วัน 18

ให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 10:12-18
พันธสัญญาใหม่ มัทธิว 13:18-35
พันธสัญญาเดิม ปฐมกาล 36:1-37:36

เกริ่นนำ

สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธ ที่ 2 ทรงปกครองสหราชอาณาจักรมานานกว่าหกสิบห้าปี ปัจจุบันพระองค์เป็นพระราชินีอังกฤษที่ครองราชย์ยาวนานที่สุด ในวันคริสต์มาสของทุกปีสมเด็จพระราชินีนาถได้กล่าวคำปราศรัยให้กับประเทศชาติ และในปี 2018 ทรงกล่าวว่า ‘มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รับรู้ถึงการบังเกิดของพระเยซู แต่ปัจจุบันนี้หลายพันล้านคนได้ติดตามพระองค์ พระวจนะของพระเยซูไม่มีวันล้าสมัยและจำเป็นมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา’

ในปีที่แล้วพระองค์ทรงตรัสถึงพระเยซูว่า ‘ตอนนี้ผู้คนหลายพันล้านคนปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์และค้นพบแสงสว่างนำทางชีวิต และข้าพเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น’

พระราชินีแห่งสหราชอาณาจักรกำลังมุ่งประเด็นไปยังอีกแผ่นดินหนึ่ง ซึ่งเป็นแผ่นดินที่พระเยซูได้ตั้งขึ้น และพระองค์จะกลับมาปกครองอีกครั้ง พระเยซูทรงสอนให้เราอธิษฐานว่าขอให้ ‘แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่’ (มัทธิว 6:10) แผ่นดินของพระเจ้าคือกฎเกณฑ์ และการครอบครองของพระองค์

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 10:12-18

12ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงลุกขึ้น ข้าแต่พระเจ้า ขอชูพระหัตถ์ขึ้น
 ขออย่าทรงลืมผู้ถูกข่มเหง
13ไฉนคนอธรรมจึงประณามพระเจ้า
 และพูดในใจตนเองว่า “พระองค์จะไม่ทรงเอาเรื่องเอาราว”?
14พระองค์ทรงเห็น เออ พระองค์ทรงพิเคราะห์ดูความลำบาก
  และความเดือดร้อนแล้ว
 เพื่อพระองค์จะได้ทรงตอบแทนเขา
คนอนาถามอบตัวไว้กับพระองค์
 พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ลูกกำพร้า
15ขอพระองค์ทรงหักแขนคนอธรรมและคนชั่ว
 ขอทรงจัดการกับความอธรรมของเขาจนหมดสิ้น
16พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์อยู่เป็นนิตย์นิรันดร์
 บรรดาประชาชาติจะพินาศไปจากแผ่นดินของพระองค์
17ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์จะทรงฟังความปรารถนาของผู้ถูกข่มเหง
 พระองค์จะทรงเสริมกำลังใจเขา และจะเงี่ยพระกรรณฟัง
18เพื่อประทานความยุติธรรมแก่ลูกกำพร้าและคนที่ถูกบีบบังคับ
 เพื่อมนุษย์บนแผ่นดินโลกจะไม่ทำให้เขาหวาดกลัวอีกต่อไป

อรรถาธิบาย

คร่ำครวญให้กับการเปลี่ยนแปลงของสังคม

พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์อยู่เป็นนิตย์นิรันดร์' (ข้อ 16 ก) พระเจ้าทรงครอบครองทุกสิ่งในจักรวาล ผู้เขียนพระธรรมสดุดีร้องทูลต่อพระเจ้าว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงลุกขึ้น’ (ข้อ 12ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) อันที่จริงนั้นเขาอธิษฐานขอให้แผ่นดินของพระเจ้าจะมาตั้งอยู่บนโลก เมื่อพระเจ้าทรงเคลื่อนไหว ‘การปกครองแห่งความหวาดกลัวสิ้นสุดลง และมนุษย์ซึ่งเป็นของโลกนี้ก็หมดไป’ (ข้อ 18ข พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ผู้เขียนพระธรรมสดุดีได้อธิษฐานเฉพาะเจาะจงถึงบรรดาคนต่าง ๆ เหล่านี้ เขาอธิษฐานสำหรับผู้ที่:

  • ถูกข่มเหง (ข้อ 12)
  • เดือดร้อน (ข้อ 14)
  • ลำบาก (ข้อ 14)
  • อนาถา (ข้อ 14)
  • ลูกกำพร้า (ข้อ 14,18)
  • ไร้บ้าน (ข้อ 18 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
  • ถูกบีบบังคับ (ข้อ18)

หากคุณต้องการเห็นแผ่นดินของพระเจ้ามาตั้งอยู่และสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป คนเหล่านี้คือกลุ่มคนที่คุณต้องให้ความสำคัญอย่างมาก

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณที่พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยกคนเหล่านั้นที่ขัดสนจำเพาะพระพักตร์พระองค์...ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่

พันธสัญญาใหม่

มัทธิว 13:18-35

พระเยซูทรงอธิบายอุปมาเรื่องผู้หว่านพืช

 18“เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงฟังอุปมาเรื่องผู้หว่านพืชนั้น 19เมื่อใครได้ยินคำบอกเล่าเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้แก่เมล็ดพืชซึ่งหว่านตกริมหนทาง 20และเมล็ดพืชซึ่งหว่านตกในที่ดินซึ่งมีพื้นหินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความยินดี 21แต่ไม่มีรากลึกในตัวจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบาก หรือการข่มเหงต่างๆ เพราะพระวจนะนั้น เขาก็เลิกเสียในทันทีทันใด 22และเมล็ดซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แต่ความกังวลของโลก และการล่อลวงของทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะนั้นเสีย จึงไม่เกิดผล 23ส่วนเมล็ดซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”

อุปมาเรื่องข้าวละมานท่ามกลางต้นข้าวสาลี

 24พระองค์ตรัสอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนคนหนึ่งได้หว่านเมล็ดพืชดีในนาของตน 25แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวดีนั้นไว้แล้วก็หลบไป 26เมื่อต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ขึ้นมาปรากฏด้วย 27บรรดาทาสของเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีไว้ในนาของท่านไม่ใช่หรือ? แต่มีข้าวละมานมาจากไหน?’ 28นายก็ตอบว่า ‘นี่เป็นการกระทำของศัตรู’ ทาสเหล่านั้นจึงถามว่า ‘ท่านปรารถนาจะให้เราไปถอนและเก็บข้าวละมานไหม?’ 29แต่นายตอบว่า ‘อย่าเลย เกรงว่าเมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวดีด้วย 30ให้ทั้งสองเติบโตไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งบรรดาผู้เกี่ยวว่า “จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวดีนั้นจงรวบรวมไว้ในยุ้งฉางของเรา”

อุปมาเรื่องเมล็ดพืช

 31พระองค์ยังตรัสอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดเล็กๆ ชนิดหนึ่งซึ่งมีในปาเลสไตน์ ต้นของมันขึ้นสูงถึงสามสี่เมตรและมีกิ่งก้าน เมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน 32เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และเติบโตเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้”

อุปมาเรื่องเชื้อขนม

33พระองค์ยังตรัสอุปมาให้พวกเขาฟังอีกเรื่องหนึ่งว่า “แผ่นดินสวรรค์เป็นเหมือนเชื้อหมายถึง เชื้อขนม ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถังจนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด”

การใช้อุปมา

 34ข้อความทั้งหมดนี้ พระองค์ตรัสกับฝูงชนเป็นอุปมา และนอกจากอุปมา พระองค์ไม่ได้ตรัสกับพวกเขาเลย 35ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะที่กล่าวโดยผู้เผยพระวจนะว่า

 “เราจะอ้าปากกล่าวอุปมา
  เราจะกล่าวข้อความ ซึ่งปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก”

อรรถาธิบาย

ประกาศเรื่องราวพระเยซูให้ผู้คน

ทุกครั้งที่คุณประกาศกับใครบางคนเกี่ยวกับพระเยซูและพระกิตติคุณ นั่นหมายถึงคุณได้ ‘หว่าน’ เมล็ดพันธุ์ไว้ในใจพวกเขาแล้ว ไม่ใช่ทุกเมล็ดที่คุณหว่านจะเกิดผล อย่างที่เราเห็นในอุปมาเรื่องผู้หว่าน เมล็ดพืชบางชนิดไม่เคยหยั่งราก (ข้อ 19) บางเมล็ดพันธุ์ทนอยู่ได้ชั่วคราว เราสามารถถูกดึงออกจากทางพระเจ้าได้โดย ‘ความยากลำบาก’ หรือ ‘ความกังวลของโลก และการล่อลวงของทรัพย์สมบัติ’ (ข้อ 21–22)

แต่ถ้าเมล็ดนั้นเติบโตได้ดี คำอุปมาแต่ละข้อเหล่านี้แสดงให้เราเห็นว่าคุณสามารถสร้างอิทธิพลได้อย่างมาก ‘ส่วนพืชซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผล’ (ข้อ 23 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เมื่อผมดูชีวิตของผู้คนที่ผ่านหลักสูตรอัลฟ่าเมื่อห้า สิบ หรือสิบห้าปีก่อน พวกเขากลายเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างกว้างขวาง บางคนเริ่มงานรับใช้ที่มีอิทธิพลระดับโลกเลยด้วยซ้ำ

พระเยซูทรงตรัสอุปมามากมายเกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้า (‘แผ่นดินสวรรค์’ เป็นคำที่มัทธิวใช้โดยอ้างอิงจากธรรมเนียมปฏิบัติของชาวยิวที่มักใช้คำว่า ‘สวรรค์’ แทนที่จะเป็น ‘พระเจ้า’)

แผ่นดินของพระเจ้ามีทั้ง ‘ตอนนี้’ และ ‘ยังไม่ใช่ตอนนี้’ คำอุปมาของพระเยซูเกี่ยวกับข้าวละมาน บอกเราเกี่ยวกับอนาคตที่จะถึงของแผ่นดินพระเจ้า ในขณะนี้ข้าวสาลีและข้าวละมานโตขึ้นพร้อมกัน วันหนึ่งจะมาซึ่งถึงฤดูเก็บเกี่ยวและวันพิพากษา คือเมื่อพระเยซูนำแผ่นดินของพระเจ้าจะมาตั้งอยู่อย่างสมบูรณ์ (ข้อ 24–30)

พระเยซูตรัสต่อไปว่า ‘แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด เมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่นและเติบโตเป็นต้นไม้ จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้’ (ข้อ 31–32)

ภาพนกที่อาศัยอยู่ในกิ่งก้านของต้นไม้ ปรากฏอยู่ไม่กี่ครั้งในพันธสัญญาเดิมซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้คนจากทุกชนชาติ ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า (ดูเอเสเคียล 17:22–24; 31:3–14; ดาเนียล 4:9–23) พระเยซูกำลังเตือนผู้ฟังว่าแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้มีไว้เพื่อชนชาติเดียว แต่มีไว้สำหรับคนทั้งโลก

การเติบโตของเมล็ดมีหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น เมล็ดที่เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงแต่เมื่อ ‘มันงอกขึ้น' (มัทธิว 13:32) ก็เหมือนการ ‘บุกเบิกคริสตจักร’ ที่ได้รับการปลูกโดยเริ่มต้นอย่างเล็ก ๆ ดั่งเมล็ดมัสตาร์ด แต่เมื่อ ‘งอกขึ้น…ก็ใหญ่กว่าผักอื่น’ (ข้อ 31–32)

ผมมองดู ‘การปลูกของคริสตจักร’ รอบ ๆ ตัว จากคริสตจักรท้องถิ่นจนเกิดผลมีอิทธิพลอย่างมากในวงกว้าง ‘นกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้’ (ข้อ 32) ผู้คนกำลังหลั่งไหลเข้ามายังแผ่นดินของพระเจ้า อย่างเกินความคาดหมายเหมือนอย่างตอนที่กลุ่มผู้เชื่อชนต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างมากในประเทศของคนยิว ทุกวันนี้เราเห็นผลกระทบของ ‘การบุกเบิกคริสตจักร’ ทั่วโลก ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการเติบโตของคริสตจักรปีเตอร์ แว็กเนอร์กล่าวว่า ‘การบุกเบิกคริสตจักรเป็นรูปแบบการของประกาศข่าวประเสริฐที่มีประสิทธิภาพที่สุดภายใต้ฟ้าสวรรค์’

พระเยซูตรัสต่อไปเกี่ยวกับแผ่นดินสวรรค์ที่เปรียบเหมือนยีสต์ที่ใส่ลงไปในแป้ง (ข้อ 33) อิทธิพลของคุณอาจมากมายมหาศาลไม่ว่าจะต่อคนในบ้าน ครอบครัว โรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงงานหรือที่ทำงาน นี่คือวิธีการที่สังคมจะได้รับการเปลี่ยนแปลง

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์หว่านเมล็ดพันธ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อนำข่าวประเสริฐของพระเยซูมาสู่โลกนี้ ขอให้แผ่นดินองพระองค์มาตั้งอยู่ในเมืองของเรา ประเทศชาติ และทั่วทั้งโลก

พันธสัญญาเดิม

ปฐมกาล 36:1-37:36

เชื้อสายของเอซาว

 1ต่อไปนี้เป็นลำดับพงศ์พันธุ์ของเอซาว(คือ เอโดม) 2เอซาวได้หญิงคนคานาอันมาเป็นภรรยา คืออาดาห์ บุตรหญิงของเอโลนคนฮิตไทต์ และโอโฮลีบามาห์บุตรีอานาห์ผู้เป็นบุตรหญิงของศิเบโอนคนฮีไวต์ 3กับบาเสมัทบุตรหญิงของอิชมาเอลเป็นน้องสาวของเนบาโยท 4ฝ่ายอาดาห์มีบุตรชายให้เอซาวชื่อเอลีฟัส บาเสมัทมีบุตรชายชื่อเรอูเอล 5และโอโฮลีบามาห์มีบุตรชายชื่อ เยอูช ยาลาม และโคราห์ คนเหล่านี้เป็นบุตรชายของเอซาวที่เกิดในแคว้นคานาอัน
 6เอซาวพาภรรยา บุตรชายหญิงและคนทั้งปวงในครอบครัวกับฝูงปศุสัตว์ สัตว์ใช้งาน และทรัพย์สิ่งของทั้งหมดของเขาที่ได้มาในดินแดนคานาอัน แยกจากยาโคบผู้น้องไปดินแดนอื่น 7เพราะทรัพย์สมบัติของทั้งสองมีมาก จะอยู่ด้วยกันไม่ได้ ดินแดนที่เขาอาศัยนั้นไม่พอให้เขาเลี้ยงฝูงปศุสัตว์ 8เอซาวจึงไปอยู่ในถิ่นเทือกเขาเสอีร์ เอซาวคือเอโดม
 9ต่อไปนี้เป็นลำดับพงศ์ของเอซาว บิดาคนเอโดม ในเทือกเขาเสอีร์ 10ชื่อบุตรชายของเอซาวคือ เอลีฟัสบุตรนางอาดาห์ ภรรยาของเอซาว เรอูเอลบุตรนางบาเสมัท ภรรยาของเอซาว 11ฝ่ายบุตรชายของเอลีฟัสชื่อเทมาน โอมาร์ เศโฟ กาทาม และเคนัส 12(นางทิมนาเป็นภรรยาน้อยของเอลีฟัสบุตรของเอซาว นางมีบุตรด้วยกันกับเอลีฟัสชื่ออามาเลข) คนเหล่านี้เป็นบุตรชายของนางอาดาห์ภรรยาของเอซาว 13ต่อไปนี้เป็นบุตรชายของเรอูเอลคือ นาหาท เศ-ราห์ ชัมมาห์ และมิสซาห์ คนเหล่านี้เป็นบุตรชายของนางบาเสมัทภรรยาของเอซาว 14ต่อไปนี้เป็นบุตรชายของภรรยาอีกคนหนึ่งของเอซาวคือ นางโอโฮลีบามาห์ซึ่งเป็นบุตรีอานาห์ผู้เป็นบุตรีของศิเบโอน นางมีบุตรชายกับเอซาวชื่อ เยอูช ยาลาม และโคราห์
 15ต่อไปนี้เป็นเจ้านายในบรรดาบุตรชายของเอซาว บรรดาบุตรของเอลีฟัส บุตรหัวปีของเอซาวคือ เจ้านายเทมาน เจ้านายโอมาร์ เจ้านายเศโฟ เจ้านายเคนัส 16เจ้านายโคราห์ เจ้านายกาทาม เจ้านายอามาเลข คนเหล่านี้เป็นบรรดาเจ้านายของเอลีฟัสในดินแดนเอโดม พวกเขาเป็นลูกหลานของอาดาห์ 17ต่อไปนี้เป็นบุตรชายของเรอูเอล ผู้เป็นบุตรชายของเอซาวคือ เจ้านายนาหาท เจ้านายเศ-ราห์ เจ้านายชัมมาห์ และเจ้านายมิสซาห์ คนเหล่านี้เป็นบรรดาเจ้านายของเรอูเอลในดินแดนเอโดม พวกเขาเป็นลูกหลานของบาเสมัทภรรยาของเอซาว 18ต่อไปนี้เป็นบุตรชายของโอโฮลีบามาห์ภรรยาของเอซาวคือ เจ้านายเยอูช เจ้านายยาลาม และเจ้านายโคราห์ คนเหล่านี้เป็นบรรดาเจ้านายที่เกิดจากโอโฮลีบามาห์บุตรีของอานาห์ ภรรยาเอซาว 19คนเหล่านี้เป็นบุตรชายของเอซาว(คือเอโดม) และคนเหล่านี้เป็นบรรดาเจ้านายของพวกเขา
 20ต่อไปนี้เป็นบุตรชายของเสอีร์ คนโฮรี ชาวแคว้นนั้นคือ โลทาน โชบาล ศิเบโอน อานาห์ 21ดีโชน เอเซอร์ และดีชาน คนเหล่านี้เป็นบรรดาเจ้านายของคนโฮรี เป็นบุตรทั้งหลายของเสอีร์ ในดินแดนเอโดม 22บุตรชายของโลทานชื่อโฮรีและเฮมาน และน้องสาวของโลทานชื่อทิมนา 23ต่อไปนี้เป็นบุตรชายของโชบาลคือ อัลวาน มานาฮาท เอบาล เชโฟ และโอนัม 24ต่อไปนี้เป็นบุตรชายของศิเบโอนคือ อัยยาห์และอานาห์ อานาห์นั้นเป็นผู้ที่ได้พบน้ำพุร้อนในถิ่นทุรกันดาร เมื่อเลี้ยงฝูงลาของศิเบโอนบิดาของเขา 25ต่อไปนี้เป็นบุตรของอานาห์คือ ดีโชน และโอโฮลีบามาห์ผู้เป็นบุตรีของอานาห์ 26ต่อไปนี้เป็นบุตรชายของดีโชนคือ เฮมดาน เอชบาน อิธราน และเคราน 27ต่อไปนี้เป็นบุตรชายของเอเซอร์คือ บิลฮาน ศาวาน และอาขาน 28ต่อไปนี้เป็นบุตรชายของดีชานคือ อูศ และอารัน 29ต่อไปนี้เป็นเจ้านายของคนโฮรีคือ เจ้านายโลทาน เจ้านายโชบาล เจ้านายศิเบโอน เจ้านายอานาห์ 30เจ้านายดีโชน เจ้านายเอเซอร์ เจ้านายดีชาน คนเหล่านี้เป็นบรรดาเจ้านายของคนโฮรี ตามพงศ์พันธุ์ของเขาในดินแดนเสอีร์
 31ต่อไปนี้เป็นกษัตริย์ที่ครอบครองในดินแดนเอโดม ก่อนที่คนอิสราเอลจะมีกษัตริย์ครอบครอง 32เบ-ลาบุตรชายของเบโอร์ครอบครองในเอโดม เมืองหลวงของท่านชื่อกรุงดินฮาบาห์ 33เมื่อเบ-ลาสิ้นพระชนม์แล้วโยบับบุตรชายเศ-ราห์แห่งโบสราห์ขึ้นครอบครองแทน 34เมื่อโยบับสิ้นพระชนม์แล้วหุชามจากดินแดนของคนเทมานขึ้นครอบครองแทน 35เมื่อหุชามสิ้นพระชนม์แล้ว ฮาดัดบุตรชายของเบดัดผู้รบชนะคนมีเดียนที่ทุ่งโมอับขึ้นครอบครองแทน เมืองหลวงของท่านชื่อกรุงอาวีท 36เมื่อฮาดัดสิ้นพระชนม์แล้ว สัมลาห์แห่งมัสเรคาห์ขึ้นครอบครองแทน 37เมื่อสัมลาห์สิ้นพระชนม์แล้ว ชาอูลแห่งเรโหโบทที่แม่น้ำยูเฟรติสขึ้นครอบครองแทน 38เมื่อชาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว บาอัลฮานัน บุตรชายของอัคโบร์ขึ้นครอบครองแทน 39เมื่อบาอัลฮานันบุตรชายของอัคโบร์สิ้นพระชนม์แล้ว ฮาดาร์ขึ้นครอบครองแทน เมืองหลวงของท่านชื่อกรุงปาอู และมเหสีของท่านชื่อเมเหทาเบล บุตรีของมัทเรดผู้เป็นบุตรีของเมซาหับ
 40ต่อไปนี้เป็นชื่อบรรดาเจ้านายของเอซาว ตามตระกูล ตามถิ่นที่อยู่ ตามชื่อคือ เจ้านายทิมนา เจ้านายอัลวาห์ เจ้านายเยเธท 41เจ้านายโอโฮลีบามาห์ เจ้านายเอลาห์ เจ้านายปิโนน 42เจ้านายเคนัส เจ้านายเทมาน เจ้านายมิบซาร์ 43เจ้านายมักดีเอล และเจ้านายอิราม คนเหล่านี้เป็นบรรดาเจ้านายของเอโดม (คือเอซาวบิดาของคนเอโดม) ตามที่อยู่ของท่าน ในดินแดนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของท่าน

ปฐมกาล 37

โยเซฟฝันถึงความยิ่งใหญ่

 1ยาโคบมาอยู่ในดินแดนที่บิดาของท่านอาศัยนั้นคือ ดินแดนคานาอัน 2ต่อไปนี้เป็นประวัติครอบครัวของยาโคบ
 เมื่อโยเซฟอายุ 17 ปี ไปเลี้ยงสัตว์อยู่กับพวกพี่ชาย ท่านเป็นเด็กหนุ่มอยู่กับบุตรของนางบิลฮาห์และนางศิลปาห์ภรรยาของบิดาของเขา โยเซฟเอาความผิดของพวกพี่ชายมาเล่าให้บิดาฟัง 3ฝ่ายอิสราเอลรักโยเซฟมากกว่าบุตรชายทั้งหมดของท่าน เพราะโยเซฟเกิดมาเมื่อท่านแก่แล้ว บิดาทำเสื้อคลุมยาวมีแขนให้แก่โยเซฟ 4เมื่อพวกพี่ชายเห็นว่าบิดารักโยเซฟมากกว่าพวกเขา จึงเกลียดโยเซฟและพูดดีกับท่านไม่ได้ 5คราวหนึ่งโยเซฟฝัน แล้วเล่าให้พวกพี่ชายฟัง พวกพี่ชายยิ่งเกลียดโยเซฟมากขึ้น 6โยเซฟเล่าว่า “ฟังความฝันซึ่งฉันฝันซิ 7พวกเรากำลังมัดฟ่อนข้าวอยู่ในนา ทันใดนั้น ฟ่อนข้าวของฉันตั้งขึ้นตรง แต่ฟ่อนข้าวของพวกพี่ๆ มาแวดล้อมโน้มลงคำนับฟ่อนข้าวของฉัน” 8พวกพี่ชายจึงถามโยเซฟว่า “เจ้าจะปกครองเราจริงๆ หรือ? เจ้าจะครอบครองเราแน่ๆ หรือ?” พวกพี่ชายก็ยิ่งชังโยเซฟมากขึ้นอีกเพราะความฝัน และเพราะคำพูดของท่าน 9ต่อมาโยเซฟก็ฝันอีก จึงเล่าให้พวกพี่ชายฟังว่า “นี่แน่ะ ฉันฝันอีกครั้งหนึ่ง เห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวสิบเอ็ดดวงกำลังโน้มลงคำนับฉัน” 10เมื่อเล่าให้บิดาและพวกพี่ชายกับน้องฟัง บิดาก็เตือนโยเซฟว่า “ความฝันนี้ที่เจ้าฝันหมายความว่าอะไร พ่อกับแม่และพี่น้องของเจ้าจะมาโน้มตัวลงถึงดินคำนับเจ้าหรือ?” 11พวกพี่ชายอิจฉาโยเซฟ บิดาก็เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ

พวกพี่ขายโยเซฟ

 12ฝ่ายพวกพี่ชายพากันไปเลี้ยงแพะแกะของบิดาที่เชเคม 13อิสราเอลจึงพูดกับโยเซฟว่า “พวกพี่ชายของเจ้าเลี้ยงแพะแกะอยู่ที่เชเคมไม่ใช่หรือ? มา พ่อจะใช้เจ้าไปหาพวกเขา” โยเซฟตอบว่า “ลูกพร้อมแล้ว” 14บิดาจึงสั่งท่านว่า “ไปดูพวกพี่ชายของเจ้าและฝูงสัตว์ซิว่าสบายดีหรือไม่ แล้วกลับมาบอกพ่อ” บิดาของท่านใช้ท่านไปจากหุบเขาเฮโบรน ท่านก็มายังเชเคม 15ชายคนหนึ่งพบโยเซฟเดินไปในทุ่ง จึงถามว่า “เจ้าหาอะไร?” 16โยเซฟตอบว่า “ฉันกำลังหาพวกพี่ชายของฉัน ขอบอกฉันทีว่า พวกเขาเลี้ยงสัตว์อยู่ที่ไหน?” 17คนนั้นตอบว่า “พวกเขาไปแล้ว เพราะฉันได้ยินพวกเขาพูดกันว่า ‘ให้เราไปเมืองโดธานกันเถอะ’ ” โยเซฟตามพวกพี่ชายไปและพบพวกเขาที่เมืองโดธาน 18เมื่อพวกพี่ชายเห็นโยเซฟแต่ไกลขณะยังมาไม่ถึง พวกเขาก็พากันคิดปองร้ายจะฆ่าเสีย 19พวกเขาพูดกันว่า “ดูนี่ เจ้าช่างฝันกำลังมาแล้ว 20มาเถอะ ให้พวกเราฆ่ามันเสีย แล้วทิ้งลงบ่อสักบ่อหนึ่ง และพวกเราจะบอกว่าสัตว์ร้ายกัดกินมันเสียแล้ว เราจะดูว่าความฝันเหล่านั้นจะเป็นจริงได้อย่างไร” 21ฝ่ายรูเบนพอได้ยินดังนั้น ก็อยากช่วยโยเซฟให้พ้นมือพวกพี่ชาย จึงพูดว่า “เราอย่าฆ่าน้องเลย” 22รูเบนบอกพวกเขาว่า “อย่าทำให้โลหิตไหล จงทิ้งน้องลงบ่อนี้ในถิ่นทุรกันดาร อย่าแตะต้องน้องเลย” ทั้งนี้เพื่อจะช่วยน้องให้พ้นมือพวกเขา แล้วจะได้ส่งกลับไปยังบิดา 23เมื่อโยเซฟมาถึงพวกพี่ชาย พวกเขาก็จับโยเซฟถอดเสื้อออกเสีย คือเสื้อยาวมีแขนที่สวมอยู่ 24แล้วเอาโยเซฟไปทิ้งลงในบ่อ แต่บ่อนั้นไม่มีน้ำ
 25ขณะที่พวกเขานั่งเพื่อจะรับประทานอาหาร พวกเขาเงยหน้าขึ้น เห็นคาราวานพวกอิชมาเอลมาจากกิเลอาด มีฝูงอูฐบรรทุกเครื่องเทศ พิมเสนและเปลือกไม้ชะมดเดินทางไปยังอียิปต์ 26ยูดาห์จึงพูดกับพวกพี่น้องว่า “หากเราฆ่าน้องและซ่อนโลหิตไว้จะมีประโยชน์อะไรเล่า? 27มา ให้เราขายน้องแก่พวกอิชมาเอลโดยไม่แตะต้องเขา เพราะเขาก็เป็นน้องและเป็นเลือดเนื้อของเราเหมือนกัน” พี่น้องทั้งปวงก็ฟังเขา 28ขณะนั้นพวกพ่อค้าชาวมีเดียนกำลังผ่านมา พวกเขาก็ฉุดโยเซฟขึ้นจากบ่อ ขายโยเซฟให้แก่พวกอิชมาเอล เป็นเงินยี่สิบแผ่น พวกอิชมาเอลก็พาโยเซฟไปยังอียิปต์
 29เมื่อรูเบนกลับมาถึงบ่อนั้นก็เห็นว่าโยเซฟไม่ได้อยู่ในบ่อ จึงฉีกเสื้อผ้า 30แล้วกลับไปหาพวกน้องบอกว่า “เด็กนั้นหายไปเสียแล้ว แล้วฉันจะไปที่ไหนเล่า?” 31พวกเขาก็เอาเสื้อคลุมของโยเซฟมา และฆ่าลูกแพะผู้ตัวหนึ่ง จุ่มเสื้อคลุมของโยเซฟลงในเลือด 32แล้วก็ส่งเสื้อคลุมนั้นไปยังบิดา บอกว่า “พวกเราพบเสื้อคลุมตัวนี้ ขอพ่อตรวจดูว่า ใช่เสื้อลูกของพ่อหรือไม่?” 33บิดาจำได้ แล้วกล่าวว่า “นี่เป็นเสื้อคลุมของลูกเรา สัตว์ร้ายกัดกินเขาเสียแล้ว โยเซฟลูกเราถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แน่ๆ” 34ยาโคบก็ฉีกเสื้อผ้า เอาผ้ากระสอบคาดเอว คร่ำครวญถึงบุตรหลายวัน 35บุตรชายหญิงทั้งหมดก็พากันมาปลอบโยนบิดา แต่ท่านไม่ยอมรับการปลอบโยน กล่าวว่า “อย่าเลย เราจะไปยังแดนคนตาย ไปหาลูกเราพร้อมการคร่ำครวญ” บิดาของท่านก็ร้องไห้คิดถึงท่านดังนี้ 36ในระหว่างนั้นคนมีเดียนก็ขายโยเซฟในอียิปต์ไว้กับโปทิฟาร์ ขุนนางผู้หนึ่งของฟาโรห์ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์

อรรถาธิบาย

ก้มกราบลงต่อหน้าองค์จอมราชา

วันนี้เราเริ่มต้นเรื่องราวของโยเซฟ เขาได้รับความรักมากกว่าบุตรชายคนอื่น ๆ ของอิสราเอล (37:3) และพี่ ๆ ก็ต่างอิจฉาน้อง (ข้อ 4) ความฝันของโยเซฟที่เป็นที่ร่ำลือมาก หนึ่งในนั้นก็คือเมื่อเขาฝันเห็นพี่ๆโน้มตัวคำนับเขา (ข้อ 7,9)

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบางครั้งพระเจ้าตรัสกับเราผ่านทางความฝัน แน่นอนพระองค์ตรัสกับโยเซฟด้วยวิธีนี้เช่นกัน (ข้อ 5,9) โยเซฟมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต และสิ่งที่พระเจ้ากำลังจะทำกับชีวิตของเขาโดยผ่านความฝันเหล่านี้

อย่างไรก็ตามไม่เป็นการดีเลยที่จะเล่าความฝันและนิมิตของตัวคุณเองให้คนอื่น ๆ ฟัง โยเซฟอายุสิบเจ็ดปี (ข้อ 2) เขาไม่มีประสบการณ์ ความผิดพลาดของเขาคือการบอกทุกคนเกี่ยวกับความฝันของตน สิ่งนี้นำไปสู่ความเกลียดชัง (ข้อ 5,8) และความอิจฉา (ข้อ 11) พี่ชายของเขาพูดว่า ‘เจ้าจะปกครองเราจริง ๆ หรือ เจ้าจะครอบครองเราแน่ ๆ หรือ?’ (ข้อ 8ก) พวกเขาเกลียดแนวคิดที่ว่าโยเซฟจะเป็นใหญ่เหนือพวกเขา

จากนั้นเขาได้ฝันอีกครั้งถึงพวกพี่ชายที่กำลัง ‘โน้มลงคำนับ (เขา)’ (ข้อ 9) บิดาผู้มีสติปัญญาของเขาได้เพียงแค่ ‘สังเกต’ และ ‘ไตร่ตรอง’ เกี่ยวกับสิ่งที่โยเซฟพูด (ข้อ 11 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) หากคุณไม่แน่ใจว่าจะตอบสนองต่อความฝัน หรือนิมิตที่คุณคิดว่าอาจมาจากพระเจ้าได้อย่างไร การตอบสนองที่ชาญฉลาดที่สุดก็เพียงแค่ใคร่ครวญในใจดูก่อน (ดูลูกา 2:19)

อย่างไรก็ตามโยเซฟเล่าความฝันให้คนทั้งครอบครัวฟังอีกครั้งอย่างไม่ระมัดระวัง ทำให้พี่ชายของเขายิ่งอิจฉาเขามากขึ้น (ปฐมกาล 37:11) และวางแผนที่จะฆ่าเขา (ข้อ 18) โยเซฟถูกขายให้กับคนมีเดียนและถูกขายต่อไปยังอียิปต์ให้โปทิฟาร์ขุนนางผู้หนึ่งของฟาโรห์ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ (ข้อ 36) โยเซฟเข้ามาอยู่ภายใต้อีกหนึ่งผู้นำสูงสุดแห่งอียิปต์

ผลจากการที่โยเซฟเล่าความฝันให้พี่ชายฟังอย่างไม่ระมัดระวัง นั่นทำให้เขาต้องผ่านความยากลำบากอยู่หลายปี แต่พระเจ้าทรงใช้ทั้งหมดนี้เพื่อเสริมสร้างลักษณะนิสัยและเตรียมเขาให้พร้อมสำหรับชีวิตที่เขาต้องเผชิญ

การครอบครองของกษัตริย์ที่เราได้อ่านในพระคัมภีร์เดิมคือการมุ่งไปถึงแผ่นดินของพระเจ้าในพันธสัญญาใหม่ ในเนื้อหาของวันนี้เราจะเห็นผู้ปกครองที่เป็นมนุษย์มากมายตั้งแต่กษัตริย์และหัวหน้าของเอโดม (36:31–43) ไปจนถึงฟาโรห์แห่งอียิปต์ (37:36) สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญในบทปิดท้ายของพระธรรมปฐมกาลคือในที่สุดพระเจ้าทรงอยู่เหนือและอยู่เบื้องหลังผู้ปกครองของมนุษย์ทั้งหมด ดั่งจะเห็นได้ชัดในเรื่องราวของโยเซฟ

การพลิกผันของเรื่องราวบางครั้งอาจดูแปลกประหลาดและบังเอิญ อย่างไรก็ตามตลอดที่เราได้อ่านเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของพระเจ้า (เช่นในความฝันของโยเซฟ) ในที่สุดเราก็พบว่าทุกอย่างดำเนินไปตามแผนการของพระองค์ (50:20)

โยเซฟเป็นคนที่มี ‘ลักษณะ' คล้ายพระคริสต์ กล่าวอีกนัยหนึ่งชีวิตของเขาเป็นเงาสะท้อนถึงชีวิตของพระเยซู (ดังที่เราจะเห็นในวันถัดไป) จะมีความแตกต่างในช่วงเริ่มต้น พระเยซูทรงทราบว่าพระเจ้าจะใช้พระองค์อย่างไร แต่พระองค์ทรงตรัสให้ผู้อื่นฟังอย่างสุขุมและระมัดระวัง

เรายังเห็นในพระธรรมตอนนี้ถึงจุดเริ่มต้นของความคล้ายคลึงกันระหว่างโยเซฟกับพระเยซู คือวันหนึ่งผู้คนจะกราบลงต่อหน้าโยเซฟ (37:7,9) และวันหนึ่งทุกชีวิตจะคุกเข่าก้มกราบลงต่อองค์จอมราชาคือพระเยซูคริสต์ (ฟิลิปปี 2:10; วิวรณ์ 19:4,6)

เมื่อคุณคุกเข่ายอมจำนนต่อองค์พระเยซูและยอมรับว่าทรงเป็นองค์จอมราชาในชีวิตคุณ เมื่อนั้นคุณจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผลแพ้ชนะกับการต่อสู้กับอำนาจต่าง ๆ ของมนุษย์ที่คุณเจอในชีวิตจริง (ตัวอย่างเช่นครู เจ้านายและรัฐบาล)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า องค์จอมราชา ขอบคุณพระองค์ที่เมื่อข้าพระองค์ได้ติดตามพระองค์ ข้าพระองค์ก็อยู่ในการครอบครองซึ่งมาจากพระองค์ วันนี้ข้าพระองค์ขอก้มกราบลงและยอมรับว่าทรงเป็นพระเจ้าสูงสุด ขอให้แผ่นดินพระองค์มาตั้งอยู่

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ปฐมกาล 36:1–37:36

ยาโคบอาจทำได้ดีกว่านี้ถ้าเขาได้เจอหนังสือแด่พ่อแม่ (The Parenting Book) เพราะการโปรดปรานลูกคนใดคนหนึ่งมากเกินไปทำให้เกิดปัญหาได้ แต่พระเจ้าใช้แม้กระทั่งข้อผิดพลาดของเราเพื่อพระประสงค์ของพระองค์

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม