วิธีดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
เกริ่นนำ
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการใช้ผลิตภัณฑ์จากยาสูบ
- ออกกำลังกายทุกวัน
- กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
- ควบคุมน้ำหนัก
- รักษาระดับความดันโลหิต
- ควบคุมระดับคอเลสเตอรอลของคุณ
- รักษาระดับน้ำตาลในเลือด
ตามที่สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association) ระบุไว้ว่านี่คือ 7 สิ่งที่คุณควรทำเพื่อให้หัวใจแข็งแรง
หัวใจของมนุษย์เรามีน้ำหนักน้อยกว่าหนึ่งปอนด์ (450 กรัม) อัตราการเต้น 100,000 ครั้งต่อวันและมากกว่า 2.5 พันล้านครั้งในช่วงอายุการใช้งานเฉลี่ย ระบบหลอดเลือดของคุณไม่ว่าจะเป็นหลอดเลือดแดง เส้นเลือดและเส้นเลือดฝอย มีความยาวมากกว่า 60,000 ไมล์ เพียงพอที่จะเดินทางไปทั่วโลกได้มากกว่าสองครั้ง
นี่ไม่ใช่แค่ภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจเท่านั้น มันคือ ‘หัวใจ’ ของมนุษย์ หากไม่มีหัวใจของคุณ ร่างกายของคุณจะหยุดทำงานอย่างรวดเร็ว โรคหัวใจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของโลกตะวันตก
พระเยซูตรัสมากมายเกี่ยวกับจิตใจ จิตใจเป็นคำอุปมาถึงชีวิตภายใน คำที่พระเยซูใช้หมายถึงชีวิตทางกายภาพ จิตวิญญาณและจิตใจ หัวใจเป็นศูนย์กลางและแหล่งที่มาของชีวิตภายในทั้งหมดทั้งความคิด ความรู้สึกและความเต็มใจ
พระเจ้าทรงห่วงใยจิตใจของคุณเป็นหลัก พระองค์ทรงอยากให้คุณมีจิตใจที่แข็งแรง พระองค์ทรงตรัสกับซามูเอลว่า ‘พระยาห์เวห์ไม่ได้ทอดพระเนตรเหมือนที่มนุษย์ดู เพราะมนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระยาห์เวห์ทอดพระเนตรจิตใจ’ (1 ซามูเอล 16:7)
สิ่งที่สำคัญกว่าหัวใจทางกายภาพที่แข็งแรงก็คือสภาพจิตใจฝ่ายวิญญาณของคุณ บทความสำหรับวันนี้เราจะเห็นวิธีสำคัญ 5 ประการที่จะทำให้หัวใจฝ่ายวิญญาณของคุณแข็งแรง
สุภาษิต 6:20-29
20ลูกเอ๋ย จงเฝ้ารักษาบัญญัติของพ่อเจ้า
และอย่าละทิ้งคำสอนของแม่เจ้า
21จงพันมันไว้ที่ใจของเจ้าเสมอ
จงผูกมันไว้รอบคอของเจ้า
22เมื่อเจ้าเดิน มันจะนำเจ้า
เมื่อเจ้านอน มันจะเฝ้าเจ้า
และเมื่อเจ้าตื่น มันจะพูดกับเจ้า
23เพราะบัญญัติเป็นประทีป และคำสอนเป็นแสงสว่าง
และคำตักเตือนเพื่อการสั่งสอนเป็นทางแห่งชีวิต
24เพื่อปกป้องเจ้าไว้จากหญิงชั่ว
จากลิ้นพะเน้าพะนอของหญิงสำส่อน
25อย่าให้ใจของเจ้าปรารถนาความงามของนาง
อย่าให้นางจับเจ้าด้วยตาเจ้าชู้ของนาง
26เพราะจะจ้างหญิงโสเภณีด้วยขนมปังก้อนเดียวก็ยังได้
แต่หญิงเล่นชู้ล่าชีวิตอันมีค่าของชาย
27คนเราจะหอบไฟไว้ที่อกของตน
โดยมิให้เสื้อผ้าไหม้ได้หรือ?
28หรือคนเราจะเดินบนถ่านที่ลุกโพลง
โดยมิให้เท้าถูกไฟลวกได้หรือ?
29บุคคลผู้เข้าหาภรรยาของเพื่อนบ้านก็เป็นอย่างนั้นแหละ
ไม่มีใครที่แตะต้องนางแล้วจะไม่ถูกลงโทษ
อรรถาธิบาย
1. จงระแวดระวังใจของคุณ
พระเยซูทรงสอนว่าการล่วงประเวณีเริ่มต้นที่ใจ พระองค์ตรัสดังนี้ ‘ส่วนเราบอกพวกท่านว่า ใครมองผู้หญิงด้วยใจกำหนัดในหญิงนั้น คนนั้นได้ล่วงประเวณีในใจของเขากับหญิงนั้นแล้ว’ (มัทธิว 5:28) คำสอนของพระองค์ได้ย้อนกลับไปที่พระธรรมสุภาษิตที่ผู้เขียนเน้นถึงความสำคัญของใจ ‘อย่าให้ใจของเจ้า ปรารถนา...’ (สุภาษิต 6:25)
พระองค์ทรงเตือนถึงอันตรายที่น่ากลัวของการล่วงประเวณี เรากำลังเผชิญกับบางสิ่งที่ทรงพลังมากเหมือนไฟที่ปะทุในที่ของมัน (เช่นเดียวกับไฟในเตาผิง) การมีเพศสัมพันธ์ในชีวิตสมรสเป็นแหล่งแห่งพระพรที่ยิ่งใหญ่ แต่อย่างไรก็ตาม หากคุณปล่อยให้ความปรารถนาทางเพศของคุณไปในทิศทางที่ผิด มันก็เหมือนไฟที่เผาผลาญบนตักของคุณ ‘คนเราจะหอบไฟไว้ที่อกของตน โดยมิให้เสื้อผ้าไหม้ได้หรือ? หรือคนเราจะเดินบนถ่านที่ลุกโพลง โดยมิให้เท้าถูกไฟลวกได้หรือ? บุคคลผู้เข้าหาภรรยาของเพื่อนบ้านก็เป็นอย่างนั้นแหละ’ (ข้อ 27–29ก)
การล่วงประเวณีไม่ได้เกิดขึ้นจากที่ไหนเลย แต่การไม่สัตย์ซื่อเริ่มต้นที่ใจ นี่คือที่ที่เราต้องบริหารวินัยในตนเอง ให้เราใช้ถ้อยคำแห่งปัญญาเหล่านี้และ ‘จงพันมันไว้ที่ใจของเจ้าเสมอ’ (ข้อ 21)
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงช่วยข้าพระองค์ให้ถ้อยคำของพระองค์พันผูกไว้ในใจของข้าพระองค์เสมอ เมื่อข้าพระองค์เดินขอให้พระคำนำทางข้าพระองค์ เมื่อข้าพระองค์นอนหลับขอให้พระคำยังคงดูแลข้าพระองค์ เมื่อข้าพระองค์ตื่นขอทรงประทานถ้อยคำกับข้าพระองค์ ขอให้ถ้อยคำของพระองค์เป็นเหมือนตะเกียง และแสงสว่างที่คอยนำทางชีวิตให้กับข้าพระองค์ ขอโปรดทรงปกป้องรักษาหัวใจของข้าพระองค์ด้วย
มาระโก 12:28-44
พระบัญญัติข้อที่สำคัญที่สุด
28มีธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาใกล้ เมื่อได้ยินพวกเขาถกเถียงกัน และเห็นว่าพระองค์ทรงตอบพวกเขาได้ดีจึงทูลถามพระองค์ว่า “พระบัญญัติข้อไหนสำคัญที่สุด?” 29พระเยซูจึงตรัสตอบคนนั้นว่า “พระบัญญัติอันดับแรกคือ โอ ชนอิสราเอล จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเป็นพระเจ้าองค์เดียว 30พวกท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจของท่าน ด้วยสุดจิตของท่าน ด้วยสุดความคิดของท่านและด้วยสุดกำลังของท่าน31ส่วนพระบัญญัติที่สำคัญอันดับสองคือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ไม่มีพระบัญญัติอื่นใดที่สำคัญยิ่งกว่าพระบัญญัติเหล่านี้” 32ธรรมาจารย์คนนั้นจึงทูลว่า “จริงทีเดียวท่านอาจารย์ ท่านกล่าวถูกต้อง ที่ว่า พระเจ้ามีแต่องค์เดียว นอกจากพระองค์แล้ว ไม่มีพระเจ้าอื่นอีกเลย 33และการที่จะรักพระองค์ด้วยสุดใจ สุดความเข้าใจ และสุดกำลัง และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ก็สำคัญกว่าเครื่องเผาบูชาและของถวายทั้งสิ้น” 34เมื่อพระเยซูทรงเห็นว่าคนนั้นตอบสนองอย่างมีปัญญา จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านไม่ไกลจากแผ่นดินของพระเจ้า” ตั้งแต่นั้นมาไม่มีใครกล้าถามพระองค์อีก
คำถามเรื่องเชื้อสายของดาวิด
35ขณะที่พระเยซูทรงสั่งสอนอยู่ในบริเวณพระวิหาร พระองค์ตรัสถามว่า “ที่พวกธรรมาจารย์ว่าพระคริสต์เป็นเชื้อสายของดาวิดนั้นเป็นไปได้อย่างไร? 36เพราะว่าดาวิดเองกล่าวโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า
‘พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า
“จงนั่งที่ขวามือของเรา
จนกว่าเราจะปราบศัตรูของท่านให้อยู่ใต้เท้าท่าน”’
37ดาวิดยังเรียกท่านว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วท่านจะเป็นเพียงเชื้อสายของดาวิดได้อย่างไร?” มหาชนต่างฟังพระองค์ด้วยความยินดี
การทรงประณามพวกธรรมาจารย์
38ขณะที่พระเยซูทรงสั่งสอน พระองค์ตรัสว่า “จงระวังพวกธรรมาจารย์ให้ดี พวกที่ชอบสวมเสื้อคลุมยาวเดินไปเดินมา ชอบให้คนคำนับกลางตลาด 39ชอบนั่งในที่สำคัญในธรรมศาลาและชอบนั่งในที่มีเกียรติในงานเลี้ยง 40พวกเขายึดบ้านของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว คนพวกนี้จะต้องถูกลงโทษหนักยิ่งขึ้น”
เงินถวายของหญิงม่าย
41พระเยซูประทับตรงหน้าตู้เก็บเงินถวาย ทรงสังเกตฝูงชนเอาเงินมาใส่ไว้ในตู้นั้น และมีคนมั่งมีหลายคนเอาเงินมากมายมาใส่ 42แต่มีหญิงม่ายยากจนคนหนึ่งเดินมา นางเอาเหรียญทองแดงสองอัน มีค่าประมาณโคดรันเทสหนึ่งมาใส่ไว้ 43พระองค์จึงทรงเรียกพวกสาวกมาตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า หญิงม่ายยากจนคนนี้ใส่ในตู้เก็บเงินถวายมากกว่าทุกคนที่ใส่ไว้นั้น 44เพราะว่าทุกคนได้เอาเงินเหลือใช้ของพวกเขามาใส่ แต่หญิงคนนี้ในสภาพที่ยากจน เอาเงินเลี้ยงชีพทั้งสิ้นของนางใส่ลงไปจนหมด”
อรรถาธิบาย
2. รักพระเยซูด้วยสุดใจ
มาระโก 12:28–37
มีบางอย่างที่น่าอิ่มเอมเปรมปรีดิ์เกี่ยวกับคำสอนของพระเยซู ‘มหาชนต่างฟังพระองค์ด้วยความยินดี’ (ข้อ 37ข) ถ้าผมถูกขอให้สรุปคำสอนนี้ในหนึ่งคำผมจะใช้คำว่า ‘รัก’
เมื่อธรรมาจารย์ถามพระเยซูว่าพระบัญญัติข้อใดสำคัญที่สุดพระองค์ตรัสตอบว่า ‘“พวกท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจของท่าน ด้วยสุดจิต ด้วยสุดความคิดและด้วยสุดกำลังของท่าน” ส่วนพระบัญญัติที่สำคัญอันดับสองคือ “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”’ (ข้อ 30–31) ศูนย์กลางข้อความของพระเยซูคือความสัมพันธภาพในความรักกับพระเจ้าของเราซึ่งเริ่มต้นจากหัวใจของคุณและไหลล้นไปสู่ความรักที่มีต่อผู้อื่น
‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ คือใคร? มีคำถามซ้อนคำถามของพระเยซูนั่นคือ ‘ชายคนนี้คิดว่าเขาเป็นใคร?’ ในลานพระวิหารพระเยซูทรงพลิกสถานการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยการท้าทายข้อสันนิษฐานของพวกธรรมาจารย์เกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ที่กำลังจะมาถึง (‘พระคริสต์’ ข้อ 35)
พระองค์ทรงถามคำถามที่อ้างถึงพระธรรมสดุดี 110 พระองค์ทรงท้าทายแนวคิดที่ว่าพระคริสต์เป็นเชื้อสายของดาวิด พระองค์ไม่ทรงเป็นเพียงเชื้อสายของดาวิดเท่านั้น แต่พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของดาวิดด้วย (มาระโก 12:35–37ก)
ตอนนี้เรารู้แล้วว่าพระเยซูคือ ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ พระบัญญัติให้รักพระเจ้าด้วยสุดใจของคุณคือคำสั่งให้รักพระเยซูด้วยสุดใจของคุณเช่นกัน จงให้สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งในชีวิตของคุณ
พระเยซูทรงสนพระทัยไม่เฉพาะตัวบทกฎหมาย แต่ทรงสนพระทัยไปยังจิตวิญญาณของธรรมบัญญัติ พระองค์ไม่ได้ให้ความสนใจกับลักษณะภายนอกแต่เป็นท่าทีภายในใจ
3. จดจ่อที่ใจของคุณ
มาระโก 12:38–40
เมื่อพูดถึงตัวเองผมพบว่าความหน้าซื่อใจคดมักเป็นอันตรายในชีวิตของผม ถือเป็นการทดลองในการกังวลเกี่ยวกับตำแหน่ง หน้าที่ แผนงาน ยศถาบรรดาศักดิ์และเกียรติยศ และเราจำเป็นต้องระมัดวังการอธิษฐานด้วยคำอธิษฐานที่ถูกใจมากกว่าคำอธิษฐานที่จริงใจ
พระเยซูทรงประณามเหล่าผู้นำในสมัยของพระองค์ เพราะจิตใจของพวกเขาไม่ถูกต้อง พวกเขากังวลเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกมากกว่าท่าทีภายในใจของตัวเอง พระองค์ตรัสว่า ‘พวกเขาชอบที่จะเดินไปรอบ ๆ บริเวณพระวิหารในชุดเสื้อคลุมยาวกรุยกราย ชอบให้คนเยินยอในธรรมศาลา ชอบนั่งในที่โดดเด่น นั่งอยู่หัวโต๊ะในทุกตำแหน่งของคริสตจักร และพวกเขาใช้ประโยชน์จากผู้ที่อ่อนแอและสิ้นหวังตลอดเวลา ยิ่งอธิษฐานยืดยาวเท่า ไหร่ก็ยิ่งทำให้แย่ลง’ (ข้อ 38–40, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ทุกสิ่งที่กล่าวถึงบ่งบอกได้ถึงความรักในความนับหน้าถือตาและการได้รับเกียรติจากบุคคลอื่น แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้กังวลเกี่ยวกับสถานะและการ ‘แสร้ง’ ทำ (ข้อ 40) แต่พระองค์ทรงเป็นห่วงจิตใจของเรา
4. ถวายด้วยใจ
มาระโก 12:41–44
พระเยซูทรงไม่ได้สนพระทัยขนาดกระเป๋าสตางค์ของคุณ พระองค์ทรงสนพระทัยขนาดหัวใจของคุณ
พระเยซูทรงท้าทายความเชื่อตามธรรมเนียมเดิม ๆ ที่ว่าของถวายชิ้นใหญ่มีค่าต่อพระเจ้ามากกว่าชิ้นเล็ก ๆ พระองค์หนุนใจเราว่าไม่ใช่แค่คนมั่งมีเท่านั้นที่สามารถทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยผ่านการถวายของพวกเขาได้ แต่คนยากจนก็ทำได้เช่นกัน พระองค์ทรงท้าทายเหล่าคนร่ำรวยว่าแค่ถวายจำนวนเงินก้อนใหญ่ที่มากกว่าคนยากจนอย่างเดียวไม่พอ แต่พระเยซูทรงมองหาจิตใจที่กว้างขวางและเสียสละ
สิ่งที่เราถวายและวิธีการที่เราถวายนั้นสะท้อนถึงหัวใจของเรา จริง ๆ แล้วพระเยซูไม่ได้ตำหนิคนร่ำรวยที่ทุ่มเงินจำนวนมากซะทีเดียว แต่พระองค์ทรงตรัสว่าหญิงม่ายผู้ยากจนที่ถวาย ‘เหรียญทองแดงสองอัน มีค่าประมาณโคดรันเทสหนึ่ง’ (ข้อ 42) ได้ถวายมากกว่าคนอื่น ๆ ทั้งหมด
###พระเยซูทรงมองเห็นหัวใจของเธอและความจริงที่ว่า ‘หญิงม่ายยากจนคนนี้ถวาย [เครื่องบูชา] มากกว่าที่คนอื่น ๆ ถวายรวมกันทั้งหมด คนอื่น ๆ ถวายในสิ่งที่พวกเขาเหลือใช้ แต่เธอนำเงินเลี้ยงชีพของเธอที่เธอหาได้ เธอถวาย ไปทั้งหมด’ (ข้อ 43–44, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) คนอื่นมองไปที่รูปลักษณ์ภายนอก แต่พระเยซูทรงมองดูที่ใจ ไม่ใช่จำนวนเงิน แต่สิ่งสำคัญคือท่าทีภายในใจที่เรามีต่อพระเจ้า
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดช่วยให้ข้าพระองค์รักพระองค์ด้วยสุดหัวใจ ด้วยสุดชีวิต ด้วยสุดความคิดของข้าพระองค์ และด้วยสุดแรงกำลังทั้งหมดของข้าพระองค์ ขอทรงโปรดยกโทษให้ข้าพระองค์ในช่วงเวลาที่ข้าพระองค์กังวลเกี่ยวกับฐานะ หรือการแสดงออก และขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ที่จะไม่ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอก แต่มองไปที่หัวใจ ข้าแต่พระเจ้าขอทรงโปรดช่วยให้ข้าพระองค์เป็นคนใจกว้าง และเสียสละในการถวาย ขอทรงประทานใจที่กว้างขวางเหมือนดั่งพระองค์
เลวีนิติ 13:1-59
อาการของโรคเรื้อนชนิดต่างๆ
1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า 2“ถ้าผู้ใดเกิดอาการบวมหรือผื่นหรือด่างขึ้นที่ผิวหนัง แล้วผิวหนังของเขามีอาการของโรคเรื้อน ก็ให้พาผู้นั้นมาหาอาโรนผู้เป็นปุโรหิต หรือบุตรคนหนึ่งคนใดของเขาที่เป็นปุโรหิต 3ให้ปุโรหิตตรวจผิวหนังตรงที่เป็นโรค ถ้าขนในที่นั้นหงอกและเห็นว่าโรคนั้นอยู่ลึกกว่าผิวหนังลงไป จัดว่าเป็นโรคเรื้อน เมื่อปุโรหิตตรวจเขาเสร็จแล้วให้ประกาศว่า เขาเป็นมลทิน 4ถ้าผิวหนังตรงจุดนั้นขาว และปรากฏว่ากินไม่ลึกไปกว่าผิวหนัง และขนในบริเวณนั้นก็ไม่หงอก ให้ปุโรหิตกักตัวผู้ป่วยไว้เจ็ดวัน 5และให้ปุโรหิตตรวจเขาอีกในวันที่เจ็ด ถ้าตามสายตาของปุโรหิตเห็นว่า โรคนั้นทรงอยู่ไม่ลามออกไปตามผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตกักตัวเขาต่อไปอีกเจ็ดวัน 6พอถึงวันที่เจ็ดให้ปุโรหิตตรวจเขาอีกครั้งหนึ่ง ถ้าบริเวณที่เป็นโรคนั้นจางลง และโรคไม่ได้ลามออกไปตามผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาสะอาดแล้ว เขาเป็นผื่นเท่านั้น ให้เขาซักเสื้อผ้า แล้วเขาก็จะสะอาด 7แต่ถ้าหลังจากเขาแสดงตัวแก่ปุโรหิตเพื่อรับการชำระแล้วนั้น ปรากฏว่า บริเวณที่เป็นผื่นลามออกไปตามผิวหนัง ให้เขากลับไปหาปุโรหิตอีก 8ให้ปุโรหิตตรวจ ถ้าบริเวณที่เป็นผื่นลามออกไปตามผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน
9“ถ้าผู้ใดมีอาการของโรคเรื้อนก็ให้พาเขามาหาปุโรหิต 10และให้ปุโรหิตตรวจดูตัวเขา ถ้ามีบริเวณบวมสีขาวที่ผิวหนัง ซึ่งทำให้ขนที่นั่นหงอก และมีเนื้อแผลสดในที่ที่บวมนั้น 11แสดงว่าเป็นโรคเรื้อนเรื้อรังที่ผิวหนัง ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน ห้ามกักตัวเขาไว้ เพราะว่าเขาเป็นมลทิน 12ถ้าอาการของโรคเรื้อนนั้นลามออกไปทั่วผิวหนัง ปกคลุมผิวหนังทั่วตัวผู้ป่วย และแผ่ไปทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะจนถึงเท้า ตามที่ปุโรหิตเห็น 13ปุโรหิตต้องตรวจดู ถ้าอาการของโรคเรื้อนนั้นแผ่ไปทั่วตัว ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาสะอาดด้วยโรคของเขาแล้ว ตัวของเขาเผือก เขาสะอาด 14แต่ถ้ามีเนื้อแผลสดปรากฏขึ้นมาเมื่อไร เขาก็เป็นมลทิน 15ให้ปุโรหิตตรวจดูที่เนื้อแผลสด และประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เพราะเนื้อแผลสดนั้นทำให้เป็นมลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน 16ถ้าเนื้อแผลสดนั้นเปลี่ยนไปอีกกลายเป็นสีขาว ให้เขามาหาปุโรหิต 17และให้ปุโรหิตตรวจเขา และถ้าโรคนั้นกลายเป็นโรคเผือก ให้ปุโรหิตประกาศว่า คนที่เป็นโรคนั้นสะอาด เขาก็สะอาด
18“ถ้าร่างกายของคนใดมีแผลฝีซึ่งหายแล้ว 19ถ้าที่แผลเป็นนั้นบวมขึ้นมามีสีขาวหรือมีรอยสีแดงเรื่อๆ ปรากฏ ก็ให้ผู้นั้นไปแสดงตัวต่อปุโรหิต 20และปุโรหิตจะตรวจดู ถ้าปรากฏว่าที่เป็นนั้นลึกกว่าผิวหนังและขนที่บริเวณนั้นหงอก ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาเป็นมลทิน เป็นโรคเรื้อนที่พุขึ้นมาที่แผลฝี 21แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดูแล้วเห็นว่าขนที่นั่นไม่หงอก และแผลไม่ลึกกว่าผิวหนัง และสีของแผลจางลง ให้ปุโรหิตกักตัวเขาไว้เจ็ดวัน 22ถ้าโรคนั้นลามไปตามผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคแล้ว 23แต่ถ้าบริเวณนั้นคงที่อยู่ไม่ลามออกไป ก็เป็นแต่เพียงแผลเป็นของฝี ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาสะอาด
24“หรือ เมื่อส่วนของร่างกายถูกไฟลวก และเนื้อแผลสดตรงนั้นเป็นรอยสีแดงเรื่อๆ หรือสีขาว 25ให้ปุโรหิตตรวจดู ถ้าขนในบริเวณนั้นหงอกและแผลลึกกว่าผิวหนัง แสดงว่าเป็นโรคเรื้อน มันพุขึ้นมาที่แผลไฟลวก ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน 26แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดู เห็นว่าขนในบริเวณนั้นไม่หงอก และแผลไม่ลึกกว่าผิวหนัง และสีของแผลจางลง ให้ปุโรหิตกักตัวเขาไว้เจ็ดวัน 27พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ปุโรหิตตรวจดูเขา ถ้าแผลนั้นลามออกไปตามผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคเรื้อน 28ถ้าแผลที่เป็นนั้นคงที่ ไม่ลามไปตามผิวหนัง และสีของแผลจางลง เป็นเพียงแผลบวมเพราะไฟลวก ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาสะอาด เพราะมันเป็นเพียงแผลเป็นของไฟลวก
29“ถ้าชายหรือหญิงคนใดมีผื่นที่ศีรษะหรือที่คาง 30ให้ปุโรหิตตรวจดูผื่นนั้น ถ้าเป็นลึกกว่าผิวหนัง และผมหรือขนบริเวณนั้นเหลืองและบาง ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาเป็นมลทิน เขาเป็นผื่นคัน เป็นโรคเรื้อนที่ศีรษะหรือที่คาง 31ถ้าปุโรหิตตรวจดูผื่นคันนั้น ปรากฏว่าเป็นไม่ลึกกว่าผิวหนัง และไม่มีผมดำหรือขนดำอยู่ในบริเวณนั้น ให้ปุโรหิตกักตัวบุคคลที่เป็นผื่นคันนั้นไว้เจ็ดวัน 32พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ปุโรหิตตรวจบริเวณที่คันนั้น ถ้าบริเวณที่คันนั้นไม่ลาม ไม่มีผมหรือขนเหลืองในบริเวณนั้นและบริเวณที่คันไม่ลึกกว่าผิวหนัง 33ก็ให้คนนั้นโกนผมหรือขนเสีย แต่ห้ามโกนบริเวณที่คัน ให้ปุโรหิตกักตัวบุคคลที่มีบริเวณที่คันนั้นไว้อีกเจ็ดวัน 34พอถึงวันที่เจ็ด ก็ให้ปุโรหิตตรวจดูตรงบริเวณที่คัน ถ้าบริเวณที่คันนั้นไม่ลามไปตามผิวหนัง และเป็นไม่ลึกไปกว่าผิวหนัง ให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาสะอาด ให้เขาซักเสื้อผ้า แล้วจะสะอาด 35แต่ถ้าเขาชำระตัวแล้ว ยังปรากฏว่า ผื่นคันนั้นลามไปตามผิวหนัง 36 ก็ให้ปุโรหิตตรวจเขา ถ้าผื่นคันนั้นลามไปตามผิวหนังแล้ว ปุโรหิตไม่จำเป็นต้องมองหาผมสีเหลืองหรือขนสีเหลือง เขาเป็นมลทินแล้ว
37“แต่ถ้าตามสายตาของเขาโรคคันนั้นคงที่ และมีผมดำหรือขนดำงอกอยู่ในบริเวณนั้น ผื่นคันนั้นหายแล้ว เขาก็สะอาด และให้ปุโรหิตประกาศว่า เขาสะอาด
38“เมื่อผู้ชายหรือผู้หญิงมีรอยขาวที่ผิวหนัง 39ให้ปุโรหิตตรวจเขา ถ้ารอยที่ผิวหนังนั้นเป็นสีขาวขุ่น นั่นเป็นเกลื้อนที่พุขึ้นในผิวหนัง เขาสะอาด
40“ถ้าชายคนใดมีผมร่วงจากศีรษะ เขาเป็นคนศีรษะล้าน แต่เขาสะอาด 41ถ้าชายคนใดมีผมที่หน้าผากและที่ขมับร่วง หน้าผากของเขาล้าน แต่เขาสะอาด 42แต่ถ้าตรงศีรษะล้านหรือหน้าผากล้าน มีบริเวณเป็นรอยสีแดงเรื่อๆ เขาเป็นโรคเรื้อนพุขึ้นที่ศีรษะล้านหรือที่หน้าผากล้านนั้น 43ให้ปุโรหิตตรวจดูเขา ถ้าที่บวมนั้นสีแดงเรื่อๆ อยู่ที่ศีรษะล้านหรือที่หน้าผากล้านของเขา เหมือนกับโรคเรื้อนที่ปรากฏตามผิวหนัง 44ชายผู้นั้นเป็นโรคเรื้อน เขาเป็นมลทิน ปุโรหิตต้องประกาศว่า เขาเป็นมลทิน โรคของเขาอยู่ที่ศีรษะ
45“ให้บุคคลที่เป็นโรคเรื้อนสวมเสื้อผ้าที่ขาด ให้ปล่อยผม และให้เขาปิดริมฝีปากบนไว้แล้วร้องว่า ‘มลทิน มลทิน’ 46เขาจะเป็นมลทินอยู่ตลอดเวลาที่เขาเป็นโรค เขาเป็นมลทิน เขาจะต้องอยู่แต่ลำพังภายนอกค่าย
47“เมื่อในเครื่องแต่งกายมีรอยเหมือนเชื้อเรื้อน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายขนสัตว์หรือผ้าป่าน 48อยู่ที่ด้ายถักหรือด้ายทอ อยู่ที่ผ้าป่านหรือผ้าขนสัตว์หรืออยู่ในหนัง หรือสิ่งใดๆ ที่ทำด้วยหนัง 49ถ้าเชื้อนั้นทำให้เครื่องแต่งกายมีสีเขียวๆ หรือแดงๆ ที่ด้ายถักหรือด้ายทอ ที่หนังหรือสิ่งใดๆ ที่ทำด้วยหนัง นั่นเป็นเชื้อเรื้อน จะต้องนำไปแสดงต่อปุโรหิต 50ให้ปุโรหิตตรวจเชื้อนั้น และให้กักสิ่งที่มีเชื้อนั้นไว้เจ็ดวัน 51พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ตรวจดูเชื้อนั้นอีก ถ้าเชื้อนั้นลามไปในเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ไม่ว่าที่ด้ายถักหรือด้ายทอ ที่หนังสัตว์ หรือสิ่งใดที่ทำด้วยหนังสัตว์ เชื้อนั้นเป็นเชื้อเรื้อนอย่างร้าย นับว่าเป็นมลทิน 52ให้เขาเผาเครื่องแต่งกายนั้นเสีย ไม่ว่าเป็นเชื้อที่ด้ายถักหรือด้ายทอ เป็นที่ผ้าขนสัตว์หรือผ้าป่าน หรือสิ่งใดๆ ที่ทำด้วยหนังสัตว์ที่มีเชื้อ เพราะเป็นเชื้อเรื้อนที่ร้าย จึงให้เผาเสียในไฟ
53“ถ้าปุโรหิตตรวจดู เชื้อนั้นไม่ได้ลามไปในเครื่องแต่งกายที่ด้ายถักหรือด้ายทอ หรือในสิ่งใดที่ทำด้วยหนังสัตว์ 54ก็ให้ปุโรหิตบัญชาให้เขาซักสิ่งที่มีเชื้อนั้นเสีย และให้กักไว้อีกเจ็ดวัน 55เมื่อซักแล้วก็ให้ปุโรหิตตรวจดูสิ่งที่มีเชื้อนั้นอีก ถ้าบริเวณที่มีเชื้อไม่เปลี่ยนสี แม้ว่าเชื้อนั้นไม่ลามออกไป ก็เป็นมลทิน เจ้าจงเอาใส่ในไฟเผาเสีย ไม่ว่าบริเวณมีเชื้อเรื้อนนั้นจะอยู่ข้างในหรือข้างนอก
56“ถ้าปุโรหิตตรวจดู เห็นว่าเชื้อนั้นจางลงหลังจากซักแล้ว ก็ให้ฉีกบริเวณนั้นออกเสียจากเครื่องแต่งกายหรือหนังสัตว์ หรือด้ายถักหรือด้ายทอ 57ถ้ายังปรากฏขึ้นอีกในเครื่องแต่งกายไม่ว่าที่ด้ายถักหรือด้ายทอ หรือในสิ่งใดๆ ที่ทำด้วยหนังสัตว์ และเชื้อนั้นลามออกไปแล้ว เจ้าจงเผาสิ่งที่มีเชื้อนั้นด้วยไฟ 58ถ้าเชื้อนั้นหมดไปจากเครื่องแต่งกายทั้งที่ด้ายถักหรือด้ายทอ หรือสิ่งที่ทำด้วยหนังสัตว์ เมื่อซักแล้วเชื้อนั้นหมดไป ก็ให้ซักอีกเป็นครั้งที่สอง แล้วจะสะอาด”
59นี่เป็นกฎว่าด้วยเชื้อเรื้อนในเครื่องแต่งกายที่ทำด้วยขนสัตว์หรือผ้าป่าน ไม่ว่าเป็นที่ด้ายถักหรือด้ายทอ หรือเป็นที่สิ่งใดๆ ที่ทำด้วยหนังสัตว์ เพื่อให้พิจารณาว่าอย่างใดสะอาด อย่างใดเป็นมลทิน
อรรถาธิบาย
5. รักษาใจให้บริสุทธิ์
บทบัญญัติในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมครอบคลุมทุกแง่มุมของชีวิตรวมถึงเรื่องความสะอาด สุขภาพและสุขอนามัย ด้วยเหตุนี้เราจึงได้อ่านข้อปฏิบัติมากมายในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเกี่ยวกับบทบัญญัติที่กำหนดไว้ในบทนี้ นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาทั้งหมด กฎและบทบัญญัติเหล่านี้ ล้วนเกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์ และแรงขับเคลื่อนในบทบัญญัติเหล่านี้น่าจะเกิดจากความปรารถนาที่จะทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยและเอาอย่างพระเจ้า (เลวีนิติ 11:44) กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพิธีกรรมภายนอกควรจะสะท้อนทัศนคติ และท่าทีภายในจิตใจ
ในช่วงเวลาของพระเยซู มีธรรมาจารย์หลายคนให้ความสำคัญกับสิ่งที่ผิด พวกเขาคิดว่าความบริสุทธิ์สามารถบรรลุได้ง่าย ๆ โดยการปฏิบัติตามบทบัญญัติมากมายที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและการกระทำภายนอกมากกว่าการเชื่อฟังพระเจ้าอย่างจริงใจ
พระเยซูทรงชี้ให้เห็นว่ามีบางสิ่งที่สำคัญกว่าทั้งหมดนี้ ดังที่เราเห็นในข้อพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่วันนี้ ‘การที่จะรัก(พระเจ้า)ด้วยสุดใจ สุดความเข้าใจ และสุดกำลังและรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ก็สำคัญกว่าเครื่องเผาบูชาและของถวายทั้งสิ้น’ (มาระโก 12:33) ความบริสุทธิ์ไม่ใช่เรื่องของรูปลักษณ์ภายนอก แต่เป็นเรื่องของจิตใจ
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงช่วยปกป้องรักษาใจของข้าพระองค์จากโรคหัวใจฝ่ายจิตวิญญาณ ขอทรงโปรดให้คริสตจักรเราเป็นชุมชนแห่งความรัก รักพระองค์และรักซึ่งกันและกัน โปรดทรงเติมเต็มหัวใจของข้าพระองค์ในวันนี้ ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์และทำให้ใจของข้าพระองค์ นั้นบริสุทธิ์และสุขภาพดีแข็งแรง
เพิ่มเติมโดยพิพพา
มาระโก 12:31
พระเยซูตรัสว่า ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ (มาระโก 12:31) แล้วฉันดูแลตัวของฉันเองอย่างไร? ฉันคิดว่าก็ใช้ได้อยู่นะ!
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)