลูก เพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อนฝูง 30แต่กับลูกคนนี้ของพ่อซึ่งผลาญสมบัติของพ่อด้วยการคบกับพวกหญิงโสเภณี พ่อกลับฆ่าลูกวัวอ้วนพีเพื่อเลี้ยงมัน’ 31บิดาจึงตอบว่า ‘ลูกเอ๋ย ลูกอยู่กับพ่อตลอดเวลา สิ่งของทั้งหมดของพ่อก็เป็นของลูกอยู่แล้ว 32แต่นี่เป็นเรื่องสมควรที่เราจะชื่นชมยินดีและรื่นเริง เพราะน้องคนนี้ของลูกตายไปแล้วแต่กลับเป็นขึ้นอีก หายไปแล้วแต่ยังได้พบกันอีก’ ”

อรรถาธิบาย

พระบิดาผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรัก

พระเจ้าทรงรักคุณด้วยความรักที่ลึกซึ้ง สุดใจ และไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าคุณจะสับสนวุ่นวายในชีวิตมากแค่ไหน และไม่ว่าคุณจะเสียใจมากเพียงใด ก็ไม่สายเกินไปที่จะหันไปหาพระเจ้า พระองค์ทรงยอมรับคุณ และโอบกอด คุณในฐานะของบิดาผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักโอบกอดบุตรที่หลงหาย

พระเยซูทรงทำให้ผู้นำทางความเชื่อต่างตกใจและไม่พอใจ ‘พวกเขาก็บ่นว่า “คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินด้วยกันกับเขา ปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนเป็นสหายเก่า” การบ่นของพวกเขาจุดชนวนเรื่องนี้ขึ้นมา’ (ข้อ 2-3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

พระเยซูจึงตรัสคำอุปมา 3 เรื่องเพื่อแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงห่วงใยผู้ที่หลงหายเป็นอย่างมาก ถ้าคุณเคย ทำสิ่งที่มีค่าสูญหาย ตามหามันแทบหัวชนฝา และสุดท้ายก็หามันเจอ คุณจะจดจำความชื่นชมยินดีเมื่อคุณเจอ สิ่งที่คุณได้ทำหาย พระเยซูตรัสว่าความชื่นชมยินดีนั้นไม่สำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับความชื่นชมยินดีในสวรรค์

เรื่องราวของแกะหลงหายแสดงให้เห็นว่า ‘จะมีความชื่นชมยินดีในสวรรค์เรื่องคนบาปคนเดียวที่ได้รับการช่วยเหลือมากกว่าเรื่องคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ต้องการการช่วยเหลือ’ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เรื่องราวของเหรียญ เงินที่หายไปแสดงให้เห็นว่า ‘พวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าจัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นทุกครั้งที่มีจิตวิญญาณเดียวที่หลง หายได้กลับใจมาหาพระเจ้า’ (ข้อ 10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

จากนั้นในเรื่องราวสั้น ๆ ที่อาจจะเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยเล่ามาคือพระเยซูทรงเปิดเผยสิ่งที่น่าอัศจรรย์อีก อย่างหนึ่งว่าพระเจ้าทรงมีพระลักษณะอย่างไร คือ ทรงเป็นพระบิดาผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรัก

บุตรคนเล็กร้องขอมรดกในขณะที่บิดายังมีชีวิตอยู่และมีสุขภาพที่ดี ตามวัฒนธรรมดั้งเดิมของตะวันออกกลาง สิ่งนี้เทียบเท่ากับการกล่าวว่า ‘พ่อ ผมอยากให้พ่อตาย!’ บิดาชาวตะวันออกกลางดั้งเดิมอาจจะไล่เขาออกจาก บ้านทันที นั้นเพราะมันเป็นคำร้องขอที่รุนแรง ซึ่งคาดว่าบิดาจะปฏิเสธแน่นอน

แต่ด้วยความรักที่แสนวิเศษ บิดาจึงฝ่าฝืนประเพณีและให้อิสระแก่บุตรที่จะขายมรดกในส่วนของเขา (สิ่งนี้อาจนำความอับอายมาสู่ครอบครัวต่อหน้าคนทั้งชุมนุมชน) บุตรชายจึง ‘เปลี่ยนทรัพย์สินเป็นเงินสด’ (ข้อ 13) จากนั้นเขาก็ออกเดินทางและออกจากเมืองโดยเร็วที่สุด

ปัจจุบันมีผู้คนมากมายรวมทั้งผมด้วยที่ได้ประสบกับสิ่งที่บุตรชายคนเล็กต้องเผชิญขณะอยู่ห่างไกลจากบิดาของตน เขากำลังทำลายชีวิตของเขา (‘ผลาญทรัพย์สินของตนที่นั่นด้วยการใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือย’, ข้อ 13) ‘เขาจึงเริ่มเป็นทุกข์’ (ข้อ 14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขาถูกกดขี่ (‘คนนั้นก็ใช้เขา’, ข้อ 15) ภายในของเขารู้สึกว่างเปล่า (‘เขาอยากจะอิ่มท้องด้วยฝักถั่วที่หมูกินนั้น’, ข้อ 16) เขารู้สึกโดดเดี่ยว บนโลกใบนี้ (‘แต่ไม่มีใครให้อะไรเขาเลย’, ข้อ 16)

การหันกลับมาหาพระเจ้าไม่ใช่การกระทำที่ไร้เหตุผล ตรงกันข้ามกัน ‘เขาสำนึกตัวได้’ (ข้อ 17) บุตรนั้นยอม รับว่าต้องการความช่วยเหลือ เขาจึงตัดสินใจที่จะกลืนความทะนงตนและกลับไปหาบิดาของเขา (ข้อ 18) เขารู้ว่าเขาต้องการกลับบ้าน เขาเตรียมพร้อมที่จะยอมรับความผิดบาปของตน เขาวางแผนที่จะพูดกับบิดาของเขาว่า ‘ลูกผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย... ไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูก ของพ่ออีกต่อไป ขอโปรดให้ลูกอยู่ในฐานะของลูกจ้างคนหนึ่งของท่านเถิด’ (ข้อ 18-19)

เราต้องก้าวไปด้วยความเชื่อ ‘แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปหาบิดา’ (ข้อ 20) เขาไม่อาจรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ในช่วงเวลาของพระเยซู เด็กชายชาวยิวที่เสียมรดกของครอบครัวให้กับชาวต่างชาติอาจถูกคนในหมู่บ้านของเขาลงโทษ และพวกเขาจะไม่ข้องเกี่ยวกับบุตรชายที่ไม่เชื่อฟัง

ความรักของพระเจ้านั้นพิเศษและเหนือกว่าทุกสิ่งที่คุณเคยคาดหวังหรือคิดได้ แทนที่เราจะได้รับความอับอาย แต่เราได้รับการอภัยและความรัก ในขณะที่บุตรชายนั้นอยู่ไกลออกไป บิดาของเขาก็เห็นเขา เป็นที่ปรากฏชัด ว่าบิดากำลังรอคอยและเฝ้าดู และไม่เคยลืมบุตรชายของตนเลย ‘หัวใจของเขาก็เต้นแรง เขาจึงวิ่งออกไป กอด และจูบเขา’ (ข้อ 20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) คำที่ใช้มีความหมายเป็นนัยว่าจูบเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่เป็นวิธีที่พระเจ้าทรงต้อนรับคุณ

แค่คุณเริ่มกล่าวถ้อยคำของการกลับใจที่ได้เตรียมไว้ ผู้เป็นบิดาจะขัดจังหวะทันที และปฏิบัติต่อคุณเหมือนดั่งแขกผู้มีเกียรติ ให้คุณสวมเสื้อคลุมที่ดีที่สุด (ข้อ 22) เขามอบสัญลักษณ์เพื่อแสดงความมั่นใจให้แก่คุณโดยการ เอาแหวนประจำตระกูลมาสวมที่นิ้วมือให้ (ข้อ 22, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) บิดาเอารองเท้าที่ไม่ได้สงวนไว้สำหรับทาสแต่สงวนไว้สำหรับบุตรชายมาสวมที่เท้าของคุณ (ข้อ 22) และวางแผนที่จะจัดงานเฉลิมฉลองที่หรูหรา (ข้อ 23-24)

