วัน 54

วิธีฟังเสียงพระเจ้า

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 25:8-15
พันธสัญญาใหม่ มาระโก 7:1-30
พันธสัญญาเดิม อพยพ 33:7-34:35

เกริ่นนำ

เมื่อผมเห็นเขาเดินลงมาบนถนน ผมก็ข้ามถนนไปเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ผมได้พบกับเขาในสัปดาห์แรกของการเรียนในมหาวิทยาลัย เขามีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ผมได้เจอคนอื่นอีก 1-2 คนที่เหมือนกับเขาที่มีใบหน้ายิ้มแย้ม นั่นทำให้ผมเต็มไปด้วยความสงสัย!

สองสามเดือนต่อมา ผมได้รู้จักกับพระเยซูและตระหนักว่าใบหน้าของคนเหล่านี้แจ่มใสเพราะพวกเขาได้ใช้เวลากับพระเยซู ได้ยินเสียงตรัสของพระเจ้า เหมือนกับโมเสสเมื่อเขาลงมาจากภูเขาหลังจากได้ยินพระเจ้าตรัสกับเขา ใบหน้าของพวกเขา ‘ทอแสง’ (อพยพ 34:29,35)

พระเยซูตรัสว่า ‘มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’ (มัทธิว 4:4) เมื่อเราต้องการอาหารฝ่ายร่างกาย ดังนั้นเราก็ต้องการอาหารฝ่ายจิตวิญญาณด้วย อาหารฝ่ายจิตวิญญาณมาจากการได้ยินพระวจนะของพระเจ้า

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 25:8-15

8พระยาห์เวห์ประเสริฐและเที่ยงธรรม
 ดังนั้นจึงทรงสั่งสอนพระมรรคาแก่คนบาป
9พระองค์ทรงนำคนที่ถ่อมใจไปในสิ่งที่ถูก
 และทรงสอนพระมรรคาของพระองค์แก่คนที่ถ่อมใจ
10พระมรรคาทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์เป็นความรักมั่นคงและความสัตย์จริง
 แก่ผู้ที่รักษาพันธสัญญาและพระโอวาทของพระองค์
11ข้าแต่พระยาห์เวห์ เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์
 ขอทรงให้อภัยความชั่วของข้าพระองค์ เพราะมันใหญ่โตนัก
12ผู้ใดเล่าเป็นคนยำเกรงพระยาห์เวห์?
 พระองค์จะทรงสอนผู้นั้นในทางที่เขาควรเลือก
13เขาเองจะอยู่เย็นเป็นสุข
 และพงศ์พันธุ์ของเขาจะได้แผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์
14มิตรภาพมีอยู่แก่คนที่ยำเกรงพระองค์
 และพระองค์ทรงให้พวกเขารู้จักพันธสัญญาของพระองค์
15ดวงตาข้าพเจ้าจ้องตรงพระยาห์เวห์เสมอ
 เพราะพระองค์จะทรงถอนเท้าข้าพเจ้าออกจากข่าย

อรรถาธิบาย

ฟังเสียงการทรงนำของพระเจ้า

เมื่อเราพยายามจะฝืนเจตนาของเราเองหรือพยายามอย่างมากที่จะทำในสิ่งที่เราต้องการ จะมีความรู้สึกอึดอัดใจทางฝ่ายจิตวิญญาณ จอยซ์ ไมเยอร์ ใช้การเปรียบเทียบความอึดอัดใจนี้กับการใส่รองเท้าคู่ที่ไม่พอดี

เมื่อเราต้องใช้ชีวิตด้วยการนมัสการ และเชื่อฟัง และดำเนินตามพระมรรคาของพระเจ้า พระองค์ทรงสัญญาว่าเราจะ ‘สบายใจ’ (ข้อ 13, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ชีวิตจะเป็นไปโดยง่าย แต่เมื่อเราเริ่มดำเนินตามแผนการของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเรา ก็เหมือนกับว่าเราได้ เจอรองเท้าคู่ที่ใส่ได้พอดีอย่างสบาย

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ในพระธรรมสดุดีบทนี้ย้ำเตือนเราว่าพระเจ้าทรงนำเราอย่างไร พระองค์ ‘ทรงสั่งสอน’ (ข้อ 8,12) พระองค์ ‘ทรงนำ’ (ข้อ 9ก) พระองค์ ‘ทรงสอน’ (ข้อ 9ข) พระองค์ ‘ทรงไว้ใจ’ ในประชาชน ของพระองค์ (ข้อ 14)

1. คนที่พระองค์ทรงนำ

น่าประหลาดใจที่ดาวิดอธิบายว่าความดีของพระเจ้านำให้เขาอยากสอนแม้กระทั่งคนบาป ‘ดังนั้นจึงทรงสั่งสอนพระมรรคาแก่คนบาป’ (ข้อ 8) ถึงแม้ว่า ‘ความชั่ว’ ของดาวิดนั้นจะ ‘ใหญ่โต’ แต่เขารู้ว่าเขาสามารถ ได้รับการอภัยและทำให้ชอบธรรมโดยพระเจ้า (ข้อ 11)

ขอบคุณพระเจ้าที่คุณไม่ต้องสมบูรณ์แบบเพื่อที่จะได้ยินการทรงนำของพระเจ้า แต่คุณต้องมีทัศนคติของความถ่อมใจ ‘พระองค์ทรงนำคนที่ถ่อมใจไปในสิ่งที่ถูก และทรงสอนพระมรรคาของพระองค์แก่คนที่ถ่อมใจ’ (ข้อ 9) ‘มิตรภาพของพระเจ้ามีไว้สำหรับคนที่นมัสการพระเจ้า พวกเขาคือคนที่พระองค์ทรงไว้ใจ’ (ข้อ 14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

2. จุดประสงค์ของการทรงนำของพระองค์

คุณสามารถมั่นใจได้ว่าพระเจ้าจะขอให้คุณทำ ‘สิ่งที่ถูกต้อง’ เท่านั้น (ข้อ 8ก) การทดสอบว่าการทรงนำนั้นมาจากพระเจ้าหรือไม่คือการดูว่าสิ่งที่คุณถูกขอให้ทำนั้นเป็น ‘ความรักมั่นคงและความสัตย์จริง’ (ข้อ 10ก) หรือ ไม่ พระเจ้าจะไม่ขอให้คุณทำในสิ่งที่ไม่มีความรักหรือไม่มีความสัตย์จริงเพราะ ‘พระมรรคาทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์เป็นความรักมั่นคงและความสัตย์จริง’ (ข้อ 10ก)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อธิษฐานขอการทรงนำจากพระองค์ ที่พระองค์จะทรงสั่งสอนและไว้วางใจข้าพระองค์ในวันนี้

พันธสัญญาใหม่

มาระโก 7:1-30

คำสอนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ

 1พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์บางคนที่มาจากกรุงเยรูซาเล็มมาห้อมล้อมพระองค์ 2พวกเขาเห็นสาวกบางคนของพระองค์รับประทานอาหารด้วยมือที่เป็นมลทิน คือไม่ได้ล้างมือ 3(เพราะว่าพวกฟาริสีกับพวกยิวทุกคนถือตามคำสอนที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษว่า ถ้าไม่ได้ล้างมือตามพิธีโดยเคร่งครัดแล้ว จะไม่รับประทานอาหารเลย 4และเมื่อพวกเขามาจากตลาด ถ้าไม่ได้ทำการชำระล้างก่อน พวกเขาก็ไม่รับประทานอาหาร และยังมีธรรมเนียมอื่นๆ อีกหลายอย่างที่พวกเขายึดถือ คือการล้างถ้วย เหยือกและภาชนะทองสัมฤทธิ์) 5พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์จึงทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกสาวกของท่านไม่ประพฤติตามคำสอนที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่กลับรับประทานอาหารด้วยมือที่เป็นมลทิน?” 6พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า “อิสยาห์พยากรณ์ถึงพวกท่านคนหน้าซื่อใจคด ก็ถูกต้องแล้วตามที่เขียนไว้ว่า
‘ชนชาตินี้ให้เกียรติเราแต่ปาก
 ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรา
7 พวกเขานมัสการเราโดยเปล่าประโยชน์
 เพราะเอากฎเกณฑ์ของมนุษย์มาสอนว่าเป็นพระดำรัสสอน’

 8พวกท่านละทิ้งพระบัญญัติของพระเจ้า และกลับไปยึดถือถ้อยคำของมนุษย์ที่สอนต่อๆ กันมา”
 9พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “วิเศษจริงนะ ที่พวกท่านได้ละทิ้งพระบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะได้ยึดถือคำสอนที่รับมาจากบรรพบุรุษ 10เพราะโมเสสสั่งไว้ว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’ และ ‘ใครประณามบิดามารดาจะต้องมีโทษถึงตาย’ 11แต่พวกท่านกลับสอนว่า ‘ใครที่กล่าวกับบิดามารดาว่า “ของสิ่งใดของข้าพเจ้าที่อาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน สิ่งนั้นเป็นโกระบาน” ’ (แปลว่าเป็นของถวายแด่พระเจ้าแล้ว) 12พวกท่านจึงไม่อนุญาตให้คนนั้นเลี้ยงดูบิดามารดาของตนอีกต่อไป 13พวกท่านจึงทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นโมฆะด้วยคำสอนจากบรรพบุรุษที่พวกท่านรับและสอนต่อๆ กันมา และพวกท่านก็ทำสิ่งคล้ายๆ กันนี้อีกหลายสิ่ง”
14แล้วพระองค์ทรงเรียกฝูงชนมาอีก ตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่านทุกคนจงฟังเราและเข้าใจเถิด 15ไม่มีสิ่งใดภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์แล้วจะทำให้มนุษย์เป็นมลทินได้ แต่สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์นั่นแหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน” 16“ใครมีหูฟังได้ จงฟังเถิด” 17เมื่อพระองค์เสด็จพ้นจากฝูงชนเข้าไปในบ้านแล้ว พวกสาวกก็ทูลถามพระองค์ถึงคำเปรียบเทียบนั้น 18พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “แม้แต่พวกท่านก็ยังไม่เข้าใจหรือ? พวกท่านไม่เห็นหรือว่าไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์แล้วจะทำให้มนุษย์เป็นมลทิน 19เพราะว่าสิ่งนั้นไม่ได้เข้าไปในใจ แต่ลงไปในท้องแล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป” (เป็นการประกาศว่าอาหารทุกอย่างสะอาด) 20พระองค์ตรัสว่า “สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์นั่นแหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน 21เพราะว่าจากภายในมนุษย์หรือจากใจของมนุษย์นั่นแหละที่ความคิดชั่วร้ายเกิดขึ้นมา คือการล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน 22การเป็นชู้ การโลภ การอธรรม การล่อลวง ราคะตัณหา การอิจฉา การใส่ร้าย ความเย่อหยิ่ง ความเขลา 23สารพัดความชั่วเหล่านี้มาจากภายในและทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”

ความเชื่อของหญิงซีเรียฟีนิเซีย

 24พระองค์จึงเสด็จออกจากที่นั่นไปยังเขตแดนเมืองไทระและเมืองไซดอน แล้วเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งประสงค์จะไม่ให้ใครรู้ แต่พระองค์ไม่อาจหลบพ้นได้ 25เพราะผู้หญิงคนหนึ่งที่มีลูกสาวเล็กๆ ถูกผีโสโครกสิง ทันทีที่ได้ยินข่าวของพระองค์ก็มาเฝ้าและกราบลงที่พระบาท 26หญิงผู้นี้มีเชื้อชาติซีเรียฟีนิเซีย เป็นคนต่างศาสนา นางทูลอ้อนวอนขอให้พระองค์ขับผีออกจากลูกสาวของนาง 27พระเยซูตรัสกับนางว่า “ให้ลูกๆ กินกันอิ่มเสียก่อน เพราะว่าไม่สมควรที่จะเอาอาหารของลูกๆ โยนให้กับพวกสุนัข” 28แต่นางทูลตอบว่า “จริงเจ้าค่ะ แต่สุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะนั้นย่อมกินอาหารเหลือเดนของลูกๆ” 29แล้วพระองค์ตรัสกับนางว่า “เพราะถ้อยคำนี้ท่านจงกลับไปเถิด ผีออกจากตัวลูกสาวของท่านแล้ว” 30หญิงผู้นั้นเมื่อกลับไปยังบ้านของตน ก็พบว่าลูกนอนอยู่บนที่นอนและผีออกจากตัวแล้ว

อรรถาธิบาย

ฟังพระวจนะของพระเจ้า

พระเยซูตรัสว่าพระวจนะของพระเจ้ามีความสำคัญเหนือประเพณีทั้งสิ้นของเรา (ข้อ 8) ประเพณีไม่มีอะไรผิด ประเพณีสามารถมีความสำคัญและมีคุณค่ามาก ถึงกระนั้นประเพณีก็ไม่ควรมีความสำคัญเหนือพระวจนะของพระเจ้า พระเยซูทรงโจมตีพวกฟาริสีเพราะการใช้ประเพณีเพื่อหลีกเลี่ยงการเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า ‘พวกท่านได้ละทิ้งพระบัญญัติของพระเจ้า เพื่อที่ท่านจะไม่ลำบากในการทำตามแฟชั่นทางศาสนา’ (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ตัวอย่างเช่น บางครั้งการเลี้ยงดูพ่อแม่ที่แก่ชราอาจเป็นเรื่องลำบาก มันเป็นการล่อลวงให้หาข้อแก้ตัวว่าทำไมเราจึงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น พวกฟาริสีกล่าวว่ามันเป็นที่ยอมรับได้ถ้าคุณจะไม่สนับสนุนพ่อแม่ทางด้านการเงิน ถ้าคุณได้ให้เงินเป็นของขวัญแด่พระเจ้า (ข้อ 11) พระเยซูตรัสว่าการทำสิ่งนี้เป็นการไม่เชื่อฟัง คำสั่งที่ว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า' (ข้อ 10ก) ‘ดังนั้น’ พระองค์ตรัสว่า ‘พวกท่านจึงทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นโมฆะด้วยคำสอนจากบรรพบุรุษที่พวกท่านรับและสอนต่อ ๆ กันมา’ (ข้อ 13)

พวกฟาริสีถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยสิ่งที่พวกเขาทำกันแต่ภายนอก (ข้อ 1-5) มันค่อนข้างง่ายที่จะทำในสิ่งที่ถูกหรือพูดในสิ่งที่ถูก เราสามารถปฏิบัติตามกฎทั้งหมดของชุมชนแต่ใจของเราก็ยังห่างไกลจากพระเจ้า (ข้อ 6-8)

พระเจ้าไม่ได้สนใจรูปลักษณ์ภายนอกแต่สนใจภายในจิตใจ พระเยซูตรัสว่า ‘เพราะว่าจากภายในมนุษย์หรือจากใจของมนุษย์นั่นแหละที่ความคิดชั่วร้ายเกิดขึ้นมา คือการล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน การเป็นชู้ การโลภ การอธรรม การล่อลวง ราคะตัณหา การอิจฉา การใส่ร้าย ความเย่อหยิ่ง ความเขลา สารพัดความชั่วเหล่านี้มาจากภายในและทำให้มนุษย์เป็นมลทิน’ (ข้อ 21-23) สิ่งเหล่านี้เป็นมลพิษต่อชีวิตเราและทำลายความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า

พระเยซูตรัสว่า ‘จงฟังเรา’ (ข้อ 14) นี่เป็นหัวใจสำคัญของชีวิต คือการฟังพระเยซู

พระเยซูตรัสต่อไปเพื่อดึงเอาสิ่งที่อยู่ในใจของหญิงซีเรียฟีนิเซีย ดังที่จอห์น คาลวิน กล่าวว่า พระเยซูทรงตั้งใจที่จะ ‘ไม่ทำลายความเชื่อของหญิงนั้น’ ด้วยการแสดงออกที่เย็นชาของพระองค์ ‘แต่เพื่อที่จะกระตุ้นความปรารถนาของนาง และทำให้นางโกรธ’

พระเยซูเสด็จมาเพื่อชาวยิวก่อน จากนั้นก็เพื่อคนต่างชาติ (ข้อ 27-29 ดูใน อิสยาห์ 49:6 โรม 1:16) ความยิ่งใหญ่ของความเชื่อของหญิงนั้นแสดงให้เห็นถึงความจริงที่ว่าเธอไม่เพียงแต่จำได้ว่าพระองค์เป็นใคร และรู้ถึงสิทธิอำนาจที่เหนือมนุษย์ของพระองค์เท่านั้น แต่อย่างที่คาลวินได้กล่าวต่อไปคือ เธอ ‘ไล่ตามแนวทางของเธออย่างแน่วแน่ ฝ่าการต่อต้านที่น่ากลัว’ เธอเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมสำหรับเราในเรื่องของการไม่ดูถูกและความมุ่งมั่นในความเชื่อ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์สำหรับสิทธิอำนาจในพระวจนะของพระองค์ที่ท้าทายทัศนคติในหัวใจของข้าพระองค์ ขอโปรดทรงชำระหัวใจของข้าพระองค์ในวันนี้ และขอให้ข้าพระองค์มีความกระหาย ไม่ดูถูก และมุ่งมั่น ในความเชื่อ

พันธสัญญาเดิม

อพยพ 33:7-34:35

เต็นท์นัดพบ

 7โมเสสเคยตั้งเต็นท์หลังหนึ่งไว้ข้างนอกไกลจากค่าย และเรียกว่า เต็นท์นัดพบ ต่อมาทุกคนที่ปรารถนาจะเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์ ก็มักจะออกไปยังเต็นท์นัดพบซึ่งตั้งอยู่นอกค่าย 8และเมื่อไรที่โมเสสออกไปยังเต็นท์นั้น ประชาชนทุกคนก็จะลุกขึ้นยืนอยู่ที่ประตูเต็นท์ของตนมองดูโมเสส จนท่านเข้าไปในเต็นท์ 9เมื่อโมเสสเข้าไปในเต็นท์แล้ว เสาเมฆก็ลอยลงมาตั้งอยู่ที่ประตูเต็นท์ แล้วพระองค์ก็ตรัสกับโมเสส 10เมื่อไรที่ประชาชนทั้งหมดเห็นเสาเมฆนั้นตั้งอยู่ที่ประตูเต็นท์ พวกเขาก็จะลุกขึ้นและนมัสการอยู่ที่ประตูเต็นท์ของตน 11พระยาห์เวห์เคยตรัสกับโมเสสสองต่อสอง เหมือนมิตรสหายสนทนากัน แล้วโมเสสก็กลับไปยังค่าย แต่ผู้รับใช้หนุ่มของท่าน คือโยชูวาบุตรนูน ไม่ได้ออกไปจากเต็นท์

คำทูลวิงวอนของโมเสส

 12โมเสสกราบทูลพระยาห์เวห์ว่า “ดูสิ พระองค์ตรัสสั่งข้าพระองค์ว่า ‘จงนำประชากรนี้ขึ้นไป’ แต่พระองค์ไม่ได้ทรงแจ้งให้ข้าพระองค์ทราบว่า จะใช้ใครขึ้นไปกับข้าพระองค์ พระองค์เองยังตรัสว่า ‘เรารู้จักชื่อของเจ้า และเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของเราด้วย’ 13และบัดนี้ ถ้าข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์แล้ว ขอโปรดสำแดงพระมรรคาของพระองค์แก่ข้าพระองค์ แล้วข้าพระองค์จะรู้จักพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์ และขอทรงนับชนชาตินี้เป็นประชากรของพระองค์” 14พระองค์ตรัสว่า “เราเองจะไปกับเจ้า และให้เจ้าได้พัก” 15แล้วโมเสสจึงกราบทูลพระองค์ว่า “ถ้าพระองค์ไม่เสด็จไปกับข้าพระองค์ ก็ขออย่าทรงนำพวกข้าพระองค์ขึ้นไปจากที่นี่เลย 16ทำอย่างไรใครๆ จะทราบได้ว่า ข้าพระองค์และประชากรของพระองค์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์แล้ว นอกจากพระองค์จะเสด็จไปกับพวกข้าพระองค์ด้วยไม่ใช่หรือ? ดังนั้นข้าพระองค์และประชากรของพระองค์ จึงแตกต่างจากชนชาติอื่นๆ ทั่วโลก”
 17พระยาห์เวห์ตรัสตอบโมเสสว่า “สิ่งที่เจ้าขอนั้นเราจะทำให้ เพราะว่าเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของเราแล้ว และเรารู้จักชื่อของเจ้า” 18โมเสสจึงกราบทูลว่า “ขอทรงสำแดงพระสิริของพระองค์แก่ข้าพระองค์เถิด” 19พระองค์จึงตรัสตอบว่า “เราจะให้คุณความดีทั้งสิ้นของเราประจักษ์แจ้งต่อหน้าเจ้า และเราจะประกาศนามของยาห์เวห์ต่อหน้าเจ้า เราประสงค์จะโปรดปรานผู้ใดก็จะโปรดปรานผู้นั้น และเราประสงค์จะเมตตาผู้ใด เราก็จะเมตตาผู้นั้น” 20พระองค์จึงตรัสว่า “เจ้าจะเห็นหน้าของเราไม่ได้ เพราะมนุษย์เห็นหน้าเราแล้วจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้” 21พระยาห์เวห์ตรัสอีกว่า “ดูสิ มีที่แห่งหนึ่งอยู่ใกล้เรา เจ้าจงไปยืนอยู่บนศิลานั้น 22แล้วขณะเมื่อพระสิริของเรากำลังผ่านไป เราจะซ่อนเจ้าไว้ในซอกหิน และจะบังเจ้าไว้ด้วยมือเราจนกว่าเราจะผ่านไป 23เมื่อเราเอามือของเราออกแล้ว เจ้าจะเห็นหลังของเรา แต่หน้าของเราเจ้าจะไม่ได้เห็น”

อพยพ 34

แผ่นศิลาชุดที่สอง

 1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงสกัดศิลาสองแผ่นให้เหมือนอย่างเดิม แล้วเราจะจารึกบนศิลานั้นด้วยถ้อยคำที่อยู่ในศิลาชุดเดิมที่เจ้าทำแตก 2จงเตรียมให้พร้อมในเวลาเช้า แล้วจงขึ้นภูเขาซีนายแต่เช้า จงเข้าเฝ้าเราที่นั่นบนยอดเขานั้น 3อย่าให้ผู้ใดขึ้นมากับเจ้า และอย่าให้เห็นผู้ใดทั่วบริเวณภูเขา อย่าให้ฝูงแพะแกะ ฝูงโคกินหญ้าอยู่หน้าภูเขานี้เลย” 4ดังนั้นโมเสสจึงสกัดศิลาสองแผ่นเหมือนชุดแรก แล้วท่านตื่นแต่เช้า ขึ้นไปบนภูเขาซีนายตามรับสั่งของพระยาห์เวห์ พร้อมกับศิลาสองแผ่น 5พระยาห์เวห์เสด็จลงมาในเมฆและทรงยืนอยู่กับท่านที่นั่น และทรงประกาศพระนามของพระยาห์เวห์ เสด็จมาในเมฆและโมเสสยืนอยู่กับพระองค์ที่นั่นและออกพระนามพระยาห์เวห์ 6แล้วพระยาห์เวห์เสด็จผ่านไปข้างหน้าท่าน ตรัสว่า “พระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ เป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระกรุณาและพระคุณ พระองค์กริ้วช้า ทรงบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์จริง 7ผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงจนถึงพันๆ ชั่วอายุคน ผู้ประทานอภัยการล่วงละเมิด การทรยศและบาป แต่จะไม่ทรงละเว้นการลงโทษอย่างแน่นอน และทรงให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน” 8โมเสสจึงรีบกราบลงถึงดินนมัสการ 9แล้วกราบทูลว่า “องค์เจ้านาย ถ้าข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์ ก็ขอพระองค์โปรดเสด็จไปกับพวกข้าพระองค์แม้ว่าประชากรนั้นหัวแข็ง และขอประทานอภัยการล่วงละเมิดและบาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย และขอทรงรับพวกข้าพระองค์เป็นมรดกของพระองค์ด้วย”

การรื้อฟื้นพันธสัญญา

 10แล้วพระองค์ตรัสว่า “นี่แน่ะ เราจะทำพันธสัญญากับเจ้า เราจะทำการอัศจรรย์ต่อหน้าประชากรทั้งสิ้นของเจ้า ซึ่งไม่เคยมีใครทำในทั่วพิภพและในประชาชาติทั้งสิ้น ประชาชนทั้งหมดซึ่งเจ้าอยู่ท่ามกลางเขานั้น จะได้เห็นราชกิจของพระยาห์เวห์ เพราะสิ่งที่เราจะทำต่อเจ้านั้นจะเป็นสิ่งที่น่าเกรงขาม
 11“จงรักษาคำบัญชาที่เราให้เจ้าในวันนี้ ดูเถิด เราจะไล่คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ไปให้พ้นหน้าเจ้า 12จงระวังตัวให้ดี เกรงว่าเจ้าจะทำพันธสัญญากับผู้ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นซึ่งเจ้าจะไปถึง ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นบ่วงแร้วดักเจ้า 13แต่เจ้าทั้งหลายจงทำลายแท่นบูชาและทุบเสาศักดิ์สิทธิ์ของเขาให้แหลกละเอียด และโค่นบรรดาเสาอาเช-ราห์สิ่งเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ อาจจะเป็นเสาไม้แกะสลัก หรือรูปเคารพเจ้าแม่ของเขาเสีย 14(ห้ามนมัสการพระอื่น เพราะพระยาห์เวห์ผู้มีพระนามว่า “หวงแหน” เป็นพระเจ้าผู้ทรงหวงแหน) 15เกรงว่าเจ้าจะทำพันธสัญญากับผู้ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น และเมื่อพวกเขาเล่นชู้กับพระของตน และถวายสัตวบูชาแก่พระของตนนั้น เขาจะเชิญเจ้าไปร่วมด้วย และเจ้าจะกินของที่เขาถวายบูชานั้น 16เกรงว่าเจ้าจะรับบุตรหญิงของพวกเขามาเป็นภรรยาบุตรชายของเจ้า และบุตรหญิงของเขานั้นจะไปเล่นชู้กับพระของตน และชักชวนให้บุตรชายของเจ้าไปเล่นชู้กับพระเหล่านั้นด้วย
 17“ห้ามหล่อรูปพระไว้สำหรับตัวเอง
 18“เจ้าจงถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ จงกินขนมปังไร้เชื้อเจ็ดวันตามกำหนดในเดือนอาบีบตามที่เราบัญชาเจ้า เพราะเจ้าออกจากอียิปต์ในเดือนอาบีบ 19ทุกสิ่งซึ่งออกจากครรภ์ครั้งแรกเป็นของเรา คือฝูงปศุสัตว์ตัวผู้ทั้งหมดของเจ้า ลูกหัวปีของโคและของแกะ 20ส่วนลูกลาหัวปีนั้น เจ้าจงนำลูกแกะมาไถ่ไว้ ถ้าเจ้าไม่ได้ไถ่ ก็จงหักคอมันเสีย บุตรหัวปีทั้งหมดของเจ้านั้นจะต้องไถ่ไว้ด้วย ห้ามผู้ใดมาเข้าเฝ้าเรามือเปล่า
 21“เจ้าจงทำงานหกวัน แต่วันที่เจ็ดจงหยุดพัก แม้แต่ในฤดูไถนาและฤดูเกี่ยวข้าวก็จงหยุดพัก 22จงถือเทศกาลสัปดาห์ด้วยพืชผลแรกของการเก็บเกี่ยวข้าวสาลี และถือเทศกาลเก็บผลิตผลในปลายปี 23ให้ผู้ชายทุกคนของเจ้าเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์องค์เจ้านาย พระเจ้าแห่งอิสราเอลปีละสามครั้ง 24เพราะเราจะขับไล่ชนชาติทั้งหลายออกไปให้พ้นหน้าเจ้า และจะขยายเขตแดนของเจ้าให้กว้างออกไป เมื่อเจ้าจะขึ้นไปเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าปีละสามครั้งนั้น จะไม่มีใครอยากได้แผ่นดินของเจ้าเลย
 25“ห้ามถวายเลือดจากเครื่องสัตวบูชาของเรา พร้อมกับขนมปังใส่เชื้อ และห้ามเหลือเครื่องสัตวบูชาในเทศกาลปัสกาไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น 26จงนำพืชผลแรกที่ดีที่สุดจากผืนดินของเจ้ามาถวายยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าฉธบ.26:2 อย่าต้มเนื้อลูกแพะด้วยน้ำนมแม่ของมันเลย” 27พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงเขียนคำเหล่านี้ไว้ เพราะเราทำพันธสัญญาไว้กับเจ้าและกับพวกอิสราเอลตามคำเหล่านี้แล้ว” 28โมเสสเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์อยู่ที่นั่นสี่สิบวันสี่สิบคืน ท่านไม่ได้รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำเลย ท่านจารึกถ้อยคำแห่งพันธสัญญาไว้บนแผ่นศิลา คือพระบัญญัติสิบประการ

ใบหน้าของโมเสสทอแสง

 29ต่อมาโมเสสลงมาจากภูเขาซีนาย มีแผ่นพระโอวาทสองแผ่นในมือของท่านด้วยขณะที่ลงมาจากภูเขานั้น โมเสสก็ไม่ทราบว่าผิวหน้าของตนทอแสงเนื่องจากท่านได้สนทนากับพระเจ้า 30เมื่ออาโรนและคนอิสราเอลทั้งหมดมองดูโมเสส ก็เห็นว่าผิวหน้าของท่านทอแสง และพวกเขาก็กลัวไม่กล้าเข้ามาใกล้ท่าน 31โมเสสจึงเรียกพวกเขามา แล้วอาโรนกับพวกผู้นำทั้งหมดของชุมนุมชนก็กลับมาหาท่าน และโมเสสได้กล่าวกับพวกเขา 32หลังจากคนอิสราเอลทั้งสิ้นเข้ามาใกล้ โมเสสก็ให้บัญญัติแก่เขาทั้งหลายตามที่พระยาห์เวห์ตรัสกับท่านทุกข้อบนภูเขาซีนาย 33เมื่อท่านพูดจบแล้ว ก็ใช้ผ้าคลุมหน้าไว้ 34แต่เมื่อไรที่โมเสสเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์เพื่อกราบทูลพระองค์ ท่านก็ปลดผ้านั้นออก จนกว่าจะกลับออกมา เมื่อท่านออกมาก็เล่าให้คนอิสราเอลฟังถึงสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาท่าน 35และคนอิสราเอลดูหน้าของโมเสส ก็เห็นผิวหน้าของโมเสสทอแสง ดังนั้นโมเสสจึงใช้ผ้าคลุมหน้าอีก จนกว่าจะเข้าไปทูลพระองค์

อรรถาธิบาย

ฟังแผนการของพระเจ้า

คุณสามารถเป็นสหายกับพระเจ้าได้ พระเยซูถือว่าผู้ที่ติดตามพระองค์เป็นสหายของพระองค์ (ยอห์น 15:15) โมเสสเป็นสหายของพระเจ้า ถ้าสิ่งนี้เคยเป็นไปได้สำหรับโมเสสแล้ว ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่จึงบอกกับเราว่าบัดนี้มันก็เป็นไปได้สำหรับคุณด้วย

พระเจ้าเปิดเผยแผนการของพระองค์แก่โมเสส โมเสสมีความสัมพันธ์พิเศษกับพระเจ้า เขาจะเข้าไปในเต็นท์ นัดพบเพื่อทูลถามพระเจ้า เสาเมฆลอยลงมา ‘แล้วพระยาห์เวห์ก็ตรัสกับโมเสส’ (อพยพ 33:9) ‘พระยาห์เวห์ เคยตรัสกับโมเสสสองต่อสองเหมือนมิตรสหายสนทนากัน’ (ข้อ 11ก) สิ่งนี้อธิบายถึงความใกล้ชิดของพระเจ้ากับโมเสส และความรวดเร็วในการได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ โมเสสอธิษฐานว่า ‘ขอโปรดให้ข้าพระองค์ได้ อยู่ในแผนการของพระองค์’ (ข้อ 13, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครสามารถเห็นตัวตนพระองค์ได้แบบซึ่ง ๆ หน้า (ข้อ 20) การปรากฏตัวของพระเจ้านั้นทรง พระสิริและบริสุทธิ์มากซึ่งไม่มีใครสามารถเห็นพระองค์ซึ่งหน้าและจะมีชีวิตอยู่ได้ เป็นการเปรียบเทียบแสดงถึงการติดต่อและการมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิด นี่คือสิ่งที่เราต้องการในทุก ๆ วัน คือการได้ยินพระเจ้าตรัสกับเรา ‘สองต่อสอง’ และเติบโตในความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า

สิ่งที่โมเสสต้องการมากกว่าสิ่งอื่นใดคือ ‘การประทับอยู่ของพระเจ้า’ นี่คือสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องการเป็นอย่างมากในชีวิตของเรา คือการประทับอยู่และสันติสุขของพระองค์ พระเจ้าทรงสัญญากับเขาว่า ‘เราเอง จะไปกับเจ้า และให้เจ้าได้พัก’ (ข้อ 14) นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญากับคุณด้วยเช่นกัน

โมเสสกล่าวว่า ‘ถ้าพระองค์ไม่เสด็จไปกับข้าพระองค์ ก็ขออย่าทรงนำพวกข้าพระองค์ขึ้นไปจากที่นี่เลย’ (ข้อ 15) การประทับอยู่ของพระเจ้าเป็นการจำแนกประชาชนของพระเจ้าออกจากคนอื่น ๆ (ข้อ 16ข) สิ่งนี้คือสิ่งที่เหนือสิ่งอื่นใดที่ทำให้คุณแตกต่างจากคนอื่นที่อยู่รอบตัวคุณ

เมื่อโมเสสใช้เวลาในที่ประทับของพระเจ้า ‘ผิวหน้าของเขาทอแสงเนื่องจากท่านได้สนทนากับพระเจ้า’ (34:29) นี่คือเบื้องหลังของคำพูดที่มีจุดประสงค์พิเศษของอาจารย์เปาโลใน 2 โครินธ์ 3 ท่านกล่าวว่าเราสามารถเพลิดเพลินกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่โมเสสได้พบเจอมา

‘อันที่จริงรัศมีที่เคยมีนั้นก็อับแสงไปแล้ว ในกรณีนี้เป็นเพราะมีรัศมีที่ยิ่งใหญ่กว่า เพราะว่าถ้าสิ่งที่จางหายไปยัง มาด้วยรัศมี สิ่งที่ยั่งยืนก็จะยิ่งมาด้วยรัศมีมากกว่านั้นหลายเท่านัก!’ (2 โครินธ์ 3:10-11)

คุณอาจจะกล้าหาญกว่าโมเสส ‘ที่เอาผ้าคลุมไว้บนใบหน้า เพื่อไม่ให้ชนอิสราเอลเพ่งดูการสิ้นสุดของรัศมีที่ค่อย ๆ จางหายไปนั้น’ (ข้อ 13) อาจารย์เปาโลเขียนไว้ว่า ‘แต่ถ้าใครหันมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ผ้าคลุมนั้นก็จะถูกเปิดออก องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น แต่เราทุกคนไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว และมองดูพระรัศมีขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป เหมือนอย่างศักดิ์ศรีที่ มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ’ (ข้อ 16-18)

เป็นสิทธิพิเศษที่ได้มีส่วนร่วมในพันธกิจของพระวิญญาณในทุก ๆ อัลฟ่าสุดสัปดาห์ เราเฝ้าดูผู้คนมีประสบการณ์กับการประทับอยู่ของพระเจ้าและได้รับการเติมเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมมักสังเกตเห็นความแจ่มใสบนใบหน้าของผู้คนในช่วงสุดสัปดาห์ แต่สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นประสบการณ์เพียงครั้งเดียว แล้วก็จางหายไปเหมือนรัศมีของโมเสส

คุณสามารถสัมผัสกับ ‘การทรงสถิตของพระเจ้า’ ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ‘ชีวิตของเราค่อย ๆ สดใสขึ้น และงดงามมากขึ้นเมื่อพระเจ้าเข้ามาในชีวิตของเราและเราเปลี่ยนแปลงไปเป็นเหมือนพระองค์’ (ข้อ 18, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงสัญญาว่า ‘เราเองจะไปกับเจ้า และให้เจ้าได้พัก’ (อพยพ 33:14) ขอโปรดทรงช่วยให้ข้าพระองค์ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ ได้พูดกับพระองค์ตัวต่อตัวเสมือนสหาย ให้สะท้อนพระสิริของพระองค์และเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์ด้วยสง่าราศีที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

เพิ่มเติมโดยพิพพา

อพยพ 33:7-34:35

ช่างเป็นการฝึกฝนที่พิเศษสำหรับโยชูวา เขามีสิทธิพิเศษที่ได้เรียนจากโมเสส บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องหาแบบอย่างคริสเตียนที่ดีซึ่งคุณสามารถเรียนรู้ได้จากเขา และพวกเขาสามารถช่วยเหลือและหนุนใจคุณบนเส้นทางของความเชื่อ

reader

App

Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม