วิธีใช้เวลากับพระเยซู
เกริ่นนำ
ผมได้มีประสบการณ์กับพระเยซูครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1974 ผมรู้สึกขอบคุณคนที่สอนผมตั้งแต่เริ่มต้นถึงความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า ‘การเฝ้าเดี่ยว’
‘การเฝ้าเดี่ยว’ คำที่ล้าสมัยนี้ (หมายถึงช่วงเวลาที่จัดสรรไว้สำหรับอ่านพระคัมภีร์และอธิษฐาน) อาจจะมีที่มาจากถ้อยคำของพระเยซูในข้อพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่สำหรับวันนี้ ‘มาเถิด จงปลีกตัวออกมาหาที่ สงบเพื่อหยุดพักสักหน่อยหนึ่ง’ (มาระโก 6:31) ในทุก ๆ เช้าตั้งแต่ผมอายุ 18 ปี ผมเริ่มต้นวันใหม่ด้วยวิธีนี้ ผมพยายามใช้เวลากับพระเยซูด้วยตัวเองในที่เงียบ ๆ บางครั้งใช้เวลาสั้น ๆ บางครั้งใช้เวลานานแต่เหมือนกับที่ผมไม่ชอบเริ่มต้นวันใหม่โดยปราศจากอาหารเช้า ผมจึงไม่สามารถจินตนาการได้ถึงการเริ่มต้นวันใหม่โดยปราศจากอาหารฝ่ายจิตวิญญาณ
เกือบทุกครั้ง ผมเริ่มต้นด้วยการอ่านพระคัมภีร์ เพราะผมเชื่อว่าการที่พระเยซูตรัสกับผมมีความสำคัญมากกว่าการที่ผมพูดกับพระองค์ ตอนนี้ความคิดของผมในแต่ละวันเป็นพื้นฐานของบันทึกเหล่านี้ที่ประกอบเป็น*พระ คัมภีร์ใน 1 ปี *
สดุดี 25:1-7
คำอธิษฐานขอการทรงนำและการปกป้อง
ของดาวิด
1ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ยกจิตใจของข้าพระองค์ขึ้นต่อพระองค์
2ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์วางใจในพระองค์
ขออย่าให้ข้าพระองค์อับอาย
ขออย่าให้ศัตรูได้ปรีดาปราโมทย์เหนือข้าพระองค์
3อย่าให้ผู้ที่รอคอยพระองค์นั้นอับอายเลย
แต่ผู้ที่ทรยศโดยไม่มีเหตุ ขอให้อับอาย
4ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงให้ข้าพระองค์รู้จักพระมรรคา
ขอทรงสอนวิถีของพระองค์แก่ข้าพระองค์
5ขอทรงนำข้าพระองค์ไปในความจริงของพระองค์ และขอทรงสอนข้าพระองค์
เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์
ข้าพระองค์รอคอยพระองค์อยู่วันยังค่ำ
6ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงระลึกถึงพระกรุณาและความรักมั่นคงของพระองค์
ด้วยสิ่งเหล่านั้นมีมาแต่กาลก่อน
7ขออย่าทรงระลึกถึงบาปในวัยหนุ่ม หรือการละเมิดของข้าพระองค์
ข้าแต่พระยาห์เวห์ ด้วยเห็นแก่ความดีของพระองค์
ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ ตามความรักมั่นคงของพระองค์
อรรถาธิบาย
ถึงเวลามองไปที่พระเจ้า
คุณเคยรู้สึกหวาดกลัวกับสถานการณ์ของคุณหรือไม่? คุณเคยกลัวว่าคุณอาจจะล้มเหลวและจบลงด้วยความผิดหวังหรือความอับอายหรือไม่?