เราได้รู้ว่าพระเจ้าทรงมีพระลักษณ์อย่างไรและพระองค์ทรงรักเรามากเพียงใด อีกครั้งที่เราได้เห็นภาพ ของแผ่นดินสวรรค์ที่เหมือนดั่งงานเลี้ยง สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับที่หลาย ๆ คนคิด พวกเขาไม่เชื่อมโยงพระเจ้า เข้ากับดนตรี และการเต้นรำ งานเลี้ยงและการเฉลิมฉลอง

ความรักของพระเจ้าก็ขยายไปถึงบุตรชายคนโตด้วย ซึ่งเขากำลัง ‘โกรธเคือง’ (ข้อ 28, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) และรู้สึกอิจฉาต่อการได้รับการอภัยและการยอมรับของน้องชาย คุณลองนึกภาพ ว่าบิดาเอาแขนมาโอบกอดเขาและพูดว่า ‘ลูกเอ๋ย ลูกยังไม่เข้าใจ ลูกอยู่กับพ่อตลอดเวลา และสิ่งของทั้งหมด ของพ่อก็เป็นของลูกอยู่แล้ว แต่นี่เป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษ และเราต้องเฉลิมฉลอง น้องคนนี้ของลูกตายไปแล้ว และเขากลับเป็นขึ้นอีก! เขาหายไปแล้วแต่ยังได้พบกันอีก!’ (ข้อ 31-32, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เรื่องราว (ที่เล่าให้เหล่าผู้นำทางความเชื่อฟัง) ได้จบลงด้วยความตื่นเต้น บุตรชายคนโตจะตอบสนองต่อ ความรักของบิดาอย่างไร?

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์อย่างมาก และเมื่อข้าพระองค์สับสน วุ่นวาย พระองค์ก็ไม่ปฏิเสธข้าพระองค์ เมื่อข้าพระองค์กลับใจและกลับมาหาพระองค์ พระองค์ทรงยอมรับข้าพระองค์ และตรัสว่า ‘ให้เราจัดงานเลี้ยงและเฉลิมฉลอง’ (ข้อ 23)

พันธสัญญาเดิม

เฉลยธรรมบัญญัติ 19:1-20:20

กฎหมายเกี่ยวกับเมืองลี้ภัย

 1“เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงทำลายบรรดาชนชาติผู้ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแผ่นดินของพวกเขาแก่ท่าน และท่านขับไล่พวกเขาออกไป และเข้าไปอาศัยอยู่ในเมืองและในบ้านของพวกเขา 2ท่านจงแยกเมืองไว้สามเมืองสำหรับท่าน ในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานให้ท่านไปยึดครองนั้น 3ท่านจงเตรียมหนทาง และแบ่งเขตแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านเป็นมรดกนั้นออกเป็นสามส่วน เพื่อให้ผู้ฆ่าคนทุกคนหนีไปอยู่ที่นั่นได้
 4“นี่คือกรณีของผู้ฆ่าคนที่จะหนีไปที่นั่นได้และมีชีวิตรอด คือผู้ที่ฆ่าเพื่อนบ้านของตนโดยไม่เจตนา โดยไม่ได้เป็นอริกันมาก่อน 5เช่นชายคนหนึ่งเข้าไปในป่าเพื่อจะตัดไม้กับเพื่อนบ้านของเขา เมื่อเขาเหวี่ยงขวานเพื่อจะโค่นต้นไม้ลง หัวขวานหลุดจากด้ามถูกเพื่อนบ้านของเขาและคนนั้นตาย ก็ให้เขาหนีไปยังเมืองเหล่านี้เมืองใดเมืองหนึ่งและรอดชีวิตได้ 6ถ้าไม่เช่นนั้นผู้แก้แค้นแทนโลหิตที่กำลังโกรธจัดจะไล่ตามผู้ฆ่าคนคนนั้นทัน เพราะหนทางไกลแล้วฆ่าเขาเสียแม้ว่าเขาไม่มีโทษถึงตาย เพราะเขาไม่ได้เป็นอริกับเพื่อนบ้านของเขามาก่อน 7เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงบัญชาท่านว่า ให้ท่านจัดแยกเมืองไว้สามเมือง 8และถ้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงขยายอาณาเขตของท่าน ดังที่พระองค์ได้ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่าน และประทานแผ่นดินทั้งหมดที่พระองค์ทรงสัญญาจะประทานแก่บรรพบุรุษของท่านให้แก่ท่าน 9เมื่อท่านรักษาพระบัญญัติทั้งสิ้นซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้และทำตาม ให้ท่านรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และดำเนินอยู่ในพระมรรคาของพระองค์เสมอ แล้วท่านจงเพิ่มเมืองอีกสามเมืองนอกจากสามเมืองเหล่านั้น 10เพื่อจะไม่มีโลหิตไร้ความผิดตกในแผ่นดินของท่านซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านเป็นมรดก ซึ่งจะทำให้โลหิตนั้นตกบนท่าน
 11“แต่ถ้าใครเกลียดชังเพื่อนบ้านของตน และซุ่มคอยดักเขาอยู่และได้ลอบตีเขาถึงแก่ความตาย แล้วชายผู้นั้นก็หนีเข้าไปในเมืองเหล่านั้นเมืองใดเมืองหนึ่ง 12แล้วพวกผู้ใหญ่ในเมืองนั้นจะส่งคนให้ไปนำตัวเขามาจากที่นั่น และมอบเขาไว้ในมือของผู้แก้แค้นแทนโลหิตให้ถึงตาย 13อย่าสงสารเขาเลย แต่ท่านจงกำจัดความผิดเกี่ยวกับโลหิตของผู้บริสุทธิ์ออกไปจากอิสราเอลเพื่อจะเป็นการดีต่อท่าน

ขอบเขตของมรดก

 14“ห้ามย้ายเสาเขตของเพื่อนบ้านของท่าน ซึ่งคนโบราณได้ปักไว้ในเรื่องมรดกของท่านซึ่งท่านจะครอบครองในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานให้ท่านยึดครองนั้น

กฎหมายเกี่ยวกับพยาน

 15“ห้ามพยานปากเดียวกล่าวโทษใคร ไม่ว่าในเรื่องอาชญากรรมหรือในเรื่องความบาปใดๆ ซึ่งเขาได้ทำไป แต่ต้องมีพยานสองหรือสามปาก คำพยานนั้นจึงจะเป็นที่เชื่อถือได้ 16ถ้ามีพยานเท็จกล่าวปรักปรำความผิดของใคร 17ก็ให้ทั้งสองฝ่ายที่ต่อสู้คดีกันนั้นยืนเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ต่อหน้าพวกปุโรหิตและพวกผู้พิพากษาซึ่งประจำการอยู่ในเวลานั้น 18ผู้พิพากษาจะต้องไต่สวนอย่างถี่ถ้วน ถ้าพยานนั้นเป็นพยานเท็จ กล่าวปรักปรำพี่น้องของตนเป็นความเท็จ 19ท่านจงทำต่อเขาดังที่เขาตั้งใจจะทำต่อพี่น้องของตน เพื่อท่านจะกำจัดความชั่วจากท่ามกลางท่านเสีย 20คนอื่นๆ ที่เหลือจะได้ยินและยำเกรง ไม่ทำผิดเช่นนั้นท่ามกลางพวกท่านอีก 21อย่าให้นัยน์ตาของท่านสงสาร ควรให้ชีวิตแทนชีวิต ตาแทนตา ฟันแทนฟัน มือแทนมือ เท้าแทนเท้า

เฉลยธรรมบัญญัติ 20

กฎเกี่ยวกับการสงคราม

 1“เมื่อท่านจะออกไปทำสงครามกับพวกศัตรูของท่าน ท่านเห็นม้า รถรบ และประชาชนจำนวนมากกว่าของท่าน ท่านอย่ากลัวพวกเขาเลย เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ผู้ทรงนำท่านออกมาจากแผ่นดินอียิปต์สถิตกับท่าน 2และเมื่อใกล้จะรบกัน ปุโรหิตจะออกมาอยู่ข้างหน้าและกล่าวแก่ประชาชน 3และจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘โอ อิสราเอล จงฟังเถิด วันนี้พวกท่านมาใกล้จะสู้รบกับศัตรูของท่าน อย่าให้ใจของท่านทั้งหลายวิตก อย่ากลัวหรือหวาดหวั่น หรือครั่นคร้ามต่อพวกเขาเลย 4เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายเสด็จไปกับท่าน ทรงต่อสู้ศัตรูของท่านเพื่อท่าน จะทรงช่วยกู้ท่าน’ 5แล้วพวกนายทหารจะพูดกับประชาชนว่า ‘ใครที่สร้างบ้านใหม่ และยังไม่ได้ทำพิธีถวายบ้านนั้น ให้ผู้นั้นกลับไปบ้านของตน เกรงว่าเขาจะตายเสียในสงคราม และคนอื่นจะถวายบ้านนั้น 6ใครที่ปลูกสวนองุ่นและยังไม่ได้รับประทานผลจากสวนองุ่นนั้น ให้ผู้นั้นกลับไปบ้าน เกรงว่าเขาจะตายเสียในสงคราม และคนอื่นจะรับประทานผลองุ่นนั้น 7ใครที่หมั้นหญิงไว้เป็นภรรยาแล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งงานกัน ให้ผู้นั้นกลับไปบ้านของตน เกรงว่าเขาจะตายเสียในสงคราม และชายอื่นจะได้แต่งงานกับเธอ’ 8และพวกนายทหารจะพูดกับประชาชนต่อไปอีกว่า ‘ใครที่กลัวและมีใจวิตก ให้ผู้นั้นกลับไปบ้านของตนเสีย เกรงว่าใจของพี่น้องของเขาจะละลายไปเหมือนกับใจของเขา’ 9เมื่อพวกนายทหารพูดกับประชาชนจบลงแล้ว ก็จงแต่งตั้งผู้บังคับบัญชากองทัพต่างๆ ขึ้นเป็นหัวหน้าประชาชน
 10“เมื่อท่านเข้าไปใกล้เมืองใดเพื่อจะสู้รบ จงร้องขอสันติภาพกับเมืองนั้น 11ถ้าเขาตอบท่านอย่างสันติและเปิดรับท่าน ก็ให้ประชาชนทั้งหมดที่พบอยู่ในเมืองนั้นเป็นแรงงานเกณฑ์ของท่านและปรนนิบัติท่าน 12ถ้าเมืองนั้นไม่ทำสันติภาพกับท่าน แต่ทำสงครามกับท่าน ก็ให้ท่านเข้าล้อมตีเมืองนั้น 13เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานเมืองนั้นไว้ในมือท่านแล้ว ท่านจงฆ่าชายทุกคนเสียด้วยคมดาบ 14แต่พวกผู้หญิงและเด็ก ฝูงสัตว์และทุกสิ่งในเมืองนั้น คือของที่ริบไว้ทั้งหมดท่านจงยึดเอาเป็นของตน ท่านจงบริโภคของที่ริบมาจากศัตรูของท่าน ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน 15ท่านจงทำเช่นนี้แก่ทุกเมืองที่อยู่ไกลมากจากท่าน ซึ่งไม่ใช่เมืองของชนชาติเหล่านี้ 16แต่ในเมืองของชนชาติเหล่านี้ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านเป็นมรดก ห้ามไว้ชีวิตสิ่งใดที่หายใจได้ 17แต่จงทำลายเขาเสียให้สิ้นเชิง คือคนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงบัญชาไว้ 18เพื่อว่าเขาจะไม่สอนท่านให้ทำสิ่งพึงรังเกียจ ซึ่งเขาได้ทำต่อพระของเขา เพราะการทำเช่นนั้นเป็นการทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน
 19“เมื่อท่านล้อมเมืองหนึ่งอยู่หลายวันเพื่อจะสู้รบและยึดเอาเมืองนั้น ห้ามใช้ขวานฟันทำลายต้นไม้ของเมืองนั้น เพราะท่านจะรับประทานผลจากต้นไม้นั้น อย่าโค่นลงเลย ต้นไม้ในทุ่งนาเป็นมนุษย์หรือ? ท่านจึงไปล้อมโจมตีมัน 20เฉพาะต้นไม้ที่ท่านทราบว่าไม่ใช้เป็นอาหาร ท่านจะทำลายและโค่นลงก็ได้ เพื่อจะใช้สร้างเครื่องล้อมเมืองซึ่งกำลังทำสงครามกับท่าน จนกว่าเมืองนั้นจะแตก

อรรถาธิบาย

ผู้พิพากษาศักดิ์สิทธิ์

มีความสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องอ่านพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมผ่านทางมุมมองของพระเยซู เราไม่สามารถใช้ธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมกับสังคมของเราในยุคปัจจุบันได้ และเราไม่สามารถนำแนวคิด ของ ‘สงครามศักดิ์สิทธิ์’ (20:1-20) และเปลี่ยนมันให้เป็น ‘สงครามครูเสด’ ได้

สิ่งที่เราเห็นตลอดทั่วทั้งพระคัมภีร์คือพระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ และเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม หลักการบางอย่างของระบบกฎหมายของอิสราเอลโบราณมีความเฉพาะเจาะจงสำหรับช่วงเวลานั้น กฎหมายอื่น ๆ สามารถใช้ได้โดยทั่วไปมากกว่า

เห็นได้ชัดว่าการฆาตกรรมเป็นอาชญากรรมที่รุนแรงกว่าการฆ่าคนโดยไม่โดยไม่เจตนา(19:1-13) จำเป็นต้องมีหลักฐานที่ดีก่อนที่ใครสักคนจะถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาชญากรรม (ข้อ 15) การเป็นพยานเท็จเป็นการกระทำความผิดที่ร้ายแรง (ข้อ 16-18) ควรได้รับการลงโทษตามสมควร และตามสัดส่วน (ข้อ 21 สิ่งนี้ไม่เคยถูกนำมาใช้อย่างแท้จริง ยกเว้นในกรณีของการลงโทษประหารชีวิต) จุดประสงค์ที่สองของการกำหนดบทลงโทษคือเพื่อยับยั้งอาชญากรรม (ข้อ 20)

ไม่ใช่ทุกสิ่งในอิสราเอลยุคโบราณที่จะปรับใช้กับเราได้ โดยทางพระเยซูมีการกำหนดวิธีการใหม่ พระพิโรธของพระเจ้าที่มีต่อผู้กระทำความผิดในชุมนุมชนได้มาเยือนอีกครั้งและผ่านตัวแทนของความชอบธรรมนั่นคือบุตรมนุษย์

เราไม่สามารถยอมรับอิสราเอลเพื่อเป็นต้นแบบสำหรับการศึกษาเกี่ยวกับบทลงโทษทางอาชญากรรม ศาสตราจารย์โอลิเวอร์ โอโดโนแวนแห่งออกซ์ฟอร์ด อดีตศาสตราจารย์ในภาควิชาศาสนศาสตร์ได้เขียนว่า ‘ไม่ใช่เพราะว่ามันอาจจะเป็นการใจแคบ แต่เป็นเพราะว่ามันอาจจะผิดหลักที่คริสเตียนจะทำเช่นนั้น เป็นที่รู้กันว่า “อิสราเอล” ถูกอ้างว่าเป็นสถานที่ที่พระเจ้าประทับอยู่บนแผ่นดินโลก ได้ถูกแทนที่โดย พระคริสต์แล้ว’

ตัวอย่างเช่น เมื่อพระเยซูอ้างอิงข้อพระคำตอนนี้ พระองค์ตรัสว่า ‘ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า “ตาแทนตา และฟันแทนฟัน” (เฉลยธรรมบัญญัติ 19:21) ส่วนเราบอกพวกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าใครตบแก้มขวาของท่านก็จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย’ (มัทธิว 5:38-39)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรัก ความยุติธรรม และความจริง ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์เองแก่ข้าพระองค์ เมื่อข้าพระองค์ศึกษาพระวจนะของพระองค์ และใช้เวลาเฉพาะพระพักตร์พระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ลูกา 15:1-32

พระเยซูทรงเล่าเรื่องราว 3 เรื่องเกี่ยวกับแกะ เหรียญ และบุตรชายที่หลงหาย และจากนั้นก็มีความชื่นชมยินดีที่มากล้นจากการที่หาพวกเขาพบ ดูเหมือนว่าเราจะทำสิ่งต่าง ๆ หายในทุก ๆ วัน โดยปกติจะเป็นกุญแจ โทรศัพท์ และแว่นตา ฉันเจอแหวนของคุณยายซึ่งฉันคิดว่าฉันทำมันหายไปแล้ว ฉันรู้สึกเหมือนกันหญิงเหล่านั้นในคำอุปมา คือมีความสุขล้น ฉันก็ยังรู้อีกว่าครั้งหนึ่งฉันเคยหลงหาย และบัดนี้ฉันถูกพบแล้ว

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม