พระเจ้าทรงช่วยข้าพระองค์
เกริ่นนำ
โทนี่ บัลลิมอร์ อายุ 56 ปี หนึ่งในนักแล่นเรือยอร์ชข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกที่มีประสบการณ์มากที่สุดของอังกฤษ เขาได้เผชิญกับความกลัวแทบตายหลังจากที่เรือยอร์ช เอ็กไซล์ ชาเลนเจอร์ (Exile Challenger) ล่มท่ามกลางความกว้างใหญ่ของมหาสมุทรใต้หรือมหาสมุทรแอนตาร์กติกที่เย็นยะเยือก ในการแข่งขันรอบโลกสองเดือนที่เรียกว่าเวนเด โกลบ (Vendée Globe)
ส่วนของเรือที่เรียกว่ากระดูกงูได้หลุดออกเมื่อปะทะกับคลื่นสูงห้าสิบฟุตทำให้เรือพลิกคว่ำ ในหนังสือ รอดแล้ว (Saved) ที่เขียนโดยคุณบัลลิมอร์ บรรยายว่ามันเหมือนกับน้ำตกไนแองการาที่กลับหัวกลับหาง เป็นเวลาสี่วันที่เขาเหมือนถูกฝังอยู่ในโลกที่กลับหัวกลับหางที่ช่างมืดมิด เสียงดัง เปียก และเย็นยะเยือก โดยคลื่นที่ยกตัวสูงห้าสิบฟุตและอุณหภูมิที่หนาวเย็นอยู่รอบตัว
เขาทรมานกับอาการเมาคลื่นและการพยายามสูดอากาศหายใจจากช่องเพียงไม่กี่ฟุตระหว่างอากาศกับน้ำ และครั้งหนึ่งเคยตกลงไปที่ด้านล่างของเรือ เขาอยู่ห่างจากแผ่นดินที่ใกล้ที่สุดมากกว่าหนึ่งพันไมล์ เมื่อปริมาณอากาศลดน้อยลงเขาจึงอธิษฐานว่าเขาจะได้รับการช่วยกู้
และกองทัพเรือออสเตรเลียได้เข้ามาช่วยเหลือ ด้วยเทคโนโลยีดาวเทียมและการเฝ้าระวังที่ทันสมัยของรัฐบาลออสเตรเลีย ที่ทำการจับตำแหน่งการแล่นของเรือยอร์ชทั้งหมด และได้ส่งทีมกู้ภัยเข้าให้การช่วยเหลือ
ผ่านไปสี่วัน บัลลิมอร์ ได้ยินเสียงกระแทกที่ด้านข้างของเรือ ภายหลังเขาได้กล่าวว่า ‘ผมไม่สามารถขอบคุณกองทัพเรือออสเตรเลียได้มากพอกับสิ่งที่พวกเขาทำ เพราะพวกเขาช่วยชีวิตผมอย่างแท้จริงโดยปราศจากคำถามใด’ คำพูดแรกเมื่อเขาปรากฏตัวคือ ‘ขอบคุณพระเจ้า มันคือการอัศจรรย์’ เขากล่าวว่า ‘ผมรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง ผมรู้สึกเหมือนเป็นคนใหม่ ผมรู้สึกว่าตัวเองกลับมามีชีวิตอีกครั้ง’
ตามที่นักข่าวท่านหนึ่งกล่าวไว้ในตอนนั้นว่า ‘การช่วยเหลือที่ประสบความสำเร็จในทุกด้านและทุกความคาดหวังคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องราวทั้งหมดนี้ เป็นความสุขบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้น พระเยซูผู้ยิ่งใหญ่ ‘พระเยซูทรงสละพระองค์เองเพราะบาปของเรา เพื่อช่วยเรา’ (กาลาเทีย 1:4ก)
เมื่อมองย้อนกลับไปในชีวิตของผม ผมสามารถมองเห็นหลายครั้งที่พระเจ้าช่วยผมให้รอดพ้น เมื่อคุณเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก คุณสามารถวางใจในพระเจ้า พระองค์จะทรงช่วยคุณ
สดุดี 31:1-8
คำอธิษฐานและคำสรรเสริญ เพราะพ้นภัยศัตรู
ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด
1ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ลี้ภัยในพระองค์
ขออย่าให้ข้าพระองค์อับอายเลย
ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นภัยโดยความชอบธรรมของพระองค์
2ขอเงี่ยพระกรรณมายังข้าพระองค์
ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์โดยเร็วเถิด
ขอทรงเป็นศิลาลี้ภัยของข้าพระองค์
เป็นป้อมปราการที่จะช่วยข้าพระองค์ให้รอด
3พระองค์ทรงเป็นศิลาและเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์
ขอทรงนำทางข้าพระองค์ด้วยเห็นแก่พระนามของพระองค์
4ขอทรงปลดข้าพระองค์ออกจากข่ายที่ดักข้าพระองค์อยู่
เพราะพระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์
5ข้าพระองค์มอบจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์
ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งความจริง พระองค์ทรงไถ่ข้าพระองค์แล้ว
6ข้าพระองค์เกลียดพวกที่นับถือพระเทียมเท็จ
แต่ข้าพระองค์วางใจในพระยาห์เวห์
7ข้าพระองค์จะเปรมปรีดิ์และยินดีในความรักมั่นคงของพระองค์
เพราะพระองค์ทอดพระเนตรความทุกข์ใจของข้าพระองค์
พระองค์ทรงทราบเรื่องความทุกข์ยากของข้าพระองค์
8และมิได้ทรงมอบข้าพระองค์ไว้ในมือศัตรู
พระองค์ทรงวางเท้าของข้าพระองค์ไว้ในที่กว้างขวาง
อรรถาธิบาย
วางใจให้พระเจ้าช่วยคุณ
บางครั้งเป็นเรื่องยากมากที่จะรักษาความวางใจในพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสิ่งต่าง ๆ ดูเลวร้ายในชีวิตของคุณ ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ การงาน การเงิน สุขภาพ หรือสถานการณ์อื่น ๆ คำอธิษฐานของดาวิดในพระธรรมตอนนี้เป็นการให้กำลังใจในการร้องทูลต่อพระเจ้า ขอพระองค์ช่วยเหลือคุณและเพื่อคุณจะวางใจในพระองค์
ตามที่ โทนี่ บัลลิมอร์ อธิษฐานขอการช่วยเหลือ เช่นเดียวกับคำอธิษฐานของดาวิด ‘ขอเงี่ยพระกรรณมายังข้าพระองค์ ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์โดยเร็วเถิด’ (ข้อ 2ก) ‘ข้าพระองค์วางใจในพระองค์, พึ่งพาพระองค์ และพึ่งพิงด้วยความมั่นใจ’ (ข้อ 6ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
ดาวิดกล่าวว่า ‘ข้าพระองค์มอบจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์’ (ข้อ 5) ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ พระเยซูทรงสะท้อนถ้อยคำเหล่านี้ พระองค์ทรงร้องเสียงดังว่า ‘ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอฝากจิตวิญญาณของข้าพระองค์’ (ลูกา 23:46) นี่เป็นคำพูดของการไว้วางใจอย่างสูงสุด
ในพระธรรมสดุดี เราเห็นผลแห่งความรักของพระเจ้าที่มีต่อคุณที่ได้แสดงให้เห็นอย่างยิ่งใหญ่ผ่านการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็น:
1.\tที่ลี้ภัยของคุณ
พระธรรมสดุดีเริ่มต้นด้วยคำว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ลี้ภัยในพระองค์’ (สดุดี 31:1ก) ต่อมากล่าวว่า ‘ขอทรงปลดข้าพระองค์ออกจากข่ายที่ดักข้าพระองค์อยู่ เพราะพระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์’ (ข้อ 4) ชีวิตนี้มีการทดลอง การทดสอบกับดัก และการล่อลวงมากมาย ทั้งหมดนี้พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยของคุณ
2.\tพระศิลาของคุณ
ดาวิดเขียนว่า พระเจ้า ‘ขอทรงเป็นศิลา’ (ข้อ 2ข) และ ‘พระองค์ทรงเป็นศิลาและเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์ ขอทรงนำทางข้าพระองค์ด้วยเห็นแก่พระนามของพระองค์’ (ข้อ 3) คุณสามารถสัมผัสการทรงนำทางและการทรงนำโดยพระวิญญาณของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นความปลอดภัยที่คุณสามารถพึ่งพาได้
3.\tพระผู้ช่วยของคุณ
ดาวิดอธิษฐาน ‘ขอเงี่ยพระกรรณมายังข้าพระองค์ ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์โดยเร็วเถิด’ (ข้อ 2ก) ดาวิดอธิบายต่อไปว่าพระเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็น ‘ความทุกข์ใจ...ความทุกข์ยาก (ของเขา)’ (ข้อ 7ข) และพระองค์มิได้ทรงมอบเขาไว้ในมือศัตรู (ข้อ 8ก) พระองค์ทรง ‘วางเท้าของ (ท่าน) ไว้ในที่กว้างขวาง’ (ข้อ 8ข) ในพระเยซูคุณได้รับการช่วยเหลือขั้นสูงสุด พระองค์จะทรงวางเท้าของคุณไว้ในที่กว้างขวาง
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงช่วยข้าพระองค์ในทุกการทดลองของชีวิต ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รักษาความไว้วางใจในพระองค์
มาระโก 13:32-14:16
ความจำเป็นในการเฝ้าระวังอยู่
32“แต่ไม่มีใครรู้เรื่องวันหรือเวลานั้น แม้แต่พวกทูตในฟ้าสวรรค์หรือพระบุตร มีแต่พระบิดาเท่านั้น 33จงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพราะพวกท่านไม่รู้ว่าวันนั้นหรือเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ 34เช่นเดียวกับชายคนหนึ่งที่ออกเดินทาง เมื่อเขาจะออกจากบ้าน เขาก็มอบหมายหน้าที่ให้ทาสแต่ละคนทำ และกำชับคนเฝ้าประตูให้คอยเฝ้าระวังอยู่ 35เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะพวกท่านไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะมาเมื่อไร อาจจะมาในเวลาค่ำ หรือเที่ยงคืน หรือในเวลาไก่ขัน หรือรุ่งเช้า 36ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วหากเจ้าของบ้านกลับมาอย่างฉับพลัน ท่านอาจพบว่าพวกท่านกำลังนอนหลับอยู่ 37สิ่งที่เราบอกพวกท่านนั้น เราก็บอกคนทั้งหลายด้วยว่าจงเฝ้าระวังอยู่เถิด”
มาระโก 14
แผนการประหารพระเยซู
1ก่อนเทศกาลปัสกาเทศกาลของพวกยิว เพื่อระลึกถึงการที่พระเจ้าทรงช่วยกู้ชาติของตนให้พ้นจากการเป็นทาสในอียิปต์ และเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อสองวัน พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์วางอุบายที่จะจับพระองค์ประหารเสีย 2แต่พวกเขาพูดกันว่า “อย่าเพิ่งทำในช่วงเทศกาลเลย เดี๋ยวประชาชนจะวุ่นวาย”
การชโลมที่เบธานี
3ระหว่างที่พระองค์ประทับที่หมู่บ้านเบธานี ในบ้านของซีโมนคนที่เคยเป็นโรคเรื้อน ขณะเมื่อประทับและเสวยอาหารอยู่นั้น มีหญิงคนหนึ่งถือผอบน้ำมันหอมนารดาที่มีราคาแพงมากมาหาพระองค์ แล้วเปิดผอบเทน้ำมันนั้นชโลมลงบนพระเศียรของพระองค์ 4แต่มีบางคนไม่พอใจพูดกันว่า “ทำไมถึงมาทำให้น้ำมันนี้เสียไปเปล่าๆ? 5เพราะน้ำมันนี้เอาไปขายได้เงินมากกว่าสามร้อยเดนาริอัน แล้วเอาไปแจกคนจนได้” พวกเขาจึงตำหนิหญิงคนนั้น 6พระเยซูจึงตรัสกับคนเหล่านั้นว่า “อย่าตำหนินางเลย ไปกวนใจนางทำไม? นางทำสิ่งดีสำหรับเรา 7เพราะว่าพวกท่านมีคนยากจนอยู่ด้วยเสมอ และพวกท่านจะทำการดีต่อพวกเขาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่พวกท่านจะไม่มีเราอยู่ด้วยเสมอไป 8หญิงคนนี้ทำสุดกำลังของนางแล้ว นางมาชโลมกายของเราล่วงหน้าก่อนที่จะมีการฝังศพของเรา 9เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า สิ่งที่หญิงคนนี้ทำจะถูกกล่าวขวัญถึงไปทุกหนแห่งทั่วโลกที่มีการประกาศข่าวประเสริฐเพื่อเป็นการระลึกถึงนาง”
ยูดาสตกลงจะทรยศพระเยซู
10ยูดาสอิสคาริโอทที่เป็นคนหนึ่งในพวกสาวกสิบสองคน ไปหาพวกหัวหน้าปุโรหิตเพื่อจะมอบตัวพระองค์ให้แก่พวกเขา 11เมื่อพวกเขาได้ยินอย่างนั้นก็ดีใจและสัญญาว่าจะให้เงินแก่ยูดาส แล้วยูดาสจึงคอยหาโอกาสที่จะมอบตัวพระองค์ให้แก่พวกเขา
การเสวยปัสกากับพวกสาวก
12เมื่อถึงวันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ ซึ่งเป็นเวลาที่พวกเขาฆ่าลูกแกะสำหรับปัสกานั้น พวกสาวกมาทูลถามพระองค์ว่า “จะให้พวกข้าพระองค์ไปจัดเตรียมปัสกาให้พระองค์เสวยที่ไหน?” 13พระองค์จึงทรงใช้สาวกสองคนไป สั่งพวกเขาว่า “จงเข้าไปในเมือง แล้วจะมีชายคนหนึ่งทูนหม้อน้ำมาพบพวกท่าน จงตามคนนั้นไป 14เขาเข้าไปที่ไหน ก็ให้บอกเจ้าของบ้านนั้นว่า พระอาจารย์ถามว่า ‘ห้องที่เราจะกินปัสกากับเหล่าสาวกของเรานั้นอยู่ที่ไหน?’ 15เจ้าของบ้านจะชี้ให้เห็นห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้ว ที่นั่นแหละ จงจัดเตรียมไว้สำหรับพวกเราเถิด” 16สาวกสองคนนั้นจึงออกไป เดินเข้าไปในเมือง และพบทุกอย่างเหมือนถ้อยคำที่พระองค์ตรัสแก่พวกเขา แล้วพวกเขาก็จัดเตรียมปัสกาไว้พร้อม
อรรถาธิบาย
รักองค์พระผู้ช่วยของคุณด้วยสุดใจ
ความรักต่อพระเยซูสำคัญยิ่งกว่าความรักต่อคนยากจน อันที่จริงความรักที่เรามีต่อพระเยซูอย่างมากล้นนั้นจะไหลล้นไปสู่ผู้อื่นโดยเฉพาะคนยากจน
ความรักเช่นนี้อยู่เบื้องหลังการเจิมของพระกายของพระเยซู ผู้หญิงคนนี้แสดงความกตัญญูและความรักต่อพระเยซู ด้วยเหตุนี้ผอบน้ำมันหอมราคาแพงอันเป็นของล้ำค่าของเธอ (อาจเทียบได้กับค่าจ้างตลอดทั้งปี) จะไม่เป็นการ ‘เสียไปเปล่า ๆ’ (14:4) แน่นอน พระเยซูไม่ได้ละเลยความต้องการของคนยากจน อย่างไรก็ตามพระองค์ตรัสว่าเงินที่เธอได้ให้นั้นไม่เป็นการสูญเปล่า ‘นางมาชโลมกายของเราล่วงหน้าก่อนที่จะมีการฝังศพของเรา’ (ข้อ 8)
การแสดงออกถึงใจที่กว้างขวางนั้นจะถูกจดจำตลอดกาล (ข้อ 9) ในสายพระเนตรของพระเยซู ไม่มีสิ่งใดที่คุณมอบถวายด้วยความรักต่อพระองค์จะสูญเปล่า (ข้อ 7-8) แต่พระองค์ทรงเห็นว่าทุกสิ่งที่คุณมอบให้พระองค์ด้วยความรักเป็นส่วนที่สวยงาม (ข้อ 6) มีบางสิ่งที่สวยงามเกี่ยวกับการแสดงออกถึงใจที่กว้างขวาง
พระเยซูอ้างถึงการฝังพระศพของพระองค์ นำความสนใจไปสู่ความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ในชีวิตของพระเยซูที่กำลังมาถึงจุดสูงสุด เป็นที่ชัดเจนว่าเทศกาลปัสกาเป็นฉากที่พระเยซูทรงเลือกไว้สำหรับเหตุการณ์สุดท้ายของชีวิตพระองค์
ในพระธรรมตอนนี้ได้กล่าวถึงเทศกาลปัสกาถึง 5 ครั้งด้วยกัน (ข้อ 1, 12, 14, 16) พระเยซูทรงเข้าใจอย่างชัดเจนว่าการสิ้นพระชนม์ของพระองค์นั้นเปรียบเสมือนลูกแกะสำหรับปัสกาที่นำไปฆ่า (ข้อ 12) เนื่องด้วยพระโลหิตของลูกแกะปัสกาที่ช่วยคนของพระเจ้าจากการพิพากษาและความตาย ‘เพราะพระคริสต์ผู้ทรงเป็นปัสกาของเราถูกถวายบูชาแล้ว’ (1 โครินธ์ 5:7ข)
เราเห็นหลักฐานเพิ่มเติมที่นี่ว่าพระเยซูทรงทราบว่าพระองค์เองทรงเป็นบุตรของพระเจ้าเพียงองค์เดียว ขณะที่พระองค์กล่าวถึงการเสด็จกลับมาอีกครั้งของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า ‘แต่ไม่มีใครรู้เรื่องวันหรือเวลานั้น แม้แต่พวกทูตในฟ้าสวรรค์หรือพระบุตร มีแต่พระบิดาเท่านั้น’ (มาระโก 13:32)
โทนี่ บัลลิมอร์ รู้สึกขอบคุณจริง ๆ สำหรับผู้ที่ช่วยชีวิตเขา! เขาบอกว่าเขาไม่สามารถขอบคุณพวกเขาได้มากพอ ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดที่เราควรขอบคุณและรักบุคคลผู้นั้นที่ทรงประทานชีวิตและช่วยเราให้หลุดพ้นจากความตายนิรันดร์
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงประทานชีวิตของพระองค์เพื่อเป็นเครื่องบูชาปัสกาเพื่อช่วยข้าพระองค์ให้รอดพ้นจากการถูกพิพากษาและความตาย ขอบพระคุณพระองค์ทุกครั้งที่ข้าพระองค์ร่วมรับประทาน ‘อาหารมื้อสุดท้าย’ ข้าพระองค์ระลึกถึงการเสียสละและการช่วยกู้ของพระองค์
เลวีนิติ 15:1-16:34
สิ่งที่ไหลออกจากร่างกาย
1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า 2“จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เมื่อผู้ใดมีสิ่งไหลออกจากร่างกาย สิ่งที่ไหลออกของเขานั้นเป็นมลทิน 3ต่อไปนี้เป็นกฎว่าด้วยเรื่องการเป็นมลทินของเขา เนื่องจากสิ่งที่ไหลออก ร่างกายของเขาจะมีสิ่งไหลออก หรือสิ่งที่ไหลออกคั่งอยู่ในร่างกายของเขาก็ดี สิ่งนี้เป็นมลทินของเขา 4เตียงนอนใดที่คนมีสิ่งไหลออกขึ้นไปนอน เตียงนั้นก็เป็นมลทิน ทุกสิ่งที่เขานั่งทับก็เป็นมลทิน 5คนที่แตะต้องเตียงของเขาต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ และจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 6คนที่ไปนั่งบนสิ่งที่ผู้มีสิ่งไหลออกได้นั่งก่อน ต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ และจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 7คนที่ไปแตะต้องร่างกายของผู้ที่มีสิ่งไหลออก ต้องซักเสื้อผ้าของตน และอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 8และถ้าผู้มีสิ่งไหลออกนั้นถ่มน้ำลายรดผู้สะอาด ผู้ที่ถูกน้ำลายรดต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 9และอานที่ผู้มีสิ่งไหลออกนั่งทับ อานนั้นก็เป็นมลทิน 10คนที่แตะต้องสิ่งที่รองรับเขานั้น จะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น และคนที่จับต้องสิ่งนั้นต้องซักเสื้อผ้าของตัวและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 11คนที่มีสิ่งไหลออกแตะต้องผู้ใดด้วยมือที่ไม่ได้ล้าง ผู้ถูกแตะต้องนั้นต้องซักเสื้อผ้าของตัวและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 12ภาชนะดินทุกใบซึ่งผู้มีสิ่งไหลออกแตะต้องให้ทุบเสีย และภาชนะไม้ทุกอย่างก็ให้ชำระเสียด้วยน้ำ
13“เมื่อผู้มีสิ่งไหลออกได้ชำระสิ่งไหลออกของเขาแล้ว เขาต้องนับการชำระของเขาให้ครบเจ็ดวัน และเขาต้องซักเสื้อผ้า และอาบน้ำด้วยน้ำสะอาด เขาจึงจะสะอาด 14ในวันที่แปดให้เขานำนกเขาสองตัว หรือนกพิราบสองตัวมาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ที่ประตูเต็นท์นัดพบ และมอบของเหล่านั้นให้แก่ปุโรหิต 15ให้ปุโรหิตถวายบูชา คือถวายนกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และนกอีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว แล้วปุโรหิตจะลบมลทินของเขาต่อพระยาห์เวห์ เพราะเหตุสิ่งไหลออกของเขา
16“ชายคนใดมีน้ำกามไหลออกให้เขาอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 17เครื่องแต่งกายทุกชนิดและหนังทุกชนิดที่น้ำกามไหลรดต้องชำระในน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 18ชายคนใดหลับนอนกับหญิงคนใด และมีน้ำกามไหลออก ทั้งสองจะต้องอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
19“หญิงใดมีสิ่งไหลออกเป็นโลหิตประจำเดือน เธอจะต้องเป็นมลทินไปเจ็ดวัน และผู้ใดแตะต้องเธอ จะต้องเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็น 20ขณะเมื่อเธอมีมลทิน เธอไปนอนทับสิ่งใด สิ่งนั้นก็มีมลทิน สิ่งใดที่เธอไปนั่งทับ สิ่งนั้นก็เป็นมลทิน 21คนที่ไปแตะต้องที่นอนของเธอ ต้องซักเสื้อผ้า และอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 22และคนที่แตะต้องสิ่งที่เธอนั่ง ต้องซักเสื้อผ้า และอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 23ไม่ว่าจะเป็นที่นอนหรือสิ่งใดที่เธอนั่งทับก็ดี ผู้ชายที่ไปแตะต้องสิ่งนั้น จะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 24ถ้าชายใดไปหลับนอนกับเธอ และมลทินของเธอติดมาที่ชายนั้น ชายนั้นจะเป็นมลทินไปเจ็ดวัน เขาไปนอนที่เตียงใด เตียงนั้นก็เป็นมลทิน
25“ถ้าหญิงใดมีโลหิตไหลออกหลายวัน ทั้งที่ไม่ใช่เวลามลทินประจำของเธอ หรือถ้าเธอมีโลหิตไหลออกเลยกำหนดการเป็นมลทินประจำของเธอ ทุกวันที่มีโลหิตไหลออก เธอต้องเป็นมลทินอย่างเดียวกับเวลาที่เป็นมลทินประจำของเธอ 26ที่นอนที่เธอนอนระหว่างเธอมีสิ่งไหลออก ที่นอนนั้นเป็นดังที่นอนมลทินประจำของเธอ ทุกสิ่งที่เธอนั่งทับต้องเป็นมลทินอย่างเดียวกับมลทินประจำของเธอ 27คนที่แตะต้องสิ่งเหล่านั้น ก็เป็นมลทินด้วย เขาต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 28ถ้าเธอชำระสิ่งไหลออกของเธอแล้ว ให้เธอนับเองให้ครบเจ็ดวัน ต่อจากนั้นเธอจึงจะสะอาด 29และในวันที่แปดให้เธอนำนกเขาสองตัว หรือลูกนกพิราบสองตัวไปให้ปุโรหิตที่ประตูเต็นท์นัดพบ 30และปุโรหิตจะถวายนกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และอีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และปุโรหิตจะลบมลทินให้เธอเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพราะเหตุสิ่งไหลออกที่เป็นมลทินของเธอ
31“โดยวิธีนี้แหละ พวกเจ้าก็แยกคนอิสราเอลจากมลทินของเขาทั้งหลาย เพื่อพวกเขาจะไม่ต้องตายด้วยมลทินของเขาเอง เมื่อเขาทำให้พลับพลาของเราที่อยู่ท่ามกลางพวกเขาเป็นมลทินไป”
32นี่เป็นกฎว่าด้วยผู้มีสิ่งไหลออกและชายที่มีน้ำกามไหลออก ซึ่งทำให้ตัวเป็นมลทิน 33และเกี่ยวกับหญิงที่เป็นมลทินประจำของเธอ คือทั้งเกี่ยวกับผู้มีสิ่งไหลออกไม่ว่าชายหรือหญิง และเกี่ยวกับชายที่หลับนอนกับหญิงที่มีมลทิน
เลวีนิติ 16
วันลบมลทิน
1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสส หลังจากบุตรทั้งสองของอาโรนสิ้นชีวิตเมื่อเขาเข้ามาใกล้พระยาห์เวห์ และถึงแก่ความตาย 2พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงบอกอาโรนพี่ชายว่า อย่าเข้าไปในอภิสุทธิสถานตามใจชอบ คือเข้าไปในม่านหน้าพระที่นั่งกรุณาซึ่งอยู่บนหลังหีบ เพื่อเขาจะไม่ตาย เพราะว่าเราจะปรากฏในเมฆเหนือพระที่นั่งกรุณา 3แต่อาโรนจะเข้ามาในอภิสุทธิสถานได้โดยวิธีนี้ คือ ให้เอาโคหนุ่มตัวหนึ่งไปเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และแกะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว 4ให้เขาสวมเสื้อป่านบริสุทธิ์และสวมกางเกงผ้าป่าน คาดผ้าคาดเอวด้วยผ้าป่านและโพกศีรษะด้วยผ้าป่าน นี่เป็นเสื้อตำแหน่งบริสุทธิ์ ให้เขาอาบน้ำแล้วจึงสวม 5และให้เขานำแพะผู้สองตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปกับแกะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวจากชุมนุมชนอิสราเอล
6“อาโรนจะถวายโคเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของตนเอง ทำการลบมลทินตนเองกับครอบครัวของเขา 7แล้วเขาจะนำแพะสองตัวนั้นไปถวายเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ที่ประตูเต็นท์นัดพบ 8อาโรนจะจับฉลากแพะสองตัวนั้น ฉลากหนึ่งตกเป็นของพระยาห์เวห์ อีกฉลากหนึ่งเพื่ออาซาเซล 9แพะตัวที่ฉลากตกเป็นของพระยาห์เวห์นั้น อาโรนจะถวายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป 10แต่แพะอีกตัวหนึ่งซึ่งฉลากตกเพื่ออาซาเซลนั้น จะนำถวายเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เป็นสัตว์ที่ยังมีชีวิต เพื่อให้มลทินตกที่มัน แล้วปล่อยมันเข้าไปในถิ่นทุรกันดารให้แก่อาซาเซล
11“ให้อาโรนถวายโคเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของเขา และลบมลทินตนเองกับครอบครัวของเขา ให้เขาฆ่าโคเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของเขาเอง 12และให้เขาเอากระถางไฟที่มีถ่านลุกอยู่มาจากแท่นบูชาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และนำเครื่องหอมทุบละเอียดสองกำมือเข้าไปภายในม่าน 13แล้วเอาเครื่องหอมนั้นใส่บนไฟเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ให้ควันเครื่องหอมขึ้นคลุมพระที่นั่งกรุณาซึ่งอยู่เหนือหีบแห่งสักขีพยาน เพื่อเขาจะไม่ตาย 14ให้เขาเอาเลือดโคเล็กน้อยประพรมหน้าพระที่นั่งกรุณา โดยประพรมเลือดที่พระที่นั่งกรุณาเจ็ดครั้งด้วยนิ้วมือของเขา
15“แล้วให้อาโรนฆ่าแพะที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับประชาชน นำเลือดแพะเข้าไปภายในม่าน เอาเลือดแพะไปทำเช่นเดียวกับที่ทำกับเลือดโค คือประพรมบนพระที่นั่งกรุณาและที่ข้างหน้าพระที่นั่งกรุณา 16โดยวิธีนี้แหละ เขาจะลบมลทินของอภิสุทธิสถาน เพราะเหตุมลทินของคนอิสราเอล เพราะเหตุการล่วงละเมิด เพราะบาปทั้งสิ้นของพวกเขา และอาโรนจะทำต่อเต็นท์นัดพบซึ่งอยู่กับเขาท่ามกลางมลทินของพวกเขา 17ห้ามให้มีคนอยู่ในเต็นท์นัดพบเมื่ออาโรนเข้าไปลบมลทินในอภิสุทธิสถาน จนกว่าเขาจะออกมาและลบมลทินสำหรับตัวเขา สำหรับครอบครัวของเขา และสำหรับชุมนุมชนอิสราเอล 18อาโรนจะออกไปยังแท่นบูชาซึ่งอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ทำการลบมลทินแท่นนั้น เขาจะเอาเลือดโคบางส่วน เลือดแพะบางส่วน เจิมเชิงงอนของแท่นบูชาทุกด้าน 19เอานิ้วจุ่มเลือดประพรมแท่นนั้นเจ็ดครั้ง ชำระแท่นบูชาให้บริสุทธิ์พ้นมลทินของคนอิสราเอล
20“เมื่ออาโรนทำการลบมลทินของอภิสุทธิสถาน เต็นท์นัดพบ และแท่นบูชาเสร็จแล้ว เขาจะถวายแพะตัวที่มีชีวิตอยู่ 21อาโรนจะเอามือทั้งสองวางบนหัวแพะที่มีชีวิตนั้น สารภาพบาปต่างๆ ของคนอิสราเอล การล่วงละเมิดของพวกเขาทั้งหมด และให้บาปทั้งสิ้นของพวกเขาตกลงบนหัวแพะนั้น จากนั้นจงปล่อยมันเข้าไปในถิ่นทุรกันดารโดยมือของคนที่เลือกไว้ 22แพะนั้นจะบรรทุกความผิดทั้งหมดไปยังที่เปลี่ยว แล้วเขาก็ปล่อยให้มันเข้าถิ่นทุรกันดารไป
23“ให้อาโรนเข้ามาในเต็นท์นัดพบ เปลื้องเสื้อตำแหน่งผ้าป่านชุดที่เขาสวมเมื่อเข้าไปในอภิสุทธิสถานออกเก็บเสียที่นั่น 24ให้เขาชำระตัวในน้ำในที่บริสุทธิ์ สวมเสื้อตำแหน่งของตน เดินออกมาถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวของตน เครื่องบูชาเผาทั้งตัวของประชาชน เพื่อลบมลทินของตนเองและของประชาชน 25ให้เขาเอาไขมันของเครื่องบูชาลบล้างบาปไปเผาบนแท่นบูชา 26ให้ผู้ที่ปล่อยแพะไปให้อาซาเซลนั้นซักเสื้อผ้าของตน และอาบน้ำ หลังจากนั้นจึงจะเข้าในค่ายได้ 27โคซึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และแพะซึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปที่อาโรนเอาเลือดไปลบมลทินอภิสุทธิสถานนั้น จะต้องถูกนำออกไปเสียข้างนอกค่าย หนัง เนื้อ และมูลจะต้องถูกเผาเสียด้วยไฟ 28ผู้ที่เผาก็ต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ หลังจากนั้นเขาจึงจะกลับเข้าค่ายได้
29“ให้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรแก่เจ้าทั้งหลายว่าในวันที่สิบเดือนที่เจ็ด พวกเจ้าต้องปฏิเสธความปรารถนาของตนเอง และต้องไม่ทำการงานใดๆ ทั้งตัวชาวเมืองเองหรือคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า 30เพราะว่าในวันนี้จะเป็นวันลบมลทินของพวกเจ้า และชำระพวกเจ้าให้พ้นจากความบาปทั้งสิ้นของพวกเจ้า พวกเจ้าจึงสะอาดเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 31เป็นวันสะบาโตให้เจ้าทั้งหลายหยุดพักสงบ พวกเจ้าต้องปฏิเสธความปรารถนาของพวกเจ้า ทั้งนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์ถาวร 32ให้ปุโรหิตผู้ถูกเจิม และรับการสถาปนาเป็นปุโรหิตแทนบิดาของตนทำการลบมลทิน ให้เขาสวมเสื้อผ้าป่านคือเสื้อตำแหน่งบริสุทธิ์ 33ให้เขาลบมลทินแก่อภิสุทธิสถาน ให้เขาลบมลทินให้แก่เต็นท์นัดพบ และให้แก่แท่นบูชา ให้เขาลบมลทินให้แก่ปุโรหิตทั้งหลายและประชาชนทั้งหมดของชุมนุมชนนั้น 34ทั้งนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรแก่เจ้าทั้งหลาย ให้ทำการลบมลทินเพื่อคนอิสราเอลปีละครั้ง เพราะบาปทั้งสิ้นของเขา” โมเสสก็ทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาท่านไว้
อรรถาธิบาย
ตื่นตาตื่นใจกับแผนการช่วยกู้อันอัศจรรย์ของพระเจ้า
เพราะความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อคุณ พระองค์จึงทรงวางแผนการช่วยกู้คุณอย่างพิถีพิถัน การช่วยเหลือ โทนี่ บัลลิมอร์ ใช้เวลาหลายวันในการวางแผนและเตรียมการ แน่ทีเดียวแผนการช่วยกู้อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าสำหรับมวลมนุษยชาติใช้เวลาในการวางแผน การเตรียมการและการคาดการณ์ล่วงหน้าที่มากกว่านั้น
กฎเกณฑ์เกี่ยวกับ ‘การเป็นมลทิน’ ฟังดูแปลกมากสำหรับคนสมัยใหม่ของเรา เนื่องจากไม่มีผลกับเราอีกต่อไป พวกเราได้รับการเติมเต็มและแทนที่โดยพระเยซู
วันแห่งการลบมลทิน (บทที่ 16) วางพื้นหลังที่นำไปถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู อัครทูตเปาโลเขียนว่า ‘พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป’ (โรม 3:25) ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูกล่าวไว้ว่าพระเยซู ‘จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องทุกอย่าง เพื่อจะได้เป็นมหาปุโรหิต ผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาและความซื่อสัตย์ ในการกระทำกิจต่อพระเจ้าเพื่อลบล้างบาปของประชาชน’ (ฮีบรู 2:17)
ข้อเท็จจริงที่ว่าแม้แต่มหาปุโรหิตยังจำเป็นที่จะต้องอาศัยการถวายเครื่องเผาบูชาเพื่อจะได้สิทธิ์เข้าไปในห้องชั้นในก็เป็นหลักฐานชัดเจนแล้วว่า พวกเขาเองก็ไม่ได้มีความบริสุทธิ์เพียงพอ (ฮีบรู 5:3; 7:27; 9:7; 9:11-15)
การถวายเครื่องบูชาไถ่บาป ในวันแห่งการลบมลทิน เราเห็นเงาสะท้อนล่วงหน้าของกางเขนที่น่าอัศจรรย์ ‘เขาเอามือทั้งสองวางบนหัวแพะที่มีชีวิตนั้น สารภาพบาปต่าง ๆ ของคนอิสราเอล การล่วงละเมิดของพวกเขาทั้งหมด และให้บาปทั้งสิ้นของพวกเขาตกลงบนหัวแพะนั้น จากนั้นจงปล่อยมันเข้าไปในถิ่นทุรกันดารโดยมือของคนที่เลือกไว้ แพะนั้นจะบรรทุกความผิดทั้งหมด’ (เลวีนิติ 16:21-22ก นี่เป็นจุดกำเนิดของคำในภาษาอังกฤษ ‘scapegoat’ (‘แพะรับบาป’ ข้อ 8)
นี่เป็นการบอกล่วงหน้าถึงความบาปของคุณและผมที่ถูก ‘วาง’ ไว้ที่พระเยซู (ดู อิสยาห์ 53:4-6) อัครสาวกเปโตรเขียนถึงพระเยซูว่า ‘พระองค์เองได้ทรงรับแบกบาปทั้งหลายของเราไว้ในพระกายของพระองค์ ที่ต้นไม้นั้น’ (1 เปโตร 2:24ก) ‘ตะวันออกไกลจากตะวันตกเท่าใด’ (สดุดี 103:12) พระองค์ทรงเป็นผู้ปลดความบาปของเราออกไปเท่านั้น เมื่อยอห์นผู้ให้บัพติศมาเห็นพระเยซูจึงกล่าวว่า ‘จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป!’ (ยอห์น 1:29)
นี่เป็นผลให้ความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าอัศจรรย์ โดยทางพระเยซู บัดนี้คุณสามารถเข้าไปยังสถานศักดิ์สิทธิ์ทุกวัน (ฮีบรู 10:19-20) คุณสามารถเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณด้วยความกล้า (4:16) และรู้ว่าคุณจะได้รับการต้อนรับเสมอ
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์โดยพระโลหิตของพระองค์ และพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เป็นค่าไถ่บูชาเพื่อทำให้ข้าพระองค์เป็นไท ขอบพระคุณที่บัดนี้ข้าพระองค์สามารถเข้าไปสู่การสถิตของพระองค์ได้ทุกวัน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
สดุดี 31:1-8
ฉันรักภาพของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเป็น ‘ป้อมปราการ’ ของเรา (ข้อ 2) ย้อนกลับไปในอังกฤษยุคกลาง เมื่อผู้บุกรุกเข้ามาโจมตีหมู่บ้าน ชาวบ้านจะวิ่งเพื่อความปลอดภัยไปยังป้อมปราการและเมื่อเขาเข้าไปข้างในทั้งหมดแล้ว พวกเขาจะดึงสะพานชักขึ้น วิธีนี้จะตัดการเข้าถึงของศัตรูและทำให้ทุกคนปลอดภัย เมื่อเวลายากลำบากเราสามารถลี้ภัยในพระเจ้า ผู้ทรงเป็นป้อมปราการที่เข้มแข็งของเรา
App
Download The Bible with Nicky and Pippa Gumbel app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive The Bible with Nicky and Pippa Gumbel in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to The Bible with Nicky and Pippa Gumbel delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)