ดาวิดมีความหวาดกลัวนั้นอย่างชัดเจน และได้ให้ตัวอย่างวิธีเริ่มต้นการเฝ้าเดี่ยวแก่เรา เขาเริ่มด้วยการกล่าวว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์นำชีวิตของข้าพระองค์ขึ้นต่อพระองค์’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) เขาตั้งใจที่จะวางใจในพระเจ้าแม้จะมีความท้าทายทั้งสิ้นที่รอคอยอยู่ข้างหน้า เขากล่าวต่อไปว่า ‘ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์วางใจ พึ่งพา พึ่งพิง และมั่นใจในพระองค์ ขออย่าให้ข้าพระองค์อับอายหรือ (ความหวังของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์) อย่าให้ข้าพระองค์ผิดหวัง ขออย่าให้ศัตรูได้รับชัยชนะเหนือข้าพระองค์’ (ข้อ 2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
เขากล่าวว่า ‘ข้าพระองค์กำลังมองไปที่พระองค์ พระเจ้าข้า’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เห็นได้ชัดว่าเขาถูกโจมตี แต่เขาวางใจว่าพระเจ้าจะไม่ปล่อยให้เขาอับอาย (ข้อ 3) ความหวังของ เขาอยู่ในพระเจ้า ‘วันยังค่ำ’ (ข้อ 5)
ใช้เวลาในแต่ละวันมองไปที่พระเจ้าเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งต่าง ๆ ที่รอคอยอยู่ข้างหน้า ทูลขอความเมตตา การให้อภัย การช่วยเหลือ การทรงนำ และการช่วยกู้จากพระเจ้า
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อธิษฐานขอการทรงนำจากพระองค์ในทุก ๆ สิ่งที่ข้าพระองค์ต้องข้องเกี่ยวในวันนี้ ‘ขอพระองค์ทรงจูงมือข้าพระองค์ไป นำข้าพระองค์ไปในหนทางแห่งความจริง... ขอพระองค์ทรงมีเพียงแผนการที่ดีที่สุดสำหรับข้าพระองค์’ (ข้อ 5,7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
มาระโก 6:30-56
การทรงเลี้ยงคนห้าพันคน
30พวกอัครทูตมาห้อมล้อมพระเยซูและทูลถึงสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาทำและสั่งสอน 31แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “มาเถิด จงปลีกตัวออกมาหาที่สงบเพื่อหยุดพักสักหน่อยหนึ่ง” เพราะว่ามีคนไปมามากมายจนไม่มีเวลาแม้แต่จะรับประทานอาหาร 32พระองค์จึงเสด็จลงเรือกับพวกสาวกไปยังที่สงบตามลำพัง 33ขณะที่ไปนั้นมีคนจำนวนมากเห็นและจำได้ จึงพากันออกจากเมืองต่างๆ วิ่งไปถึงที่หมายล่วงหน้าก่อนพวกของพระองค์ 34เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือแล้วก็ทอดพระเนตรเห็นมหาชน และพระองค์ทรงสงสารพวกเขา เพราะว่าพวกเขาเป็นเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง พระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนพวกเขาหลายประการ 35เมื่อเวลาผ่านไปเกือบจะค่ำแล้ว พวกสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ที่นี่เป็นถิ่นทุรกันดาร และตอนนี้เวลาก็เย็นมากแล้ว 36ขอพระองค์ทรงให้ประชาชนไปเถิด พวกเขาจะได้ไปหาซื้ออาหารรับประทานตามชนบทและหมู่บ้านที่อยู่แถบนี้” 37แต่พระองค์ตรัสตอบพวกสาวกว่า “พวกท่านจงเลี้ยงพวกเขาเถิด” พวกเขาทูลพระองค์ว่า “จะให้พวกข้าพระองค์ใช้เงินสองร้อยเดนาริอันไปซื้ออาหารให้พวกเขารับประทานหรือ?” 38พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า “พวกท่านมีขนมปังอยู่กี่ก้อน? ไปดูซิ” เมื่อทราบแล้วพวกเขาจึงทูลว่า “มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว” 39พระองค์จึงตรัสสั่งพวกเขาให้จัดคนทั้งหลายนั่งรวมกันที่หญ้าสดเป็นหมู่ๆ 40ประชาชนก็นั่งรวมกันเป็นหมู่ๆ หมู่ละร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง 41เมื่อพระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ เมื่อขอพระพรแล้วก็ทรงหักขนมปังเหล่านั้นให้พวกสาวกเอาไปแจกให้กับคนทั้งหลาย ส่วนปลาสองตัวนั้นพระองค์ก็ทรงแบ่งให้โดยทั่วกัน 42ทุกคนจึงได้กินจนอิ่ม 43ส่วนเศษขนมปังและปลาที่เหลือนั้น พวกเขาเก็บไว้ได้ถึงสิบสองตะกร้าเต็ม 44จำนวนคนที่รับประทานขนมปังเหล่านั้นมีผู้ชายห้าพันคน
พระเยซูทรงดำเนินบนทะเล
45แล้วพระองค์ตรัสสั่งให้พวกสาวกลงเรือทันทีและข้ามไปยังเมืองเบธไซดาก่อน ระหว่างที่พระองค์ทรงรอส่งฝูงชนกลับบ้าน 46หลังจากพระองค์ทรงลาพวกเขาแล้ว ก็เสด็จขึ้นภูเขาเพื่อทรงอธิษฐานที่นั่น 47เมื่อค่ำลง เรือของพวกสาวกอยู่กลางทะเล ส่วนพระองค์ประทับบนฝั่งแต่ผู้เดียว 48แล้วพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพวกสาวกกำลังตีกรรเชียงด้วยความลำบากเพราะทวนลมอยู่ พอถึงเวลายามที่สี่ พระองค์ทรงดำเนินบนน้ำทะเลไปหาพวกเขา และพระองค์ทรงดำเนิน 49เมื่อพวกสาวกเห็นพระองค์ทรงดำเนินบนทะเล พวกเขาคิดว่าเป็นผี แล้วพากันร้องเสียงดัง 50เพราะว่าทุกคนเห็นแล้วก็กลัว แต่ในทันใดนั้น พระองค์แย้มพระโอษฐ์ตรัสกับพวกเขาว่า “ทำใจดีๆ เถิด นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” 51พระองค์จึงเสด็จขึ้นไปหาพวกเขาบนเรือแล้วลมก็สงบลง พวกสาวกก็ประหลาดใจเหลือที่จะกล่าว 52เพราะว่าพวกเขาเองยังไม่เข้าใจเรื่องขนมปังนั้น เนื่องจากใจของพวกเขายังแข็งกระด้าง
การทรงรักษาคนเจ็บป่วยในเยนเนซาเรท
53หลังจากข้ามฟากไป ก็จอดเรือที่แขวงเยนเนซาเรท 54เมื่อขึ้นจากเรือแล้วคนทั้งหลายก็จำพระองค์ได้ทันที 55พวกเขารีบไปทั่วแว่นแคว้นและเอาคนเจ็บป่วยใส่แคร่หามมายังที่ซึ่งพวกเขาได้ยินว่าพระองค์ประทับอยู่ 56ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน ในหมู่บ้าน ในเมือง หรือในชนบท ผู้คนก็เอาคนเจ็บป่วยมาวางกลางตลาด และทูลขออนุญาตจากพระองค์ที่จะได้แตะต้องแม้เพียงชายฉลองพระองค์ และทุกคนที่แตะต้องก็หายป่วย
อรรถาธิบาย
ใช้เวลาตามลำพังกับพระเยซู
พระเยซูทรงสอนสาวกของพระองค์ว่าการใช้เวลาตามลำพังกับพระองค์ต้องมาก่อน พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า ‘มาเถิด จงปลีกตัวออกมาหาที่สงบเพื่อหยุดพักสักหน่อยหนึ่ง’ (ข้อ 31ข) และพวกเขาก็ออกไป ‘ไปยังที่สงบตามลำพัง’ (ข้อ 32)
มีการกระทำมากมายเกิดขึ้นในชีวิตของพระเยซูซึ่งต้องเป็นการยากมากสำหรับพระองค์ที่จะหลบเลี่ยงและพักผ่อน (ข้อ 31) พระเจ้าทรงใช้พระองค์ในวิถีที่น่าอัศจรรย์ คือเริ่มด้วยการเลี้ยงคน 5,000 คน และเดินบนน้ำ พระองค์ทรงเห็นความต้องการอันใหญ่หลวงของประชาชน (‘พระองค์ทรงสงสารพวกเขา เพราะว่าพวกเขา เป็นเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง’, ข้อ 34)
พวกเขาสิ้นหวังและวิ่งเข้าหาพระองค์อย่างแท้จริง (ข้อ 33,55) อย่างไรก็ตามพระเยซูทรงพบว่ามีความจำเป็น ที่ต้องส่งพวกเขาทั้งหมดกลับไป พระองค์ต้องการอยู่ลำพัง พระองค์เสด็จขึ้นภูเขาเพื่อทรงอธิษฐาน (ข้อ 45-46) พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับช่วงเวลาที่จะอยู่ตามลำพังกับพระเจ้าก่อน
การอธิษฐานและการกระทำต้องเป็นไปพร้อมกัน เป็นการกระทำออกมาจากความสัมพันธ์ พระเยซู ‘ทรงสงสารพวกเขา’ (ข้อ 34) คำที่ใช้นั้นเป็นคำที่ลึกซึ้งที่สุดในภาษากรีกสำหรับคำว่า ‘สงสาร’ ‘หัวใจของพระองค์แตกสลาย’ (ข้อ 34, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
พระเยซูทรงพัฒนาและหนุนใจเหล่าสาวกในงานรับใช้ของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา พระองค์ไม่ได้เลี้ยงคน 5,000 คนอย่างอัศจรรย์ด้วยตัวพระองค์เองผู้เดียว พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า ‘พวกท่านจงเลี้ยงพวกเขาเถิด’ (ข้อ 37)
บางครั้งผมรู้สึกหวาดกลัวกับงานรับใช้ที่พระเจ้าทรงมอบให้ผม บ่อยครั้งที่ผมรู้สึกว่าผมมีเพียงเล็กน้อยที่จะให้ กับคนที่ผมถูกเรียกให้รับใช้ ผมได้รับความสบายใจอย่างมากจากข้อความนี้คือ พระเยซูสามารถทำสิ่งที่มาก จากสิ่งเล็กน้อย ถ้าคุณมอบสิ่งที่คุณมีเล็กน้อยให้กับพระเยซู พระองค์สามารถเพิ่มจำนวนให้มากขึ้นและสนอง ความต้องการของทุก ๆ คน
พระเยซูทรงมีประสิทธิภาพ มีระเบียบและเน้นในทางปฏิบัติ พระองค์ ‘ตรัสสั่งพวกเขาให้จัดคนทั้งหลายนั่ง รวมกันที่หญ้าสดเป็นหมู่ ๆ ประชาชนก็นั่งรวมกันเป็นหมู่ ๆ หมู่ละร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง’ (ข้อ 39-40)
หลักจากที่เหล่าสาวกเลี้ยงคน 5,000 คน พระเยซูจึงส่งพวกเขาออกไปอีกครั้ง พระองค์สั่งให้พวกสาวกลงเรือ และเดินทางไปก่อนพระองค์ ในขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นภูเขาเพื่ออธิษฐาน
แม้ว่าเรากำลังทำสิ่งที่พระเยซูตรัสสั่งให้เราทำ แต่บางครั้งก็เป็นงานที่ยากและหนักมาก มีช่วงเวลาที่ผมรู้สึก ‘กังวล (เป็นทุกข์และเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและความหวาดกลัว)’ (ข้อ 50, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) พวกสาวก ‘กำลังตีกรรเชียงด้วยความลำบาก เพราะทวนลมอยู่’ (ข้อ 48) เมื่อพระเยซูไปสมทบกับพวกเขาพระองค์ตรัสว่า ‘ทำใจดี ๆ เถิด นี่เราเอง อย่ากลัวเลย’ (ข้อ 50)
เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นไปหาพวกเขาบนเรือ ‘ลมก็สงบลง’ (ข้อ 51) เราจะเห็นภาพของความแตกต่างที่พระเยซู ทรงกระทำกับชีวิตของเรา เป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก เว้นเสียแต่ว่าคุณจะตระหนักว่าพระเยซูทรงอยู่ด้วยกับคุณ
เฉพาะคนที่จำพระเยซูได้ (ข้อ 54) ที่สามารถเพลิดเพลินกับความสัมพันธ์นี้ พวกที่จำพระองค์ได้วิ่งเข้าหา พระองค์ (ข้อ 55) และผมชอบประโยคนี้คือ ‘ทุกคนที่แตะต้องพระองค์ก็หายป่วย’ (ข้อ 56)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่แม้ในช่วงพายุของชีวิตพระองค์ตรัสกับข้าพระองค์ว่า ‘ทำใจดี ๆ เถิด นี่เราเอง อย่ากลัวเลย’ (ข้อ 50)
อพยพ 31:1-33:6
เบซาเลลกับโอโฮลีอับ
1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2“ดูสิ เราได้เลือกเบซาเลลบุตรอุรีผู้เป็นบุตรเฮอร์แห่งเผ่ายูดาห์ 3และเราได้ให้เขาเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า คือให้เขามีสติปัญญา ความเข้าใจและความรู้ในงานช่างทุกอย่าง 4เพื่อจะคิดออกแบบในการทำเครื่องทอง เครื่องเงิน และเครื่องทองสัมฤทธิ์ 5ในการเจียระไนอัญมณีสำหรับฝังในกระเปาะ และในการแกะสลักไม้สำหรับงานช่างทุกอย่าง 6และนี่แน่ะ เราได้ตั้งผู้ช่วยคนหนึ่งให้เขา ชื่อโอโฮลีอับบุตรอาหิสะมัคแห่งเผ่าดาน เรายังได้ให้ทักษะแก่ช่างฝีมือทุกคน เพื่อพวกเขาจะทำงานทุกอย่างที่เราได้สั่งเจ้า 7คือเต็นท์นัดพบ หีบแห่งสักขีพยาน และพระที่นั่งกรุณาซึ่งอยู่บนหีบแห่งสักขีพยาน และเครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับเต็นท์ 8โต๊ะกับเครื่องใช้สำหรับโต๊ะ คันประทีปบริสุทธิ์กับเครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับคันประทีป และแท่นเผาเครื่องหอม 9แท่นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวกับเครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับแท่น อ่างกับฐานรอง 10เสื้อเย็บด้วยฝีมือประณีต คือเสื้อตำแหน่งบริสุทธิ์ของอาโรนปุโรหิต และเสื้อตำแหน่งของบุตรของเขา เพื่อจะได้สวมขณะปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งปุโรหิต 11และน้ำมันเจิมกับเครื่องหอมสำหรับสถานศักดิ์สิทธิ์ ให้พวกเขาทำตามทุกอย่างที่เราสั่งเจ้า”
พระบัญญัติเกี่ยวกับวันสะบาโต
12พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 13“เจ้าจงสั่งชนชาติอิสราเอลว่า ‘จงรักษาวันสะบาโตของเราไว้ เพราะนี่จะเป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับพวกเจ้าตลอดชั่วชาติพันธุ์ของพวกเจ้า เพื่อจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์ ผู้ชำระเจ้าทั้งหลายให้บริสุทธิ์ 14พวกเจ้าจงรักษาวันสะบาโต เพราะเป็นวันบริสุทธิ์สำหรับพวกเจ้า ผู้ใดทำให้วันนั้นเป็นมลทินจะต้องถูกลงโทษถึงตายอย่างแน่นอน ถ้าผู้ใดทำงานใดๆ ในวันนั้น ผู้นั้นต้องถูกตัดออกจากการเป็นประชากรของเรา 15จงทำงานหกวัน แต่ในวันที่เจ็ดเป็นวันสะบาโตสำหรับหยุดพัก เป็นวันบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์ ทุกคนที่ทำงานในวันสะบาโตนั้นต้องถูกลงโทษถึงตายอย่างแน่นอน 16ดังนั้น ชนชาติอิสราเอลจึงรักษาวันสะบาโตตลอดชั่วชาติพันธุ์ของพวกเขาเป็นพันธสัญญาเนืองนิตย์ 17เป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับชนชาติอิสราเอลเป็นนิตย์ว่า ในหกวันพระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก แต่ในวันที่เจ็ดทรงหยุดพัก และหย่อนพระทัย’ ”
แผ่นศิลาพระโอวาท
18เมื่อพระองค์ตรัสกับโมเสสบนภูเขาซีนายเสร็จแล้ว จึงประทานแผ่นพระโอวาทสองแผ่น เป็นแผ่นศิลาจารึกด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า
อพยพ 32
โคทองคำ
1เมื่อประชาชนเห็นโมเสสล่าช้าอยู่ ไม่ลงมาจากภูเขา จึงพากันมาหาอาโรน กล่าวว่า “จงลุกขึ้นสร้างพระให้เรา ซึ่งจะนำหน้าเรา เพราะว่าโมเสสคนนี้ที่ได้นำเราออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เราไม่ทราบว่าเขาเป็นอะไรไปแล้ว” 2อาโรนจึงกล่าวกับพวกเขาว่า “จงปลดตุ้มหูทองจากหูภรรยาและหูบุตรชายหญิงของเจ้าทั้งหลาย แล้วนำมาให้เราเถิด” 3ประชาชนทั้งหมดจึงปลดตุ้มหูทองจากหูของตนมามอบให้อาโรน 4เมื่ออาโรนได้ทองคำจากพวกเขาแล้ว จึงใช้เครื่องมือหล่อทองคำเป็นรูปโคหนุ่มและหล่อเป็นรูปโค แล้วเขาทั้งหลายประกาศว่า “โอ อิสราเอล สิ่งเหล่านี้แหละเป็นพระของเจ้า ซึ่งนำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์” 5เมื่ออาโรนเห็นดังนั้นแล้ว จึงสร้างแท่นบูชาไว้ ตรงหน้ารูปโคนั้น แล้วอาโรนประกาศว่า “พรุ่งนี้จะเป็นวันเทศกาลเลี้ยงถวายเกียรติพระยาห์เวห์” 6รุ่งขึ้นพวกเขาก็ลุกขึ้นแต่เช้าถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และนำเครื่องศานติบูชามา ประชาชนก็นั่งลง กินและดื่ม แล้วก็ลุกขึ้นทำสิ่งที่น่าบัดสีต่อกัน
7พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงลงไปทันที เพราะว่าประชากรของเจ้าซึ่งเจ้าได้นำออกจากแผ่นดินอียิปต์นั้น ได้ทำเรื่องเสื่อมเสีย 8พวกเขาได้หันจากทางซึ่งเราบัญชาเขาไว้นั้นอย่างรวดเร็ว คือได้หล่อรูปโคขึ้นสำหรับตน และกราบไหว้ และถวายสัตวบูชาแก่รูปนั้น และกล่าวว่า ‘โอ อิสราเอล สิ่งเหล่านี้แหละเป็นพระของเจ้า ซึ่งนำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์’ ” 9“และพระยาห์เวห์ยังตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เราได้เห็นชนชาตินี้แล้ว และดูสิ เขาเป็นชนชาติที่หัวแข็ง 10บัดนี้ ขออย่ายับยั้งเราแปลได้อีกว่า จงปล่อยเราตามลำพัง เพื่อความโกรธของเราจะเดือดพลุ่งขึ้นต่อพวกเขา และเพื่อเราจะทำลายเขาทั้งหลายเสีย ส่วนเจ้า เราจะให้เป็นชนชาติใหญ่”
11แต่โมเสสกราบทูลวิงวอนพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ทำไมพระองค์จึงกริ้วยิ่งนักต่อประชากรของพระองค์ ซึ่งทรงนำออกจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ และด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์เล่า? 12ทำไมโปรดให้คนอียิปต์กล่าวว่า ‘พระองค์ทรงนำพวกเขาออกมาเพื่อจะทรงทำร้ายพวกเขา เพื่อจะทรงประหารพวกเขาที่ภูเขาและทำลายพวกเขาเสียจากแผ่นดิน’? ขอพระองค์ทรงหันกลับจากพระพิโรธอันแรงกล้า และขอเปลี่ยนพระทัยอย่าทำอันตรายประชากรของพระองค์ 13ขอทรงระลึกถึง อับราฮัม อิสอัค และอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์เองทรงปฏิญาณกับเขาเหล่านั้นว่า ‘เราจะให้เชื้อสายของเจ้าทั้งหลายทวีขึ้นเหมือนดังดวงดาวในท้องฟ้า และเราจะยกแผ่นดินนี้ทั้งหมดที่เราสัญญาให้แก่เชื้อสายของพวกเจ้า และพวกเขาจะรับไว้เป็นมรดกตลอดไป’ ” 14แล้วพระยาห์เวห์จึงเปลี่ยนพระทัย ไม่ทรงทำอันตรายประชากรของพระองค์อย่างที่มีพระดำริไว้แก่ประชากรของพระองค์
15โมเสสก็กลับลงมาจากภูเขาถือแผ่นศิลาพระโอวาทสองแผ่นซึ่งจารึกทั้งสองด้าน จารึกทั้งด้านนี้และด้านนั้น 16แผ่นศิลาทั้งสองแผ่นเป็นพระราชกิจของพระเจ้า และอักษรที่จารึกนั้นเป็นลายพระหัตถ์ของพระเจ้าสลักไว้บนแผ่นศิลานั้น 17เมื่อโยชูวาได้ยินเสียงประชาชนอื้ออึงอยู่ เขาจึงเรียนโมเสสว่า “มีเสียงสงครามในค่าย” 18แต่โมเสสตอบว่า
“นั่นไม่ใช่เสียงร้องของผู้ชนะ
และไม่ใช่เสียงร้องของผู้แพ้
แต่เป็นเสียงร้องเพลงกันที่เราได้ยิน”
19พอโมเสสเข้ามาใกล้ค่าย ได้เห็นรูปโคและคนเต้นรำ โทสะของโมเสสก็เดือดพลุ่งขึ้น ท่านโยนแผ่นศิลาในมือทิ้งตกแตกเสียที่เชิงภูเขานั่นเอง 20แล้วท่านเอารูปโคที่พวกเขาทำไว้ไปเผาเสีย และบดเป็นผงโรยลงในน้ำ และบังคับให้คนอิสราเอลดื่ม
21โมเสสจึงถามอาโรนว่า “ประชาชนนี้ทำอะไรแก่ท่านเล่า? ท่านจึงนำบาปใหญ่นี้มาสู่พวกเขา” 22อาโรนตอบว่า “อย่าให้ความโกรธของเจ้านายของข้าเดือดพลุ่งขึ้นเลย ท่านก็รู้จักประชาชนพวกนี้แล้วว่า พวกเขาเอนเอียงไปในทางชั่ว 23พวกเขามากล่าวกับข้าว่า ‘ขอสร้างพระให้เรา ซึ่งจะนำหน้าเรา ด้วยว่าโมเสสคนนี้ที่ได้นำเราออกจากแผ่นดินอียิปต์นั้น เราไม่ทราบว่าเขาเป็นอะไรไปแล้ว’ 24แล้วข้าตอบพวกเขาว่า ‘ใครมีทองคำให้ปลดออกมา’ พวกเขาก็มอบทองคำให้ข้า แล้วข้าก็โยนลงไปในไฟ แล้วโคนี้ก็ออกมา”
25เมื่อโมเสสเห็นประชาชนเตลิดไป (เพราะอาโรนปล่อยเขาทั้งหลายให้เตลิดไป จนพวกเขาถูกพวกศัตรูเย้ยหยัน) 26แล้วโมเสสยืนอยู่ที่ประตูค่ายร้องว่า “ใครอยู่ฝ่ายพระยาห์เวห์? จงมาหาเราเถิด” คนเลวีทั้งหมดก็มาหาโมเสสพร้อมกัน 27โมเสสจึงกล่าวกับพวกเขาว่า “พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘แต่ละคน จงเหน็บดาบแนบกายและไปมาตามประตูค่าย แล้วแต่ละคนจงฆ่าพี่น้องและมิตรสหายอีกทั้งเพื่อนบ้านของตัวเอง’ ” 28คนเลวีก็ทำตามที่โมเสสสั่ง และประชาชนประมาณสามพันคนตายลงในวันนั้น 29แล้วโมเสสกล่าวว่า “ในวันนี้ท่านทั้งหลายจงสถาปนาตัวเองรับใช้พระยาห์เวห์ แต่ละคนจงสู้รบกับบุตรและพี่น้องของตน เพื่อวันนี้พระองค์จะทรงอวยพรท่านทั้งหลาย”
30วันรุ่งขึ้น โมเสสจึงกล่าวกับประชาชนว่า “ท่านทั้งหลายได้ทำบาปใหญ่หลวง แต่บัดนี้เราจะขึ้นไปเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์ บางทีเราจะลบมลทินบาปของพวกท่านได้” 31โมเสสจึงกลับไปเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์กราบทูลว่า “อนิจจา ประชากรนี้ทำบาปใหญ่หลวง พวกเขาสร้างพระด้วยทองคำสำหรับตัวเอง 32แต่บัดนี้ขอพระองค์โปรดยกโทษบาปของพวกเขา มิฉะนั้น ขอพระองค์ทรงลบชื่อของข้าพระองค์เสียจากหนังสือที่พระองค์ทรงจดไว้” 33พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “ผู้ใดทำบาปต่อเรา เราก็จะลบชื่อผู้นั้นจากหนังสือของเรา 34บัดนี้ จงไปเถิด นำประชากรไปยังที่ซึ่งเราบอกแก่เจ้าแล้ว นี่แน่ะ ทูตของเราจะนำหน้าเจ้า แต่ว่าในวันที่เราจะลงโทษนั้น เราจะลงโทษพวกเขาเพราะบาปของพวกเขา”
35พระยาห์เวห์ทรงบันดาลให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นกับประชากร เพราะพวกเขาทำรูปโคหนุ่มซึ่งอาโรนทำนั้น
อพยพ 33
พระบัญชาให้ออกจากซีนาย
1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงขึ้นไปจากที่นี่ เจ้ากับประชากรซึ่งเจ้านำขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ ไปยังแผ่นดินซึ่งเราปฏิญาณกับอับราฮัม กับอิสอัค และกับยาโคบว่า ‘เราจะให้แผ่นดินนั้นแก่เชื้อสายของเจ้า’ 2เราจะใช้ทูตองค์หนึ่งนำหน้าเจ้าไปและเราจะไล่คนคานาอัน คนอาโมไรต์ คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ออกไปเสีย 3จงขึ้นไปยังแผ่นดินซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ แต่เราจะไม่ขึ้นไปกับพวกเจ้า เกรงว่าเราจะทำลายล้างพวกเจ้าเสียกลางทาง เพราะว่าพวกเจ้าเป็นชนชาติที่หัวแข็ง”
4เมื่อประชาชนได้ยินข่าวร้ายนี้ พวกเขาก็เป็นทุกข์ยิ่งนัก และไม่มีใครใส่เครื่องประดับเลย 5เพราะพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงกล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลว่า ‘เจ้าทั้งหลายเป็นชนชาติที่หัวแข็ง ถ้าเราจะขึ้นไปกับเจ้าเพียงครู่เดียว เราก็จะทำลายล้างเจ้าเสีย และบัดนี้ จงถอดเครื่องประดับออกเสีย เพื่อเราจะรู้ว่าเราควรจะทำอย่างไรกับเจ้าดี’ ” 6ดังนั้นชนชาติอิสราเอลจึงถอดเครื่องประดับออก ตั้งแต่ตอนที่อยู่แถบภูเขาโฮเรบเป็นต้นมา
อรรถาธิบาย
ถึงเวลารับความช่วยเหลือจากพระเจ้า
สาเหตุที่พระเยซูต้องการให้พวกสาวกปลีกตัวออกมาก็เพื่อหยุดพัก (มาระโก 6:31) เราจะเห็นถึงความสำคัญของการพักผ่อนและการทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น ในพระคัมภีร์ตอนนี้ (อพยพ 31:13-17) ดูตารางเวลาของคุณล่วงหน้าและตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้ให้ความสำคัญกับช่วงเวลาเหล่านี้
การใช้เวลาตามลำพังกับพระเยซูนั้นรวมไปถึงการฟังพระองค์ วิธีหลักที่เราจะได้ยินพระเยซูตรัสกับเราคือผ่านทางพระคัมภีร์ บ่อยครั้งเมื่อผมไม่ได้ใช้เวลาตามลำพังกับพระเยซู ผมจึงพ่ายแพ้ต่อสิ่งล่อลวงได้ง่ายมากขึ้นและรู้สึกหวาดกลัว
ในอพยพ 32 เราจะได้เห็นไม่ว่าพระเจ้าจะทรงทำเพื่อเรามากแค่ไหนในอดีต แต่เราก็ลืมอย่างรวดเร็วและสงสัยในพระองค์ และผลก็คือตกลงในความบาป ‘พวกเขาได้หันจากทางซึ่งเราบัญชาเขาไว้นั้นอย่างรวดเร็ว’ (32:8)
สาเหตุเบื้องต้นของการบูชารูปเคารพของพวกเขาคือการขาดความอดทน พวกเขาไม่รอให้ถึงเวลาของพระเจ้า ความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงกระทำสิ่งที่เราคิดว่าใช้เวลานาน ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ไม่ได้ทำงานอยู่
หลังจากที่ประชาชนได้สร้างรูปเคารพรูปวัวทองคำแล้ว คำอธิษฐานของโมเสสก็คือการขอให้ภัยพิบัติทั้งหมดนั้นหันเหไป (ข้อ 11-14) ด้วยพลังของการอธิษฐานเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนแปลงเส้นทางของประวัติศาสตร์
อาโรนต้องรับผิดชอบต่อการบูชารูปเคารพ ‘ประชาชนนี้ทำอะไรแก่ท่านเล่า? ท่านจึงนำบาปใหญ่นี้มาสู่พวกเขา?’ (ข้อ 21) ในความเป็นจริงแล้วอาโรนเพียงแค่ทำตามความคิดเห็นส่วนใหญ่เป็นความคิดของประชาชน ซึ่งเขาได้นำไปสู่การปฏิบัติแต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าเขายังคงเป็นผู้นำ เขาควรจะยืนหยัดคัดค้านพวกเขา แทนที่จะปล่อยให้ตัวเองถูกชักจูงให้นำพวกเขาไปสู่ความบาป
อาโรนตอบว่า ‘ท่านก็รู้จักประชาชนพวกนี้แล้วว่า พวกเขาเอนเอียงไปในทางชั่ว... พวกเขาก็มอบทองคำให้ข้า แล้วข้าก็โยนลงไปในไฟ แล้วโคนี้ก็ออกมา!’ (ข้อ 22-24) เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลแต่มันง่ายที่จะบิดเบือนความจริงเล็กน้อยเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองถูกต้อง
บทความในวันนี้จะสามารถเข้าใจได้มากขึ้นด้วยการอธิบายของอัครทูตเปาโลในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ เขาได้เขียนว่า ‘เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจเราไม่ให้ปรารถนาสิ่งชั่วเหมือนเขาทั้งหลาย’ (1 โครินธ์ 10:6) พระคัมภีร์ตอนนี้เตือนเราถึง 4 สิ่งดังนี้
- การปล่อยตัวเอง (1 โครินธ์ 10:7, อพยพ 32:6)
- ความสำส่อน (1 โครินธ์ 10:8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
- การนมัสการตัวเอง (ข้อ 9)
- การบ่น (ข้อ 10)
การลงโทษที่รุนแรงที่ประชาชนของพระเจ้าต้องเผชิญเป็นเครื่องหมายแสดงว่าความบาปเหล่านี้ร้ายแรง และเป็นอันตรายเพียงใด ‘และได้เขียนไว้เพื่อเตือนสติเรา’ (ข้อ 11) นี่แสดงให้เราเห็นว่าพระเจ้าไม่ประสงค์ที่จะปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ เน่าเปื่อย
แต่อาจารย์เปาโลไม่ได้ทิ้งไว้แค่ตรงนั้น เขาบอกเราให้รู้ถึงวิธีการรับมือกับการล่อลวง ‘ไม่มีการทดสอบหรือการทดลองใด ๆ เกิดขึ้นกับท่านทั้งหลาย นอกเหนือการทดลองซึ่งเคยเกิดกับผู้อื่น สิ่งที่ท่านทั้งหลายต้องจำไว้คือพระเจ้าจะไม่ทรงทำให้พวกท่านผิดหวัง พระองค์จะไม่ทรงให้พวกท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ พระองค์จะทรงอยู่เพื่อช่วยให้ท่านผ่านพ้นไปได้’ (ข้อ 13, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำพูดสุดท้ายนี้เตือนเราถึงพระคุณมากมายของพระเจ้าที่มีต่อเราช่วยเหลือเราให้ผ่านการล่อลวง แม้ว่าเราจะล้มลงในการล่อลวงเหล่านี้เราก็สามารถได้รับการอภัยผ่านทางพระเยซู
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์สำหรับสิทธิพิเศษอันน่าอัศจรรย์นี้ที่ข้าพระองค์สามารถใช้เวลาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ ขอบพระคุณที่ข้าพระองค์สามารถฟังพระสุรเสียงของพระองค์และพระองค์ตรัสกับข้าพระองค์ ขอโปรดทรงช่วยข้าพระองค์ให้ระมัดระวังไม่ล้มลงในการล่อลวง ขอโปรดทรงให้ข้าพระองค์เดินในความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์ในแต่ละวัน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
อพยพ 31:1-33:6
ผู้คนสร้างปัญหาได้รวดเร็วเพียงใดเมื่อปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของตนเอง อาโรนน่าจะรู้ดีเพราะเขาเคยเป็นส่วนหนึ่งของการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่มากมาย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ถูกฝูงชนนำให้หลงไป มีเพียงโมเสสเท่านั้นที่ยังคงซื่อสัตย์ เขาไม่ได้ดำเนินไปตามฝูงชน ผู้นำอาจจะโดดเดี่ยว โมเสสเป็นผู้นำโดยแท้จริง
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)