วัน 13

เร่งให้สุดแรงแบบพระเจ้า

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 9:1-6
พันธสัญญาใหม่ มัทธิว 10:32:-11:15
พันธสัญญาเดิม ปฐมกาล 27:1-28:22

เกริ่นนำ

ไม่กี่ปีก่อนพิพพาและผมถูกขอให้พูดในการประชุมที่เมืองซัมเมอร์เซ็ต ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ การเดินทางจากลอนดอนใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง อย่างไรก็ตามมันเป็นวันที่อากาศร้อนจัดและข้างหน้าเรามีรถบรรทุกฟางแห้งเกิดติดไฟ เศษฟางที่ลุกไหม้ไฟได้ร่วงหล่นบนถนนมอเตอร์เวย์ เราจึงติดอยู่บนถนนจนแทบจะจอดสนิทเป็นเวลาถึงห้าชั่วโมง มันเป็นความรู้สึกโล่งใจเมื่อผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ และในที่สุดก็ถึงเวลาเร่งให้สุดแรงเสียที

มีหลายครั้งเมื่อเรารู้สึกว่าติดขัดและไม่สามารถก้าวไปต่อได้ ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นได้กับชีวิตส่วนตัวของเรา ในคริสตจักรของเรา และการรับใช้ของเรา ในบางครั้งความรู้สึกนี้จะเริ่มปรากฏขึ้นและถึงเวลาที่ต้อง 'เร่งให้สุดแรง'เสียที

พระเจ้าสามารถกระตุ้นทุกสิ่งทุกอย่างให้เร็วขึ้นเกินกว่าที่มนุษย์จะสามารถทำได้

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 9:1-6

ฤทธานุภาพและความยุติธรรมของพระเจ้า

ถึงหัวหน้านักร้อง ตามทำนองมุธลับเบน เพลงสดุดีของดาวิด

1ข้าพระองค์จะขอบพระคุณ
 ข้าพระองค์จะเล่าถึงการอัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์
2ข้าพระองค์จะยินดีและปรีดาปราโมทย์ในพระองค์
 ข้าแต่องค์ผู้สูงสุด ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดีพระนามของพระองค์
3เมื่อพวกศัตรูของข้าพระองค์หันกลับ
 เขาทั้งหลายก็สะดุดและพินาศไปเฉพาะพระพักตร์พระองค์
4เพราะพระองค์ทรงให้ความยุติธรรมและความเที่ยงตรงแก่ข้าพระองค์
 พระองค์ประทับบนพระที่นั่งและทรงพิพากษาอย่างชอบธรรม
5พระองค์ได้ทรงตำหนิบรรดาประชาชาติ และทรงทำลายคนอธรรม
 แล้วทรงลบชื่อพวกเขาออกไปเป็นนิตย์นิรันดร์
6ศัตรูได้ถึงจุดจบในความพินาศตลอดกาล
 ส่วนเมืองทั้งหลายของเขา พระองค์ก็ทรงถอนรากถอนโคน
 และอนุสรณ์ของพวกเขาก็สูญไป

อรรถาธิบาย

เตรียมพร้อมรับการข่มเหง

การเร่งให้สุดแรงอาจต้องพบกับแรงต้านที่เพิ่มขึ้น ยิ่งคุณตกเป็นเป้าสายตามากเท่าไหร่ คุณจะได้รับคำวิจารณ์มากขึ้นเท่านั้น คนของพระเจ้าเผชิญการข่มเหงมาโดยตลอด ดาวิดเผชิญหน้ากับ ‘ศัตรู’ มากมาย (สดุดี 9:3-6) ความเป็นปฏิปักษ์และการเป็นศัตรูกันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดและยากลำบากอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามในพระเยซูคริสต์คุณได้รับพระสัญญาว่าในที่สุดคุณจะเอาชนะได้

เราเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้านี้ในเพลงสดุดี ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าสำหรับชัยชนะ ‘ข้าพระองค์จะขอบพระคุณพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจ ข้าพระองค์จะเล่าถึงการอัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์ ข้าพระองค์จะยินดีและปรีดาปราโมทย์ในพระองค์ ข้าแต่องค์ผู้สูงสุด ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดีพระนามของพระองค์ เมื่อพวกศัตรูของข้าพระองค์หันกลับ…’ (ข้อ 1-3)

เรายังคงอยู่ในโลกที่เป็นศัตรูกัน พระเยซูเตือนว่า ‘อย่าคิดว่าเรามาเพื่อทำให้ชีวิตสบาย ๆ’ (มัทธิว 10:34 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล ) พระเยซูตรัสว่า ‘อย่าแปลกใจกับการถูกข่มเหง’

จงเป็นผู้สร้างสันติ (5:9, 38-48) คุณถูกเรียกให้ทำลายวงจรของการแก้แค้น อย่างไรก็ตามการข่มเหงอาจมาจากคนที่อยู่ใกล้ชิดคุณ (10:34–36)

ในปัจจุบันผู้ติดตามพระเยซูหลายล้านคนทั่วโลกกำลังเผชิญกับการถูกทำร้ายร่างกาย เพียงเพราะสิ่งที่พวกเขาเชื่อ บางคนเผชิญกับการถูกคุมขัง และการเลือกปฏิบัติจากรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติ

คุณอาจไม่ได้เผชิญกับการข่มเหงเช่นนี้ในชีวิตของคุณ แต่คุณควรเตรียมพร้อมรับการข่มเหงทุกด้าน ไม่ว่าจะมาจากสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อนและครอบครัวที่ไม่เข้าใจในความเชื่อของคุณ หรือเพื่อนร่วมงานที่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณเชื่อ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า เมื่อข้าพระองค์เผชิญกับการข่มเหง ข้าพระองค์จะขอบพระคุณพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจ ข้าพระองค์จะเล่าถึงการอัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์ ข้าพระองค์จะยินดีและปรีดาปราโมทย์ในพระองค์ (สดุดี 9:1–2ก)

พันธสัญญาใหม่

มัทธิว 10:32:-11:15

การรับพระคริสต์ต่อหน้ามนุษย์

 32“เพราะฉะนั้นทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ 33แต่ผู้ใดจะไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่ยอมรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ด้วย

ไม่ได้นำสันติภาพแต่นำดาบมา

 34“อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะนำสันติภาพมาสู่โลก เราไม่ได้นำสันติภาพมาให้ แต่เรานำดาบมา 35เรามาเพื่อจะให้
 ลูกชายหมางใจกับบิดาของตน
  ลูกสาวหมางใจกับมารดา
 ลูกสะใภ้หมางใจกับแม่ผัว
  36และผู้ที่อยู่ร่วมบ้านเดียวกันก็จะเป็นศัตรูต่อกัน

37ใครที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเรา ก็ไม่มีค่าควรกับเรา และใครที่รักบุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา คนนั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา 38และใครที่ไม่รับกางเขนของตนและตามเราไป คนนั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา 39ผู้ที่จะเอาชีวิตของตนรอด จะกลับเสียชีวิต แต่ผู้ที่เสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เราก็จะได้ชีวิตรอด

บำเหน็จ

 40“ผู้ที่ต้อนรับท่านทั้งหลายก็ต้อนรับเรา และผู้ที่ต้อนรับเราก็ต้อนรับพระองค์ที่ทรงใช้เรามา 41ผู้ที่ต้อนรับผู้เผยพระวจนะเพราะเป็นผู้เผยพระวจนะ ก็จะได้บำเหน็จอย่างที่ผู้เผยพระวจนะพึงได้รับ และผู้ที่ต้อนรับคนชอบธรรมเพราะเป็นคนชอบธรรม ก็จะได้บำเหน็จอย่างที่คนชอบธรรมพึงได้รับ 42และถ้าผู้ใดจะเอาน้ำเย็นสักถ้วยหนึ่ง ให้คนเล็กน้อยเหล่านี้คนใดคนหนึ่งดื่ม เพราะเป็นสาวกของเรา เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า คนนั้นจะไม่ขาดบำเหน็จแน่นอน”

มัทธิว 11

ผู้ส่งข่าวของยอห์นผู้ให้บัพติศมา

 1เมื่อพระเยซูตรัสสั่งสาวกสิบสองคนของพระองค์เสร็จแล้ว พระองค์เสด็จจากที่นั่นไปทรงสั่งสอนและทรงประกาศในเมืองของเขาทั้งหลาย 2ยอห์นซึ่งอยู่ในคุก ได้ยินเกี่ยวกับงานต่างๆ ของพระคริสต์ก็ใช้พวกศิษย์ไป 3ทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นคนที่จะมานั้น หรือว่าเราจะต้องรอคอยคนอื่น?” 4พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “ไปบอกยอห์นในสิ่งที่พวกท่านได้ยินและได้เห็น 5คือว่าบรรดาคนตาบอดเห็นได้ พวกคนง่อยเดินได้ บรรดาคนที่เป็นโรคเรื้อนหายสะอาด บรรดาคนหูหนวกได้ยิน บรรดาคนตายเป็นขึ้น และคนยากจนทั้งหลายได้รับข่าวดี 6ใครไม่มีเหตุสะดุดในตัวเรา คนนั้นก็เป็นสุข” 7ขณะที่เขาทั้งหลายกลับไป พระเยซูทรงเริ่มตรัสกับฝูงชนเกี่ยวกับยอห์นว่า “ท่านทั้งหลายออกไปยังถิ่นทุรกันดารเพื่อดูอะไร? คงไม่ใช่ดูต้นอ้อไหวเมื่อถูกลมพัดหรอกนะ 8แล้วท่านออกไปดูอะไร? ดูคนที่นุ่งห่มผ้าเนื้อดีหรือ? นี่แน่ะ คนที่นุ่งห่มผ้าเนื้อดีก็อยู่ในราชวัง 9แล้วพวกท่านออกไปดูอะไร? ดูผู้เผยพระวจนะหรือ? แน่ทีเดียว และเราบอกท่านทั้งหลายว่า เขาเป็นยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะอีก 10คือเป็นผู้นี้ที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า

 ‘เราจะใช้ทูตของเรานำหน้าท่าน
  ผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ข้างหน้าท่าน’

 11เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ในบรรดาคนซึ่งเกิดจากผู้หญิงนั้น ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมา แต่ว่าผู้ที่เล็กน้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ก็ยังใหญ่กว่ายอห์นอีก 12และตั้งแต่สมัยยอห์นผู้ให้บัพติศมาถึงทุกวันนี้ แผ่นดินสวรรค์ก็ถูกโจมตีอย่างรุนแรง และพวกที่รุนแรงพยายามชิงเอาให้ได้ 13เพราะว่าพวกผู้เผยพระวจนะ และธรรมบัญญัติได้พยากรณ์มาจนถึงยอห์นนี้ 14ถ้าท่านทั้งหลายจะยอมรับ ยอห์นผู้นี้แหละ คือเอลียาห์ที่จะมานั้น 15ใครมีหูจงฟังเถิด

อรรถาธิบาย

โอบกอดด้วยใจที่เสียสละ

พระเยซูเรียกร้องให้สาวกเต็มใจสละทุกสิ่งเพื่อเห็นแก่พระองค์ ‘ใครที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเรา ก็ไม่มีค่าควรกับเรา และใครที่รักบุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเราคนนั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา’ (10:37) ความรักของคุณที่มีต่อพระเยซูควรจะมากกว่าความรักที่คุณมีต่อคนใกล้ชิดที่สุด

พระเยซูตรัสอีกว่า ‘และใครที่ไม่รับกางเขนของตนและตามเราไป คนนั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา ผู้ที่จะเอาชีวิตของตนรอด จะกลับเสียชีวิต แต่ผู้ที่เสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เราจะได้ชีวิตรอด’ (ข้อ 38–39) บางทีนี่อาจเป็นความหมายที่อัครทูตเปาโลเรียกร้องให้เรา ‘ถวายร่างกาย (ของเรา) เป็นเครื่องบูชาบริสุทธิ์ที่มีชีวิต’ (โรม 12:1)

นี่คือวิธีที่คุณจะค้นพบพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตคุณ ‘พระประสงค์ที่ดีของพระองค์เป็นความปรารถนาที่น่าพึงพอใจและสมบูรณ์แบบ’ (ข้อ 2) ถ้าคุณต้องการให้พระเจ้าใช้คุณมากขึ้น และถ้าคุณต้องการเร่งให้สุดแรง คุณต้องเต็มใจที่จะเสียสละเช่นนี้

ไม่มีอะไรที่คุณทำในการรับใช้พระเยซูจะสูญเปล่า พระเยซูตรัสว่า ‘ยกตัวอย่างเช่น การให้น้ำเย็นถ้วยหนึ่งแก่คนที่กระหายน้ำ การให้หรือรับสิ่งที่เล็กน้อยที่สุดนี้จะฝึกคุณให้เป็นคนเล็กน้อยที่เชื่อถือได้ คุณจะไม่เสียบำเหน็จเลย’ (มัทธิว 10:42 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

มาร์ตินแห่งตูร์ (ค.ศ. 316–397) เป็นบิชอปแห่งเมืองตูร์ในฝรั่งเศส ตั้งแต่ ค.ศ. 371 ในคืนหนึ่งที่อากาศหนาวเย็นมาก เขาขี่ม้าผ่านขอทาน มาร์ตินลงจากหลังม้าฉีกเสื้อคลุมของเขาเป็นสองตัวและมอบครึ่งหนึ่งให้กับขอทาน คืนนั้นมาร์ตินฝันว่าเขาเห็นพระเยซูสวมเสื้อคลุมที่ขาดเป็นสองท่อนบนไหล่ของเขา เมื่อถูกถามว่ามาจากไหนพระเยซูตอบว่า ‘มาร์ตินผู้รับใช้ของเราให้กับเรา’

ในพระธรรมมัทธิวก็เช่นกัน การเสียสละที่พระเยซูกล่าวถึงอาจเป็นเพียงการบ่งบอกถึงพระองค์ในโลกที่เป็นศัตรูกัน พระองค์ตรัสว่า ‘เพราะฉะนั้นทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ แต่ผู้ใดจะไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่ยอมรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ด้วย’ (ข้อ 32–33)

‘การยอมรับ’ พระเยซูอาจนำไปสู่การข่มเหงและความยากลำบาก แต่สำหรับสาวกรุ่นแรกจำนวนมากหมายถึงการแบกกางเขนและติดตามพระองค์อย่างแท้จริง (ข้อ 38) แม้กระทั่งถึงความตาย สำหรับเราการจ่ายราคาอาจแตกต่างกัน แต่เราได้รับการเรียกร้องให้มีพันธสัญญาที่มั่นคงกับพระเยซูเช่นเดียวกัน

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้เกิดความเต็มใจรับกางเขนของข้าพระองค์และติดตามพระองค์ วันนี้ข้าพระองค์ขอมอบร่างกายของข้าพระองค์เป็นเครื่องถวายบูชาที่มีชีวิต

พันธสัญญาเดิม

ปฐมกาล 27:1-28:22

อิสอัคอวยพรยาโคบ

 1เมื่ออิสอัคชราและตามัว ท่านก็เรียกเอซาวบุตรคนโตของท่านมา และกล่าวแก่เขาว่า “ลูกเอ๋ย” เขาตอบว่า “ลูกอยู่นี่” 2ท่านว่า “นี่แน่ะ พ่อแก่แล้ว พ่อไม่รู้วันตายของพ่อ 3เจ้าจงเอาอาวุธของเจ้า คือแล่งธนูและคันธนูออกไปที่ท้องทุ่ง หาเนื้อมาให้พ่อ 4เตรียมอาหารอร่อยให้พ่อ อย่างที่พ่อชอบนั้น และนำมาให้พ่อกิน เพื่อพ่อจะได้อวยพรแก่เจ้าก่อนพ่อตาย”
 5เมื่ออิสอัคพูดกับเอซาวบุตรชายนั้น นางเรเบคาห์แอบฟังอยู่ เมื่อเอซาวออกไปท้องทุ่งเพื่อหาเนื้อมา 6เรเบคาห์จึงพูดกับยาโคบบุตรของนางว่า “แม่ได้ยินพ่อของเจ้าพูดกับเอซาวพี่ชายของเจ้าว่า 7‘จงนำเนื้อมาให้พ่อและจัดอาหารอร่อยให้พ่อกิน และพ่อจะอวยพรเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ก่อนพ่อตาย’ 8เพราะฉะนั้น ลูกเอ๋ยจงเชื่อฟังตามที่แม่จะสั่งเจ้า 9ไปที่ฝูงแพะแกะ นำลูกแพะดีๆ สองตัวมาให้แม่ แม่จะเอามันปรุงอาหารอร่อยให้พ่อเจ้า อย่างที่พ่อชอบ 10และเจ้าเองต้องนำไปให้พ่อเจ้ารับประทานเพื่อว่าท่านจะอวยพรเจ้าก่อนท่านตาย” 11ยาโคบพูดกับเรเบคาห์มารดาของเขาว่า “ดูสิ เอซาวพี่ของลูกเป็นคนมีขนดก และลูกเป็นคนเกลี้ยงเกลา 12พ่อของลูกคงจะคลำตัวลูก และเห็นว่าลูกหลอกลวงท่าน แล้วนำการสาปแช่งมาเหนือลูก ไม่ใช่พร” 13มารดาพูดกับเขาว่า “ลูกเอ๋ย ขอให้คำสาปแช่งของเจ้าตกอยู่กับแม่เถิด เชื่อฟังแม่เท่านั้น ไปนำมาให้แม่เถิด” 14เขาจึงไปนำมาให้มารดา มารดาของเขาก็ทำอาหารอร่อยอย่างที่บิดาของเขาชอบนั้น 15แล้วเรเบคาห์นำเสื้ออย่างดีที่สุดของเอซาวบุตรชายคนโตของนาง ซึ่งอยู่กับนางในเรือนมาสวมให้ยาโคบบุตรคนเล็กของนาง 16เอาหนังลูกแพะหุ้มมือและคอที่เกลี้ยงเกลาของเขา 17แล้วนางก็มอบอาหารอร่อยและขนมปังที่นางทำให้ยาโคบบุตรชายของนางถือไป
 18เขาจึงเข้าไปหาบิดาและพูดว่า “พ่อ” และท่านว่า “พ่ออยู่นี่ ลูกเอ๋ย เจ้าคือใคร?” 19ยาโคบตอบบิดาของเขาว่า “ลูกเป็นเอซาวบุตรหัวปีของพ่อ ลูกทำตามที่พ่อบอกลูกแล้ว เชิญลุกขึ้นนั่งรับประทานเนื้อที่ลูกหามาเถิด เพื่อพ่อจะได้อวยพรแก่ลูก” 20แต่อิสอัคพูดกับบุตรชายของตนว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าทำอย่างไรจึงพบมันเร็วนัก?” เขาตอบว่า “เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพ่อทรงนำมาให้ลูก” 21แล้วอิสอัคจึงพูดกับยาโคบว่า “ลูกเอ๋ย มาใกล้ๆ พ่อจะได้คลำดูเจ้า เพื่อจะได้รู้ว่าเจ้าเป็นเอซาวลูกชายของพ่อแน่หรือไม่?” 22ยาโคบจึงเข้าไปใกล้อิสอัคบิดา อิสอัคคลำตัวเขาแล้วพูดว่า “เสียงก็เป็นเสียงของยาโคบ แต่มือเป็นมือของเอซาว” 23ท่านก็จำเขาไม่ได้ เพราะมือของเขามีขนดกเหมือนมือเอซาวพี่ชายของเขา ท่านจึงอวยพรแก่เขา 24ท่านถามว่า “เจ้าเป็นเอซาวลูกชายของพ่อจริงหรือ?” เขาตอบว่า “ใช่” 25ท่านจึงว่า “นำอาหารมาให้พ่อ พ่อจะได้กินเนื้อที่ลูกชายของพ่อหามา แล้วอวยพรเจ้า” ยาโคบจึงนำมันมาให้ท่าน ท่านก็รับประทาน ยาโคบนำเหล้าองุ่นมาให้ท่านและท่านก็ดื่ม 26แล้วอิสอัคบิดาของเขาจึงพูดกับเขาว่า “ลูกเอ๋ยเข้ามาใกล้และจูบพ่อ” 27เขาจึงเข้ามาใกล้และจูบท่าน และท่านก็ดมกลิ่นที่เสื้อของเขา และอวยพรเขาว่า
 “ดูซิ กลิ่นลูกชายข้า
  เหมือนกลิ่นท้องทุ่งซึ่งพระยาห์เวห์ทรงอวยพร
28ขอพระเจ้าประทานน้ำค้างจากฟ้าแก่เจ้า
 และประทานความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน
  ทั้งข้าวและเหล้าองุ่นใหม่มากมายแก่เจ้า
29ขอให้ชนชาติทั้งหลายรับใช้เจ้า
  ขอให้ประชาชาติโน้มลงคำนับเจ้า
 ขอให้เป็นเจ้านายเหนือพี่น้อง
  และบุตรชายมารดาของเจ้าโน้มลงคำนับเจ้า
 ใครแช่งสาปเจ้าก็ขอให้ผู้นั้นถูกสาป
  และใครอวยพรเจ้าก็ขอให้ผู้นั้นรับพร”

เอซาวสูญเสียพร

 30พออิสอัคอวยพรยาโคบเสร็จ และยาโคบเพิ่งออกไปพ้นหน้าอิสอัคบิดา เอซาวพี่ชายก็กลับจากการล่าเนื้อ 31เขาทำอาหารอร่อยนำมาให้บิดา เขาพูดกับบิดาว่า “ขอพ่อลุกขึ้นรับประทานเนื้อที่ลูกชายหามา เพื่อจะได้อวยพรลูก” 32อิสอัค บิดาพูดกับเขาว่า “เจ้าคือใคร?” เขาตอบว่า “ลูกคือเอซาว ลูกชายหัวปีของพ่อ” 33พอได้ฟังดังนั้น อิสอัคก็ตัวสั่นมากยิ่งนัก พูดว่า “ใครเล่าที่ไปล่าเนื้อ แล้วนำมาให้พ่อ? พ่อกินหมดแล้วก่อนเจ้ามาถึง และพ่ออวยพรเขาแล้ว และเขาจะได้รับพรแน่นอน” 34เมื่อเอซาวได้ยินถ้อยคำของบิดาก็ร้องตะโกนเสียงดังด้วยความขมขื่นยิ่งนัก และพูดกับบิดาว่า “พ่อ ขออวยพรลูกด้วยเถิด” 35แต่ท่านพูดว่า “น้องเจ้าเข้ามาหลอกพ่อ เอาพรของเจ้าไปเสียแล้ว” 36เอซาวพูดว่า “เขามีชื่อว่ายาโคบก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือ? เพราะเขาหลอกลูกสองหนเข้านี่แล้ว เขาเอาสิทธิบุตรหัวปีของลูกไป และคราวนี้เขาเอาพรของลูกไปอีกด้วย” แล้วเขาพูดว่า “พ่อไม่ได้สงวนพรไว้ให้ลูกบ้างหรือ?” 37อิสอัคตอบเอซาวว่า “พ่อตั้งให้เขาเป็นนายเหนือเจ้า และมอบบรรดาพี่น้องของเขาทั้งหมดให้เป็นคนใช้ของเขา ทั้งพืชและเหล้าองุ่น พ่อก็จัดให้เขา ลูกเอ๋ย พ่อจะทำอะไรให้เจ้าได้อีกเล่า?” 38เอซาวพูดกับบิดาว่า “พ่อ พ่อมีพรแต่เพียงพรเดียวเท่านั้นหรือ? พ่อ ขออวยพรลูก ให้พรลูกด้วยเถิดพ่อ” แล้วเอซาวก็ตะเบ็งเสียงร้องไห้
39อิสอัคบิดาของเขาจึงตอบว่า
 “ที่ดินของเจ้าจะอยู่ห่างจากความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน
  และห่างจากน้ำค้างจากฟ้าเบื้องบน
40แต่เจ้าจะมีชีวิตอยู่ด้วยดาบ
  และเจ้าจะรับใช้น้องชายของเจ้า
 แต่เมื่อเจ้าดิ้นรน
  เจ้าจะหักแอกของเขาออกจากคอของเจ้า”

ยาโคบหนีความโกรธของเอซาว

 41ฝ่ายเอซาวเกลียดชังยาโคบ เพราะเรื่องพรที่บิดาอวยพรเขา เอซาวรำพึงในใจว่า “วันไว้ทุกข์พ่อใกล้เข้ามาแล้ว วันนั้นข้าจะฆ่ายาโคบน้องชายของข้าเสีย” 42แต่มีคนบอกถ้อยคำของเอซาวบุตรชายคนโตแก่เรเบคาห์ นางให้คนไปเรียกยาโคบบุตรชายคนเล็กของนางมา และพูดกับเขาว่า “นี่แน่ะ เอซาวพี่ชายของเจ้าปลอบใจตนเองด้วยการจะฆ่าเจ้า 43เพราะฉะนั้นลูกเอ๋ยเชื่อฟังแม่ ลุกขึ้นหนีไปหาลาบันพี่ชายของแม่ที่ฮาราน 44และอยู่กับเขาชั่วคราวจนกว่าความเกรี้ยวกราดของพี่ชายเจ้าจะคลายลง 45จนกว่าความโกรธของพี่ชายเจ้าจะคลายลง และเขาลืมสิ่งที่เจ้าทำต่อเขา แล้วแม่จะส่งให้คนไปรับเจ้ากลับมาจากที่นั่น ทำไมแม่จะต้องสูญเสียลูกทั้งสองคนในวันเดียวกัน?”
 46เรเบคาห์พูดกับอิสอัคว่า “ฉันเบื่อชีวิตของฉันเหลือเกิน เพราะหญิงฮิตไทต์ ถ้ายาโคบแต่งงานกับหญิงฮิตไทต์ หญิงดินแดนนี้ ชีวิตของฉันจะมีประโยชน์อะไรแก่ฉัน?”

ปฐมกาล 28

 1แล้วอิสอัคก็เรียกยาโคบมา อวยพรให้และกำชับเขาว่า “อย่าแต่งงานกับหญิงคานาอัน 2แต่ลุกขึ้นไปปัดดานอารัม ไปยังบ้านเบธูเอลบิดาของแม่เจ้า ที่นั่นเจ้าจงแต่งงานกับบุตรหญิงคนหนึ่งของลาบันพี่ชายแม่ของเจ้า 3ขอพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงอวยพรเจ้า และโปรดให้เจ้ามีลูกดกทวียิ่งขึ้น จนได้เป็นมวลชนชาติทั้งหลาย 4ขอพระองค์ประทานพรของอับราฮัมแก่เจ้า และแก่เชื้อสายของเจ้าด้วย เพื่อเจ้าจะได้ดินแดนซึ่งเจ้าอาศัยอยู่นี้เป็นกรรมสิทธิ์ ซึ่งพระเจ้าประทานแก่อับราฮัม” 5อิสอัคก็ส่งยาโคบไป ยาโคบก็ไปปัดดานอารัม ไปหาลาบัน บุตรชายของเบธูเอลคนอารัมพี่ชายของเรเบคาห์ มารดาของยาโคบและเอซาว

เอซาวแต่งงานกับบุตรสาวของอิชมาเอล

 6ฝ่ายเอซาวเห็นว่าอิสอัคอวยพรยาโคบ และส่งเขาไปยังปัดดานอารัมเพื่อหาภรรยาจากที่นั่น และเมื่ออิสอัคอวยพรเขานั้นท่านกำชับเขาว่า “เจ้าอย่าแต่งงานกับหญิงคานาอัน” 7ยาโคบเชื่อฟังบิดามารดา และไปยังปัดดานอารัม 8เมื่อเอซาวเห็นว่าหญิงคานาอันไม่เป็นที่พอใจอิสอัคบิดาของเขา 9จึงไปหาอิชมาเอลและรับมาหะลัทบุตรหญิงของอิชมาเอลบุตรชายของอับราฮัม น้องสาวของเนบาโยทมาเป็นภรรยา นอกเหนือภรรยาซึ่งเขามีอยู่แล้ว

ความฝันของยาโคบที่เบธเอล

 10ยาโคบออกจากเบเออร์เชบาเดินไปยังฮาราน 11เขามาถึงที่แห่งหนึ่ง และพักอยู่ที่นั่นในคืนนั้น เพราะดวงอาทิตย์ตกแล้ว เขาเอาหินก้อนหนึ่งมาหนุนศีรษะ แล้วนอนลงที่นั่น 12เขาฝันว่ามีบันไดอันหนึ่งตั้งขึ้นบนแผ่นดินโลก ยอดถึงฟ้าสวรรค์ ทูตทั้งหลายของพระเจ้ากำลังขึ้นลงอยู่บนนั้น 13พระยาห์เวห์ทรงยืนเหนือบันไดและตรัสว่า “เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของอับราฮัมบิดาของเจ้า และพระเจ้าของอิสอัค แผ่นดินซึ่งเจ้านอนอยู่นั้นเราจะให้แก่เจ้าและเชื้อสายของเจ้า 14เชื้อสายของเจ้าจะเป็นเหมือนผงคลีบนแผ่นดิน เจ้าจะแผ่กว้างออกไปทางทิศตะวันตกและทิศตะวันออก ทางทิศเหนือและทิศใต้ พงศ์พันธุ์มนุษย์ทั้งหมดจะได้รับพรเพราะเจ้าและเพราะเชื้อสายของเจ้า 15นี่แน่ะ เราอยู่กับเจ้า และจะพิทักษ์รักษาเจ้าทุกแห่งหนที่เจ้าไป และจะนำเจ้ากลับมายังดินแดนนี้ เพราะเราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า จนกว่าเราจะได้ทำสิ่งซึ่งเราพูดไว้กับเจ้า” 16ยาโคบตื่นขึ้นจากหลับก็พูดว่า “พระยาห์เวห์ทรงอยู่ ณ ที่นี้แน่ทีเดียว แต่ข้าเองไม่รู้” 17เขากลัวและพูดว่า “สถานที่นี้น่ายำเกรงนัก สถานที่นี้ไม่ใช่อื่นใดเลย เป็นที่ประทับของพระเจ้า และนี่คือประตูฟ้าสวรรค์” 18ยาโคบจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด เอาก้อนหินซึ่งใช้หนุนศีรษะ ตั้งขึ้นเป็นเสาศักดิ์สิทธิ์ และเทน้ำมันบนยอดเสานั้น 19เขาเรียกสถานที่นั้นว่าเบธเอล แต่ก่อนเมืองนั้นชื่อลูส 20แล้วยาโคบปฏิญาณว่า “ถ้าพระเจ้าทรงอยู่กับข้าพระองค์ ทรงพิทักษ์รักษาทางที่ข้าพระองค์จะไป ประทานอาหารให้ข้าพระองค์รับประทาน และเสื้อผ้าให้ข้าพระองค์สวม 21จนข้าพระองค์กลับมาบ้านบิดาของข้าพระองค์โดยสวัสดิภาพแล้ว พระยาห์เวห์จะทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ 22และก้อนหินนี้ซึ่งข้าพระองค์ตั้งไว้เป็นเสาศักดิ์สิทธิ์ จะเป็นที่ประทับของพระเจ้า และทุกสิ่งที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะถวายหนึ่งในสิบแด่พระองค์”

อรรถาธิบาย

สนุกกับความท้าทาย

เห็นได้ชัดว่านักแข่งรถฟอร์มูล่าวันต้องมีความพร้อมทั้งสมรรถนะและร่างกายที่แข็งแรงเป็นพิเศษเนื่องจากร่างกายต้องพร้อมรับแรงปะทะในขณะแข่งขัน

หากเราต้องการเห็นการเร่งในการพัฒนาอาณาจักรของพระเจ้า พระเยซูตรัสว่าจำเป็นต้องมีคนที่เข้มแข็ง (มัทธิว 11:12) (คำแปลบางฉบับใช้คำว่า ‘ดุเดือด’ แทนที่จะเป็น ‘เข้มแข็ง’ อย่างไรก็ตามนักวิจารณ์ส่วนใหญ่ชอบคำแปลนี้และการตีความเชิงบวก) คนเหล่านี้ไม่ล้มเลิกเมื่อพบการข่มเหงหรือมีความจำเป็นต้องสละบางสิ่ง ในความเป็นจริงพวกเขาสนุกกับความท้าทาย

เมื่อเรามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ คริสตจักรมีตัวอย่างของบุรุษและสตรีมากมายที่สร้างแรงบันดาลใจให้เราด้วยชีวิตที่กระตือรือร้น มีชีวิตชีวาและขับเคลื่อนเชิงรุก พวกเขาถูกใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงโลก ตลอดประวัติศาสตร์อาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ก้าวไปข้างหน้าด้วยผู้คนที่เข้มแข็ง เต็มล้นด้วยพระวิญญาณยึดมั่นเอาไว้

พระเยซูตรัสว่า ‘และตั้งแต่สมัยยอห์นผู้ให้บัพติศมาถึงทุกวันนี้ แผ่นดินสวรรค์ก็ถูกโจมตีอย่างรุนแรง และพวกที่รุนแรงพยายามชิงเอาให้ได้’ (มัทธิว 11:12) บริบทของคำเหล่านี้คือยอห์นผู้ให้บัพติศมาซึ่งอยู่ในคุกกำลังถามว่าพระเยซูเป็นผู้ที่พยากรณ์ไว้หรือไม่ ที่จริงพระเยซูตรัสตอบว่า ‘ดูที่หลักฐาน’ (ข้อ 4–5)

พระเยซูกล่าวต่อไปว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีชีวิตอยู่ต่อหน้าพระเยซูและคริสตจักรของเขา (ข้อ 11) ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นศาสดาพยากรณ์คนสุดท้ายของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม (ข้อ 13) เราเห็นตัวอย่างมากมายในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมของบุรุษและสตรีที่ 'เข้มแข็ง' เหล่านี้ (ข้อ 12)

ยาโคบเป็นคนที่เข้มแข็ง หลังจากนั้นเราจะอ่านว่าเขามีความเข้มแข็งในทางที่ดีอย่างไร โดยตั้งใจที่จะแสวงหาพระพรของพระเจ้า (ปฐมกาล 32:22–32) อย่างไรก็ตามในข้อนี้เราเห็นว่าธรรมชาติที่เข้มแข็งของเขาทำให้เขาทำผิดได้อย่างไร เขาตั้งใจอย่างยิ่งที่จะได้รับพรจากพ่อ เขารู้ว่ามันสำคัญแค่ไหน แต่สุดท้ายเขาก็ใช้การหลอกลวงเพื่อให้ได้มา (บทที่ 27)

เรเบคาห์มารดาของยาโคบก็เป็นสตรีที่เข้มแข็งเช่นกัน เธอไม่เพียงแต่แสดงความลำเอียงต่อยาโคบ แต่เธอยังเกี่ยวข้องกับการสมรู้ร่วมคิดเพื่อหลอกลวงอิสอัคด้วย ผลลัพธ์ที่ได้คือความบาดหมางในครอบครัวอย่างน่าตกตะลึงซึ่งยาวนานหลายศตวรรษ

มันเป็นเรื่องที่ดูไม่ยุติธรรมและเราอาจจะสงสัยว่าควรทำอย่างไรกับเหตุการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ตัวอย่างที่ถูกที่ควรทำ

แม้จะมีทุกอย่าง แผนการและจุดประสงค์ของพระเจ้าก็ยังคงดำเนินต่อไป พระสัญญาของพระเจ้าต่ออับราฮัมและลูกหลานของเขายังคงดำเนินต่อไป พระสัญญานี้ถูกส่งต่อไปถึงยาโคบ (28:13–15) ตรงตามที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ก่อนที่พี่น้องคู่นี้จะเกิด (25:23) หากทุกคนแสดงความเศร้าโศกและความเสียใจอย่างเปิดเผยและให้เกียรติกัน ความบาดหมางนี้ก็อาจหลีกเลี่ยงได้

เกือบทุกสิ่งในเหตุการณ์เหล่านี้และคนเหล่านี้มีข้อบกพร่อง แต่พระเจ้าก็ยังคงทำงานผ่านสถานการณ์เหล่านี้ ผมรู้สึกโล่งใจมากที่รู้ว่าพระเจ้าผู้สมบูรณ์แบบสามารถใช้คนที่ไม่สมบูรณ์แบบได้

พระเจ้าทรงอวยพรยาโคบ อิสอัคบิดาของเขาให้พรแก่เขา (28:3–4) ต่อมาพระเจ้าตรัสกับยาโคบในความฝัน เขาเห็นบันไดที่ทอดยาวจากพื้นโลกสู่สวรรค์พร้อมกับทูตสวรรค์ของพระเจ้าที่กำลังขึ้นและลงอยู่บนนั้น (ข้อ 12) มีทางเปิดระหว่างสวรรค์และโลกสำหรับเราทุกคน พระเจ้าตรัสกับยาโคบว่า ‘พงศ์พันธุ์มนุษย์ทั้งหมดจะได้รับพรเพราะเจ้าและเพราะเชื้อสายของเจ้า เราอยู่กับเจ้า และจะพิทักษ์รักษาเจ้าทุกแห่งหนที่เจ้าไป’ (ข้อ 14ก–15ข)

พระเจ้าทรงใช้บุรุษและสตรีที่เข้มแข็งเหล่านี้ อับราฮัมและซาราห์ อิสอัคและเรเบคาห์ ยาโคบและราเชล แต่พระเยซูตรัสว่าไม่มีผู้ใดที่ยิ่งใหญ่กว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมา และยอห์นผู้ให้บัพติศมาไม่ได้ยิ่งใหญ่กว่าผู้ติดตามที่เล็กน้อยที่สุดของพระเยซูในยุคสมัยของอาณาจักรสวรรค์ รวมถึงคุณด้วย

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงอยู่กับข้าพระองค์และคอยดูแลข้าพระองค์ทุกที่ที่ข้าพระองค์ไป ช่วยให้ข้าพระองค์ถูกนับรวมอยู่กับผู้คนที่มีพลังเข้มแข็งเหล่านั้นที่ชื่นชมยินดีไปกับความเบิกบานใจ ความตื่นเต้นและความท้าทายของชีวิตที่ติดตามพระเยซู

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ปฐมกาล 27

การหลอกลวงและการโกหกไม่ได้สร้างความสามัคคีในครอบครัวมากนัก

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม